ตอนที่ 3 เขาต้องเป็นพระเอกที่แสนดี!
ตอนที่ 3
เขาต้องเป็นพระเอกที่แสนดี!
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป โคลว์ยังคงให้คีอาร์อาศัยอยู่ด้วย เขาไม่ขับไล่คีอาร์แถมยังเลี้ยงดูอย่างดี ดูเหมือนโคลว์ตัดสินใจที่จะรับเลี้ยงคีอาร์แล้ว เพราะเขาได้วางแผนที่จะส่งคีอาร์เข้าเรียนเมื่อคีอาร์อายุครบหกปีและเขาได้ทำทะเบียนระบุตัวตนของคีอาร์แล้วด้วย
รับง่ายๆ เลยแฮะ
ฉันจึงจดบันทึกในข้อมูลตัวละครไปว่าโคลว์คือผู้มีพระคุณของคีอาร์ไป และในอนาคตโคลว์คงจะกลายเป็นทั้งพ่อและครูของคีอาร์ไปด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้คีอาร์ได้แสดงก้อนสีดำกลมๆ เท่าลูกปิงปองให้โคลว์ได้เห็น เมื่อโคลว์ได้รู้ความสามารถของเจ้าลูกกลมๆ นั่นเขาก็ทำหน้าจริงจังมากในตอนนั้น
ฉันคิดว่ามันคงเป็นพลังที่อันตรายมากเขาถึงได้แสดงสีหน้าออกมาแบบนั้น ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่าไอ้ก้อนกลมสีดำมันใช้ทำอะไรจึงขอให้คีอาร์ลองใช้มัน
เขายอมทำตามคำขอของฉันจึงได้แสดงความสามารถของตัวเองให้ฉันดูโดยการสั่งให้เจ้าลูกกลมๆ นั่นกินอาหารบนโต๊ะ ปรากฏว่าก้อนกลมๆ นั่นเขมือบทั้งโต๊ะ มันไม่ได้กินแค่อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างที่คีอาร์ต้องการ มันกินโต๊ะไปเลยล่ะ!!
หายไปในชั่วพริบตาเลยด้วย
ฉันถึงกับกลุ้มใจ มันไม่เหมือนพลังของพระเอก มันโหดเกินไป ฉันคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะบรรยายฉากที่พระเอกกำลังสั่งให้ลูกกลมๆ นั่นกินคนแน่ มันคงน่าสยดสยองน่าดู พระเอกที่มีพลังโหดแบบนี้ต้องมีนิสัยขี้ขลาด หากพระเอกขี้ขลาดเขาจะไม่กล้าใช้พลังมั่วๆ เขาจะงัดออกมาใช้ตอนจำเป็นเท่านั้น
แต่ดูแล้วคีอาร์ไม่น่าใช่พระเอกจำพวกแบบนั้น น่าจะเป็นประเภทพระเอกสุดโหดฆ่าคนตาไม่กะพริบ
อย่างไรก็ตามเพราะฉันที่อยากเห็นพลังของคีอาร์จึงทำให้โต๊ะของร้านอาหารของโคลว์หายไปอันหนึ่ง โคลว์ผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนตลอดเวลาได้แสดงด้านมืดออกมาผ่านบรรยากาศรอบตัว คีอาร์ที่ไม่เคยแสดงท่าทางอะไรชัดเจนนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาแสดงออกมาว่ากลัวโคลว์เอามาก ๆ
โคลว์ได้สั่งให้คีอาร์ไปทำความสะอาดถนนหลังร้านเป็นการลงโทษหลังจากที่บ่นคีอาร์ไปสองสามประโยค
“ขอโทษนะ” ฉันเอ่ยอย่างรู้สึกผิด คีอาร์ไม่พูดอะไร เขาเก็บกวาดเศษขยะหลังร้านเงียบๆ ฉันจึงถอนหายใจ
หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งอาทิตย์ทำให้ฉันรู้ว่าคีอาร์นั้นเป็นเด็กที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนัก ไม่ถึงกับเย็นชาและไร้ความรู้สึกแต่การแสดงอารมณ์มันน้อยมากสำหรับเด็กวัย 5 ขวบ ฉันควรแก้ไขอารมณ์ความรู้สึกที่เริ่มจะตายด้านของเขาโดยการแนะนำสิ่งดี ๆ และมอบความอบอุ่นให้เขาในฐานะคนในครอบครัว
“แมว...” คีอาร์พึมพำขึ้นมาเมื่อเห็นแมวเดินเลาะกำแพงมา ฉันมองดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ ฉันอยากให้เขาก้มลงไปลูบหัวแมวเพราะมันจะทำให้เขามี...
ผัวะ!
...ความอ่อนโยน
ฉันยังไม่ทันจะได้คิดจบคีอาร์ก็ย่อตัวลงและตบหัวแมวดังผลัวะใหญ่ๆ ฉันอ้าปากค้างมองคีอาร์ที่ตบหัวแมวจนมันวิ่งหนีไปไกล เขาทำเหมือนกับตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรกในสวนสาธารณะเลย! เนื่องจากตอนนี้เขาหันหลังให้ฉันอยู่ ฉันจึงคาดเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนั้นลงไป ฉันดึงไหล่บางของคีอาร์เบาๆ เพื่อให้เขาหันหน้ามาหาและฉันตั้งใจจะต่อว่าเขา
“คิก” สีหน้าของคีอาร์ดูพอใจอย่างมากในตอนนี้
“คีอาร์...” ฉันทำหน้าเหมือนจะเป็นลมเมื่อพบกับรอยยิ้มแสยะของคีอาร์ ดวงตาสีม่วงสั่นระริกด้วยอารมณ์สนุกสนาน
“ดูมันสิ มันร้องด้วยความเจ็บแล้วรีบวิ่งหนีผม” เขาหัวเราะคิกคักกับตัวเองเนื่องจากรู้สึกสนุกสนานเมื่อได้ทำร้ายแมว ฉันรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างมาก
ฉันหวังให้นายเป็นพระเอกแสนดี แต่ทำไมนายถึงทำตัวเหมือนตัวร้ายไปได้ล่ะ!?
“คีอาร์ นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่ควรทำนะ!” ฉันตักเตือนเขาอย่างจริงจัง คีอาร์ขมวดคิ้วไม่พอใจ
“ทำไม?” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ
“เธอห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอนะ เธอต้องถนอมมันสิ ต้องลูบหัวมันอย่างอ่อนโยนไม่ใช่ตบหัวมัน” ฉันบอกและหวังว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ฉันพยายามจะบอก
“อือ...” คีอาร์ขมวดคิ้วแล้วลากเสียงยาวในลำคอ “พอตบหัวมันแล้วผมรู้สึกดีกว่าการไปลูบหัวมันซะอีก” เขาบอกความรู้สึกของตัวเอง เห็นอนาคตเลยว่าเขาจะกลายเป็นสาย S ก่อนที่เขาจะรู้ตัวฉันต้องเปลี่ยนแปลงนิสัยพวกนี้ของเขาไม่งั้นฉันได้พระเอกสายซาดิสม์มาแทนพระเอกแสนดีแน่
“คนปกติเขาไม่ทำอย่างนั้นหรอกนะ พวกมันน่าสงสารออก พวกเราต้องกอดและลูบมันอย่างอ่อนโยนสิ”
“หมายความว่าผมไม่ปกติ”
เขาฉลาดมาก! เขาตีความหมายที่ฉันสื่ออ้อมๆ ออกไปได้ยังไงกัน! แต่อย่างไรก็ตามคีอาร์ไม่ใช่คนผิดปกติอะไร เขาแค่ไม่มีความคิดเหมือนคนทั่วไปเท่านั้นเพราะไม่ได้รับการสอนมาอย่างถูกต้องต่างหาก ตอนนี้พวกมันน่าจะยังไม่ใช่ความชอบส่วนตัวของคีอาร์ แก้ไขตอนนี้น่าจะยังทัน!
“พี่สาวไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เอาเป็นว่าเราห้ามทำร้ายสิ่งที่อ่อนแอกว่า หากเราทำร้ายพวกที่อ่อนแอกว่าตัวเองก็เท่ากับว่าเรารังแกมัน ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมของคนที่ไม่เก่งแต่กลับคิดว่าตัวเองเก่งเพราะสามารถเอาชนะคนที่อ่อนแอกว่าได้ ฟังมันดูไม่เท่เลยใช่ไหมล่ะ?” ฉันคิดว่าประโยคหลังน่าจะใช้ได้นะ หากบอกว่ามันเป็นพฤติกรรมของคนไม่ดีคีอาร์คงยอมรับหน้าตาเฉยว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีเหมือนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่ปกติ และที่เสริมคำว่า เท่ ลงไปก็เผื่อมันได้ผลด้วย
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้คีอาร์เข้าใจคำว่าศักดิ์ศรีรึเปล่าแต่มันน่าจะได้ผลพอสมควร
คีอาร์นิ่งคิดคนเดียวเงียบๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันบอกไป เขาค่อยๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้ากับตัวเอง ฉันหวังว่าเขาจะเข้าใจจริงๆ นะ
วันต่อมาฉันออกไปหาข้อมูลของโลกนี้เพิ่มเติมเพื่อนำมาเขียนเป็นนิยาย ฉันต้องเข้าใจมากกว่านี้ถึงจะอธิบายได้ถูกอารมณ์ ฉันออกไปได้ไม่นานก็กลับมาหาคีอาร์เพราะเป็นห่วงเขา จะด้วยเรื่องอะไรก็ไม่ทราบชัดแต่เมื่อฉันลอยผ่านเส้นทางแห่งหนึ่งฉันก็พบกับคีอาร์ที่กำลังโดนรังแกโดยเด็กแถวนั้น
ฉันอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างเล็กขดตัวอยู่บนพื้นและให้เด็กคนอื่น ๆ กระทืบ
กฎของนักเขียนอีกข้อคือห้ามแทรกแซงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครเอก....ต่างหูกระดิ่งของฉันส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งขึ้นมา แต่ยังไงฉันก็ทนเห็นเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้! ฉันจึงเข้าไปแกล้งผลักพวกเด็ก ๆ พวกนั้นให้ตกใจกลัว ยังไงเด็กก็คือเด็กพวกเขากลัวที่ไม่เห็นตัวคนที่ทำร้ายจึงหนีไป
ฉันถือว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่เข้าสู่เนื้อเรื่องฉันจึงไม่ผิดที่เข้ามาแทรกแซง!
“คีอาร์เป็นอะไรมากรึเปล่า ลุกไหวไหม? ทำไมไม่สู้กลับบ้างล่ะ!” ฉันถามคีอาร์รัวๆ แล้วพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่ง คีอาร์ไม่ร้องไห้หรือแสดงอาการเจ็บปวด เขาเพียงยกมือเช็ดหน้าที่เปื้อนดินของตัวเองเงียบๆ “เธอเจ็บไปทั้งตัวเลย ยอมให้พวกเขาทำร้ายเธอได้ยังไงกัน” ฉันทำหน้าไม่ชอบใจแล้วปัดฝุ่นดินที่ติดตามตัวคีอาร์ออกไป
“พวกนั้นอ่อนแอ แค่ผมใช้พลังพวกนั้นก็จะหายไปแล้ว” คีอาร์ตอบเสียงเรียบ ฉันถึงกับกุมหัวตัวเอง เขาหมายความว่า เขาไม่จำเป็นต้องสู้กับเด็กพวกนั้นเพราะพวกเขาอ่อนแอกว่าสินะ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันบอกเขาเมื่อวาน...
“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้พวกนั้นรังแกเธอและทำร้ายเธอนะ” ฉันพูดเสียงอ่อย ฉันไม่เหมาะกับการสอนเด็กเลยจริงๆ ฉันพยายามหาคำอธิบายดี ๆ ให้กับเขา “หากมีใครทำร้ายเธอก่อนเธอควรโต้กลับบ้าง แต่ไม่ใช่การฆ่านะ! หากสู้ไม่ได้เธอก็แค่หนีไปไกล ๆ จากพวกนั้น”
“....ยุ่งยาก” คีอาร์มองฉันนิ่งก่อนจะพูดออกมา
“มันไม่ยุ่งยากหรอกนะ แค่หลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายของเธอโดนทำร้ายเอง!” ฉันรู้สึกเหนื่อยใจจัง ฉันควรให้โคลว์สอนเรื่องความเป็นมนุษย์ปกติให้คีอาร์บ้าง มีอย่างที่ไหนให้คนอื่นรังแกง่ายๆ เพียงเพราะเห็นคนพวกนั้นอ่อนแอกว่าตัวเอง ฉันไม่อยากให้เขารังแกใครแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เขายอมให้คนอื่นรังแกนะ หากพลาดขึ้นมาเขาอาจจะช้ำในตายได้เลยนะ
“....” คีอาร์มองหน้าฉันนิ่งอีกครั้งก่อนจะสะบัดหน้าหนี เข้าใจไหมเนี่ย?
“เอาเถอะ เธอลุกขึ้นได้ไหม? เรากลับร้านของโคลว์กันเถอะ เราควรทำแผลให้เธอ” ฉันพูดเสียงนุ่ม คีอาร์ลุกขึ้นยืนแต่เขาก็โซเซทำท่าจะล้มไป สีหน้าเจ็บปวดของเขาทำให้ฉันรู้ตัวว่าเขาเจ็บขา
เมื่อตรวจดูแล้วฉันก็พบว่ามันบวม ฉันจึงตัดสินใจอุ้มคีอาร์ แขนเล็ก ๆ ของเขากอดคอฉันอย่างตกใจเมื่อฉันอุ้มเขาขึ้นมา สีหน้าแข็งค้างของคีอาร์ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันตลก เขาไม่เคยถูกอุ้มรึไงกันนะ ฉันกระชับอ้อมแขนแล้วลงไปเดินไปตามถนนด้วยขาของตัวเอง
“....คนอื่นไม่เห็นคุณไม่ใช่เหรอ” คีอาร์พึมพำอยู่ข้างหู ขณะเดียวกันเขาก็แอบเล่นต่างหูกระดิ่งแก้วของฉัน คาดว่าคีอาร์คงชอบเสียงของมัน ฉันอมยิ้มและลากเสียงยาวในลำคอเมื่อนึกถึงคำถามของคีอาร์ ในตอนนี้คนอื่น ๆ คงเห็นเหมือนกับว่าคีอาร์ตัวลอยขึ้นซะเฉยๆ แน่ หวังว่าจะไม่ตกใจกันมากนะ ยังไงซะที่นี่ก็โลก MP หรือโลกพลังจิตนี่นา
“หากมีใครมาถาม เธอก็ตอบพวกเขาไปว่ามันคือพลังของเธอสิ หรือไม่ก็พี่สาวแสนสวยของผมที่มีพลังล่องหนกำลังอุ้มผมอยู่” ฉันพูดติดตลกและหัวเราะคนเดียว คีอาร์มองฉันตาปริบๆ เขาจ้องอยู่อย่างนั้นจนฉันสงสัยจึงหันไปสบตาเขาตอบ คีอาร์ก้มหน้าหลบทันที
“คือว่า...” เขาพูดอึกอัก แขนของเขากอดคอฉันแน่นขึ้นอย่างประหม่า “ชื่อ...อะไรเหรอ” เขาพูดเสียงเบา แต่เพราะตอนนี้ใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันมากฉันจึงได้ยินสิ่งที่เขาพูดชัดเจน
จะว่าไปฉันก็ไม่เคยบอกชื่อตัวเองกับเขาเลยนี่นา
“เรียกพี่สาวว่าเลล่าก็ได้” ฉันบอกนามปากกาของตัวเองออกไป ตอนนี้ฉันอยู่ในฐานะนักเขียนก็ต้องใช้นามปากกาอยู่แล้ว
“เลล่า....เลย์!” คีอาร์พึมพำชื่อของฉันแล้วตะโกนชื่อของฉันที่สั้นลงในประโยคหลังพร้อมรอยยิ้มสดใส “เรียกเลย์ได้ไหม!?” สีหน้าสดใสที่ไม่ค่อยได้เห็นจากคีอาร์ทำให้ฉันไม่ปฏิเสธ
“ได้สิ ตามใจเธอเลย” ฉันถูแก้มของตนเองไปกับหัวของคีอาร์อย่างเอ็นดูเขา เด็กนี่มันน่ารักจริงๆ
เมื่อไปถึงหลังร้านอาหารโคลเวอร์ของโคลว์ฉันก็วางคีอาร์ลงแต่เขาไม่ยอมปล่อยแขนออกจากคอของฉันเลย ดูเหมือนเขาจะติดใจการถูกอุ้มซะแล้ว ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุด จะอุ้มเข้าร้านไปเลยก็ไม่ได้ซะด้วยสิ ฉันจะให้คนอื่นรู้ตัวตนของตัวเองไม่ได้เด็ดขาด เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็หากฉันเริ่มต้นเขียนเข้าเนื้อเรื่อง คนอื่นที่รู้ตัวตนของฉันเกิดหันมาพูดกับฉันและดึงฉันไปในส่วนเนื้อเรื่องสำคัญจะทำยังไง
ฉันไม่สามารถเขียนบรรยายส่วนนั้นได้และหากมันมีผลกับเนื้อเรื่องมันก็ไม่ใช่เรื่องดี นักเขียนต้องมีผลกับเนื้อเรื่องให้น้อยที่สุด
ฉันสามารถทำให้แขนของคีอาร์หลุดจากการเกาะคอของตัวเองได้แล้ว ฉันก็ให้เขาไปหาโคลว์ ซึ่งโคลว์ก็มีท่าทางตกใจเมื่อเห็นสภาพของคีอาร์ เขารีบไปนำอุปกรณ์ทำแผลและเริ่มทำแผลให้กับคีอาร์อย่างเบามือพลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงไปด้วย เป็นคุณลุงที่อ่อนโยนจริงๆ
นี่มันพ่อของลูก!
โคลว์เหมาะจะเป็นพ่อบุญธรรมของพระเอกดีนะ เขาต้องสามารถแนะนำคีอาร์ได้หลายอย่างแน่นอน
โคลว์ พ่อบุญธรรมของคีอาร์ยิ้มอ่อนโยนต้อนรับลูกชายบุญธรรมของตัวเองทุกครั้งที่เขากลับมาจากโรงเรียน และเขาคอยเป็นห่วงคีอาร์ทุกครั้งที่คีอาร์กลับมาที่บ้านในสภาพบาดเจ็บ และทุกครั้งเขาก็จะทำแผลให้คีอาร์ไปด้วยดุสั่งสอนคีอาร์ที่ไปมีเรื่องไม่หยุดหย่อนไปด้วย เป็นทั้งพ่อที่แสนอ่อนโยนและครูที่เข้มงวด
น่ารักจัง~~
คีอาร์เองก็รักและเคารพโคลว์ที่เปรียบเสมือนพ่อแท้ๆ ของตนเช่นกัน ยามที่โคลว์มีปัญหาเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยผู้มีพระคุณของตัวเอง!
บันทึกแบบนี้ใช้ได้เลยล่ะ!
ในค่ำคืนของวันนี้ฉันก็นอนบนเตียงเดียวกับคีอาร์อย่างเช่นทุกครั้งแต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือคีอาร์ เขาไม่ได้นอนกอดหมอนอย่างเช่นทุกคืนที่เขาทำ คืนนี้คีอาร์กลับเข้ามากอดเอวของฉันแน่นพร้อมกับซุกหน้าลงมาบนหน้าท้องของฉัน
ฉันแปลกใจมาก ทุกครั้งที่ฉันล้มตัวนอนบนเตียงลงข้างๆ เขาจะเว้นระยะห่างไม่ให้เราอยู่ใกล้ชิดกันมากจนเกินไป ที่เขาเปลี่ยนมาทำแบบนี้หมายความว่าเขาเริ่มสนิทใจกับฉันมากขึ้นแล้วใช่ไหม? เมื่อสนิทใจแล้วเขาก็ต้องการความอบอุ่นจากฉันที่เป็นคนที่เขาสนิทใจด้วยมากที่สุด
ฉันกอดเขาตอบอย่างเต็มใจ เป็นแบบนี้ดีเลยล่ะ ฉันจะอยู่เคียงข้างเขาในฐานะพี่สาวผู้มอบความอบอุ่นแบบครอบครัวที่เขาไม่เคยได้รับจากครอบครัวแท้ๆ มาก่อน ถึงถ้านับจากอายุฉันจะสามารถเป็นแม่ของเขาได้เลยก็เถอะ แต่ฉันยังไม่อยากมีลูกชาย!
“เลย์ ผมขอกอดอย่างนี้ทุกวันได้ไหม?” เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันตาแป๋ว ฉันได้เห็นเต็มๆ ในระยะประชิด เขาทำให้ฉันรู้สึกหวั่นไหวกับความน่ารัก
“ได้สิ” เมื่อฉันตอบรับไปเขาก็ซุกหน้าลงไปที่ท้องของฉันอีกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะเล็ก ๆ อย่างพอใจ ฉันลูบหัวของเขาเพื่อกล่อมนอนจนกระทั่งพวกเราหลับไปทั้งคู่...