C H A P T E R 2 ไม่คงคอนเซ็ปต์เดิม
“บ้ายบายจ้า ไว้เจอกันวันพรุ่งนี้นะจ๊ะเพื่อนจ๋า”
“จ้า บ้ายบายน๊า” ฉันเองก็ไม่ยอมแพ้ ใช้เสียงสองตามบ้าง พลางยื่นมือไปดึงแก้ม ยีผมยัยแจนลูกสาวพ่อป่าด้วยความมันเขี้ยวแล้วฉันก็หันมายกมือไหว้พ่อป่า พ่อเพื่อนผู้แสนใจดีที่มักจะแวะมาส่งฉันเสมอหากว่าท่านมารับลูกสาวที่มหา’ลัย ซึ่งก็ไม่ค่อยบ่อยนักหรอก เดือนละหนสองหนได้ ปกติยัยแจนก็กลับรถเมล์เหมือนฉันกับยัยเบลนี่แหละ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ยัยสองสาวเพื่อนซี้ขับรถของที่บ้านมาเรียนเอง คือขับรถเป็นกันทั้งคู่เลยแหละ ยกเว้นฉัน พริกหวานผู้ซึ่งขี่เป็นแต่จักรยาน
“ขอบคุณนะคะพ่อที่แวะมาส่งหนู”
“ไม่เป็นไรลูก” พ่อป่ายิ้มกว้างใจดีให้อย่างเคย
ฉันยืนโบกมือบ้ายบาย รอจนกระทั่งท้ายรถเก๋งป้ายแดงคันงามรุ่นใหม่ล่าสุดภายใต้สัญชาติญี่ปุ่นของพ่อยัยแจนเลี้ยวพ้นไปจากสายตาแล้วนั่นแหละฉันถึงเริ่มขยับเท้า ปราดตามองซ้าย มองขวาเพื่อความชัวร์ ก่อนเดินข้ามถนนแคบ ๆ พอดีให้รถสองคันได้วิ่งสวนทางกันไปมาได้มาฝั่งอะพาร์ตเมนต์ หย่อนมือล้วงหยิบคีย์การ์ดในกระเป๋า อีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะเป็นใบเบิกทางไปสู่ด้านใน
ติ๊ด ติ๊ด
ผลักประตูเข้าไปเห็นว่ามีคนกำลังจะเดินสวนออกมาพอดี
ฉันเลยรอ
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันยิ้มรับคำขอบคุณจากเธอคนนั้น
“รอด้วยครับ!”
อีกนิดเดียวบานประตูลิฟต์ก็จะประกบเข้าหากัน พอได้ยินเสียงคนร้องตะโกนบอกให้รอก่อน คนไม่แล้งน้ำใจอย่างฉันเลยเอื้อมแขนไปที่แผงวงจร บานประตูแยกออกจากกันอีกครั้ง แช่นิ้วค้างไว้จนเจ้าของเสียงวิ่งเข้ามาด้านใน
“ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ชั้นไหนคะ”
“อ้อ ชั้นแปดครับ”
“คุณอยู่ชั้นห้าใช่ไหมครับ”
ฉันเหลือบตามองหนุ่มแว่นบุคลิกดีแล้วพยักหน้า
“ค่ะ”
“ผมชื่อโทนครับ เรียนเศรษฐศาสตร์ ปีหนึ่ง มหา’ลัยเดียวกับคุณฮะ ผมสังเกตจากเข็มติดเสื้อ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรนะฮะ ผมสาบานได้”
ฉันร้องหือ ไม่ได้ใส่ใจฟังคำอธิบาย “รุ่นน้องฉันนี่”
“รุ่นน้อง ?”
“พี่อยู่ปีสาม คณะเดียวกับเราแหละ” ฉันเฉลย
“จริงดิครับ”
“ไม่เชื่อก็ลองไปถามใครในคณะได้เลยว่ารู้จักไหมพริกหวาน” ฉันไม่ใช่คนเด่นคนดัง หรือเด็กกิจกรรมอะไรหรอก เป็นแค่นักศึกษาธรรมดา ๆ นี่แหละ แต่ถึงฉันจะไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มคนพวกนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อย วงเล็บคนในคณะนะที่รู้จักฉัน
“พี่ชื่อพริกหวาน ?”
“อืม” ฉันพยักหน้า ยิ้มบาง ตาเหลือบมองตัวเลขบนแผงวงจร “พี่ต้องไปก่อนแล้วล่ะโทน ถึงชั้นพี่แล้ว” ชี้นิ้วไปที่ตัวเลขสีแดง ๆ “เจอกันก็เข้ามาทักได้ พี่ไม่หยิ่ง” ฉันขยิบตาแล้วโบกมือลา ก่อนจะขยับเท้าออกจากลิฟต์ทันทีที่มันเปิด
“เจอกันครับพี่พริกหวาน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ พี่น่ารักมาก”
“แล้วเจอกัน”
ฉันโบกมืออีกครั้งโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เดินจากลิฟต์มาไม่กี่ก้าวฉันก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง
507
หมายเลขห้องฉันเอง
ที่นี่ในหนึ่งชั้นมีจำวนห้องอยู่ทั้งหมดเก้าห้อง คนที่พักอาศัยอยู่ที่นี่หลักใหญ่เลยจะเป็นนักศึกษาจากสถาบันเดียวกันกับฉัน และสถาบันใกล้เคียงซะส่วนใหญ่ คนทำงานแล้วนี่แทบหาไม่เจอเลย อาจเป็นเพราะแพงจนเกือบจะเทียบเท่ากับเช่าคอนโดด้วยแหละ ถ้าเงินเดือนไม่เยอะมาอยู่แบบนี้ ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่รออยู่คงเป็นเรื่องที่หนักหนา
เฉพาะค่าห้องเพียว ๆ เลยก็ตกเดือนละห้าพันห้าร้อยบาทเหนาะ ๆ ราคานี้คือยังไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ตนะ ซึ่งอย่างหลังนี่ก็ปาไปห้าร้อยต่อเดือนแล้ว สองอย่างรวมกันค่าห้องกับค่าเน็ตก็หกพันถ้วนเข้าไปแล้ว บวกน้ำไฟเพิ่มไปด้วยก็จะอยู่ที่เจ็ดพันถึงเจ็ดพันกว่าต่อเดือน ราคาประมาณนี้คือที่ฉันจ่ายมาตลอดทุกเดือนตั้งแต่ขนย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ ก็เกือบจะสามปีเต็มแล้วล่ะ ไม่เคยเกินไปมากกว่านี้
ใจจริงฉันเองก็อยากหาที่อยู่ที่ถูกกว่านี้เพื่อช่วยครอบครัวประหยัดค่าใช้จ่ายนะ แต่ติดตรงที่พ่อเป็นห่วงในเรื่องของความปลอดภัยของลูกสาวคนนี้แบบมากถึงมากที่สุด เขาเห็นว่าที่นี่เรื่องระบบอะไรค่อนข้างโอเค พ่อแม่มารับมาส่งก็ไม่ยุ่งยาก แล้วคนที่อาศัยอยู่ในตึก คนดูแลบอกตั้งแต่ตอนที่มาดูห้องครั้งแรกแล้วว่ามีแต่นักศึกษาอยู่ ไม่น่ากังวล การเดินทางไปเรียนก็ไม่ได้ลำบากอะไร นั่งรถเมล์ต่อเดียวถึงมหา’ลัยเลย เวลาคุยเรื่องจะย้ายหอทีไรจึงไม่เคยสำเร็จ ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ ความคิดที่จะย้ายของฉันก็เลยล้มพับไปตามกาลเวลา
Rrrrrrrrrr
MY MOM
เหมือนรู้ว่ากำลังคิดถึง
“จ้าแม่” ฉันกรอกเสียงสดใสทักทายหลังจากสไลด์รับสาย
(ถึงห้องยังพริกหวาน)
ฉันอมยิ้ม คำถามเปิดประเด็นแบบนี้มีให้ได้ยินทุกวันแหละ
ถ้าแม่ไม่โทรมาฉันก็ต้องโทรไป ไม่ก็คุยไลน์กันถ้าไม่สะดวกโทร ครอบครัวอื่นที่ลูกอยู่ไกลบ้านเป็นยังไงฉันไม่รู้นะ แต่ครอบครัวฉันเป็นแบบนี้ คือจะคุยมากคุยน้อยไม่เป็นไร แต่ต้องคุยกันทุกวันเพื่อให้รู้สถานการณ์
“เพิ่งถึงจ้ะ พ่อยัยแจนมาส่ง” บอกพลางรินน้ำใส่แก้วดื่ม
(งั้นเหรอ แล้วหาอะไรกินยัง นี่แม่มากินราดหน้าที่องค์พระฯ)
“ยังเลยแม่ อยากกินหอยทอดอะ” ยู่ปากพลางทิ้งตัวลงนอนแผ่
(แถวนั้นมีไหมล่ะ หากินแถวนั้นไปก่อนสิ)
“มีจ้ะ ร้านเปิดใหม่ แต่ไม่อร่อยเลย หนูเคยลองไปกินแล้ว” อาหารการกินบางอย่างก็สู้นครปฐมไม่ได้
(งั้นก็อยากต่อไปนะคะลูกสาว ไว้กลับมาบ้านค่อยให้พ่อพามากินที่องค์พระฯ นี่พ่อก็กระซิบบอกแม่ให้บอกเราไปหาข้าวหาปลากินได้แล้ว อย่ารอให้มืดค่ำ หน้านี้มันมืดเร็ว อยู่ตัวคนเดียวเดินไปไหนมาไหนมันอันตราย)
คำสอนยืดยาวนี่ก็ได้ยินบ่อย ๆ แต่ก็ไม่มีช่วงเวลาไหนที่รำคาญ และไม่ใช่แค่ลูกสาวหรอกที่พ่อจะห่วงเป็นพิเศษ ลูกชายก็ห่วง ข้าวโอ๊ต น้องชายวัยสิบเจ็ดปีของฉันพ่อกับแม่ก็ห่วงมาก โชคดีที่น้องชายฉันไม่ใช่เด็กเกเร ออกไปทางซน ๆ ตามประสาเด็กผู้ชายซะมากกว่าเลยทำให้พ่อแม่วางใจได้บ้าง แล้วยังเรียนเก่งมากด้วยนะ สาวชอบเยอะอีกต่างหาก ในแต่ละวันที่กลับจากโรงเรียนมักมีของชิ้นเล็กชิ้นน้อยติดไม้ติดมือมาฝากคนที่บ้านประจำ ฉันยังพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ขนมเอย ลูกอมเอย ปากกาเอย ดอกไม้เอย รวม ๆ แล้วเยอะแยะไปหมด
“เดี๋ยวหนูลงไปซื้อจ้ะ แล้วนี่ข้าวโอ๊ตไม่ได้มาด้วยเหรอแม่”
(มา เดินไปซื้อขนมครกให้พ่อแน่ะ)
“ของคาวยังไม่ทันกิน เตรียมของหวานไว้รอเลยน๊า”
(นี่แหละพ่อเรา)
ฉันหัวเราะ
(เราเองก็ลงไปซื้อได้แล้วมั้งพริกหวาน)
“จ้า แม่กับพ่อกินให้อร่อยน๊า”
(อ่า ๆ ราดหน้ามาพอดี งั้นแม่วางก่อนนะลูก)
“ค่า”
หลังวางสายจากแม่ฉันก็วางมือถือไว้ข้างตัว นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หาวอยู่สองสามรอบ เปลือกตาหนักอึ้ง ฝืนต่อไปไม่ไหวจึงปิดเปลือกตาลง
ของีบสักสิบห้านาทีละกัน ตื่นแล้วค่อยว่ากัน
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีเข็มสั้นของนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลขหนึ่งเข็มยาวชี้ไปที่เลขสี่ คิดว่าถ้าไม่มีความรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำแบบปุบปับฉันมีสิทธิ์นอนหลับยาว ดีไม่ดีอาจหลับลึกไปจนถึงเช้าวันใหม่ของอีกวัน ตื่นมาพร้อมสิวเต็มใบหน้าเพราะน้ำไม่ได้อาบ ฉันส่ายหน้าให้ความเพลียของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะขยับตัวลงจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่นกลับมาแล้ว ทีนี้ความหิวก็มาเยือนสิ แล้วฉันมันก็คนประเภทอดทนต่อความหิวโหยของตัวเองไม่ได้ด้วย คว้ากระเป๋าสะพายข้างใบน้อยจากราวแขวน ยัดสิ่งจำเป็นลงไปได้ก็ออกจากห้อง กดลิฟต์ลงมาชั้นหนึ่ง เดินลากรองเท้าแตะแบบหูคีบออกมาหน้าหอ ยังหัวค่ำอยู่ผู้คนรวมถึงรถรายังคงคึกคัก ในซอยหอ
มีเส้นทางลัดที่จะไปโน่นไปนี่ได้ คนทั่วไปที่รู้ว่ามันจะพาไปตรงไหนได้บ้างเลยอาศัยเส้นทางนี้สัญจรกัน ตอนเช้า ๆ กับหลังเลิกงานนี่รถติดยาวเลย
ว่าแต่ฉันจะกินอะไรดีล่ะเนี่ย กวาดตามองทีละร้านอย่างใช้ความคิด หน้าหอมีร้านของกินให้เลือกฝากท้องหลายร้านเลยแหละ ไม่ว่าจะอาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ข้าวราดแกง ข้าวไข่เจียว ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู สเต็ก ส้มตำ ไก่ย่าง ยำ ลูกชิ้นปิ้ง ลูกชิ้นทอด และที่ร่ายมานี่แค่เบาะ ๆ เบา ๆ นะ ถ้าเดินออกไปหน้าปากซอยก็มีร้านค้าอีกเยอะมาก ๆ แต่วันนี้ขี้เกียจเดินไปไหนไกลแล้วไงเลยเดินดูใกล้ ๆ นี่เอา
หลังจากใช้เวลาตัดสินใจไม่ถึงสามนาทีฉันก็เดินมุ่งไปที่ร้านขายข้าวไข่เจียวของลุงกับป้า หยิบกระดาษปากกาที่วางไว้ในกล่องพลาสติกสีส้มมาติ๊กเครื่องหมายถูกในใบสั่งว่าจะใส่ท็อปปิ้งอะไรบ้าง ก่อนจะเดินไปร้านอาหารตามสั่งเพื่อสั่งต้มยำรวมมิตรน้ำข้น ซึ่งทั้งสองร้านคิวพอกัน
รอวนไปสิ…