บทที่ 6
ในที่สุดวันไปแดนมนุษย์ก็มาถึง โรซาเลียในชุดเดินทางพร้อมดาบประจำกายดูเวสซ่าก็เดินทางมาที่ปราสาทตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนแรกเรเนสซ่าจะให้เธอนั่งรถม้ามาแต่เพราะอากาศหนาวและเธอก็อยากออกกำลังกายมากกว่าจึงวิ่งจากคฤหาสน์มาถึงปราสาท ด้วยความที่สมัยเป็นผู้กล้า เธอต้องวิ่งให้เร็วกว่าคนอื่นจึงใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมาย
“มาเร็วกว่าที่คิดไว้อีกนะ” เอราเคียในชุดสีดำเรียบ ๆ กำลังลูบหัวสัตว์อสูรอยู่ที่สนามหญ้า เห็นหลานสาวสวมวิญญาณนักวิ่งลมกรดมาหาก็เป็นห่วง “กินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” สาวผมแดงหันมามองสัตว์ตรงหน้า มันเป็นกริฟฟินที่มีขนาดใหญ่ เธอเดาว่าจอมมารสาวคงเรียกมันมาใช้งานแน่ ๆ
“เจ้านี่จะพาเราไปลงในป่าใกล้ ๆ กับเมืองมนุษย์ที่ใกล้กับเขตชายแดนมากที่สุด” หญิงสาวปีนขึ้นไปนั่งบนหลังกริฟฟินก่อนจะเขยิบไปด้านหน้าเล็กน้อยเพราะกลัวว่าจะไม่มีที่นั่งให้หลานสาว
โรซาเลียปีนขึ้นไปนั่งอยู่ข้างหลังผู้เป็นป้า เมื่อผู้โดยสารประจำที่แล้ว เจ้าสัตว์อสูรที่มีศีรษะเป็นนกอินทรี ตัวเป็นสิงโต แต่มีปีกบินได้ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที อดีตผู้กล้ากวาดสายตาไปรอบ ๆ ใช่ว่าเธอไม่เคยใช้เวทลอยตัวเหาะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่บินแล้วมองสำรวจภูมิประเทศ
“พื้นที่ส่วนใหญ่ในบ้านเราไม่ได้อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยภูเขา หน้าผา บางพื้นที่ก็แห้งแล้งเกินกว่าจะอยู่ได้ ถึงส่วนใหญ่ฟ้าจะครึ้มแต่ใช่ว่าฝนจะตกบ่อย ๆ ป่าไม้ก็มีน้อยกว่าแดนมนุษย์ จอมมารบางรุ่นก็เลยอยากได้แมนไคน์ เพราะอย่างนี้ถึงมีการสู้รบตลอด พวกมนุษย์จึงมีผู้กล้าไว้ปราบจอมมาร”
“จอมมารถูกผู้กล้าสังหารทุกรุ่นหรือเปล่าคะ” ความจริงเรื่องนี้เธอรู้อยู่แล้ว แต่เพราะไม่รู้จะชวนคุณป้าอะไรคุยจึงถามเรื่องนี้แทน
“ก็ไม่ทุกรุ่น แต่ที่แน่ ๆ พ่อข้าตายเพราะผู้กล้า” น้ำเสียงของเอราเคียคล้ายคนคิดถึงญาติผู้ใหญ่ โรซาเลียก็พอจะเข้าใจ จอมมารรุ่นที่สิบสี่เป็นพ่อแท้ ๆ ของคู่สนทนา ใครไม่เสียใจก็แปลกแล้ว
“เสียใจด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าล้างแค้นให้ท่านพ่อแล้ว หลังท่านตายได้สามนาที ข้าก็ส่งผู้กล้าไปอยู่เป็นเพื่อนในนรก ท่านพ่อคงไม่เบื่อแล้วล่ะ”
'เอ่อ...ท่านป้าคะ' พอได้ยินอย่างนี้ ร่างบางก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อันที่จริงเรื่องราวก็ไม่ต่างจากโลกเดิมของเธอเลย โรซาเลียจำได้จากบันทึกประวัติศาสตร์ ผู้กล้าที่สังหารจอมมารรุ่นที่สิบสี่ถูกเจ้าหญิงปีศาจตัดหัวก่อนจะแพ็กใส่กล่องส่งกลับไปแดนมนุษย์อย่างดี จากนั้นเธอก็ก้าวขึ้นมาเป็นจอมมารรุ่นที่สิบห้าแทนผู้เป็นพ่อ
“ดูนั่น” เอราเคียชี้ไปยังหุบเหวลึกจนมองไม่เห็นก้น โรซาเลียจำได้ว่านี่เป็นเหวที่กั้นระหว่างชายแดนของแมนไคน์กับซาตาน่า
“เหวนั่นทำไมเหรอคะ”
“ช่วงที่ซาตาน่าถูกก่อตั้ง ตรงนี้มันไม่มีเหวหรอกนะ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” หญิงสาวถามต่ออีก ในความทรงจำสมัยอยู่โลกเดิม เธอเคยข้ามเหวแห่งนี้มาแล้ว ซึ่งตอนนั้นทุกคนต้องพึ่งพานักเวทจำนวนมากในการใช้เวทลอยตัวเดินทางข้ามมายังแผ่นดินของซาตาน่าเนื่องจากไม่มีสะพานให้ข้าม
“เรื่องเกิดในสมัยจอมมารลำดับที่หนึ่ง โอดิสเซียส วาซิลิส”
“จอมมารรุ่นที่หนึ่งไม่ได้ใช้นามสกุลอาโครอสเหรอคะ” ในโลกของเธอ เรื่องราวของจอมมารตนแรกมีน้อยเพราะเรื่องราวของเขาเกิดขึ้นเมื่อสองพันปีที่แล้ว และรู้แค่ว่าเป็นคนเริ่มต้นสงครามระหว่างผู้กล้ากับจอมมาร แต่เรื่องที่เขาไม่ได้ใช้สกุลอาโครอสเหมือนจอมมารตนอื่น ๆ เป็นเรื่องที่โรซาเลียเพิ่งรู้หมาด ๆ เลย
“จอมมารตั้งแต่รุ่นที่สามเป็นต้นไปสืบเชื้อสายมาจากจอมมารรุ่นที่สอง เดิมทีเขาเป็นข้ารับใช้คนสนิทของจอมมารโอดิสเซียส แต่พอจอมมารสิ้นไปทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานมีทายาท ต้นตระกูลข้าซึ่งมีอำนาจรองจากจอมมารจึงถูกเลือกเป็นจอมมารรุ่นที่สอง”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”
“จอมมารโอดิสเซียสทำให้เกิดเหวนั่นขึ้นมา” เอราเคียเริ่มเล่าต่อจากที่ค้างไว้ในตอนแรก “แมนไคน์ส่งผู้กล้ามาปราบ แต่ก็พ่ายแพ้ถึงแปดครั้ง จนกระทั่งผู้กล้าคนที่เก้า ว่ากันว่าเขาทุ่มเทและสู้สุดใจ ในศึกตัดสิน ทั้งสองสู้กันที่ชายแดน พลังทำลายล้างทำให้เกิดหุบเหวขึ้นมา ส่วนทั้งสองก็ตกลงไปข้างล่าง แล้วก็ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของพวกเขาอีกเลย”
“ข้ามองไม่เห็นก้นเหว คงจะลึกมาก ต่อให้คนตกลงไปเป็นปีศาจ ข้าว่าก็คงไม่รอดหรอกค่ะ” โรซาเลียรู้สึกเสียวสันหลัง ถ้าเธอตกลงไป ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแหง ๆ
“เข้าเขตแดนแมนไคน์แล้ว อีกสักพักก็คงถึง” หญิงสาวกล่าวขณะที่กริฟฟินพาเธอกับหลานสาวข้ามฝั่งมายังแผ่นดินของชาวมนุษย์
“ป่าไม้แถวชายแดนอุดมสมบูรณ์จัง” อดีตผู้กล้าพึมพำขณะมองผืนป่าสีเขียวด้วยแววตาคิดถึง เพราะในโลกของเธอ จอมมารรุ่นที่สิบหกกวาดล้างมนุษยชาติจนหมด ทรัพยากรธรรมชาติตามที่ต่าง ๆ ก็พลอยโดนลูกหลงจากพลังทำลายล้างไปด้วย ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจะฟื้นกลับมา
ขณะที่สองสาวพ้นเหวกั้นระหว่างแมนไคน์กับซาตาน่าไปแล้ว ใครบางคนก็ก้าวออกมาจากป่าแล้วตรงมาใกล้ ๆ เหว เจ้าตัวกวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร พลันเสียงฝีเท้าอีกคู่ก็ดังแว่วมาก่อนที่ชายหนุ่มอีกคนจะวิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“เลโอนาร์ด เจ้าอยู่นี่เอง ข้าวิ่งหาซะทั่วเลย”
“ขอโทษที ข้าแค่รู้สึกคิดถึงที่นี่ก็เลยมาดูน่ะ” ชายหนุ่มผมสีทองยาวประบ่า นัยน์ตาสีฟ้าสดใส ใบหน้าหล่อเหลากว่าคนทั่วไป ยิ่งเวลายิ้มก็ยิ่งเหมือนเทวดาสักองค์มามอบแสงสว่างให้ผู้คนอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าก็ลืมไป ชาวบ้านที่มาหาของป่าเจอเจ้าใกล้ ๆ เหวนั่นนี่ นี่ก็ผ่านไปสามปีแล้วนะ นึกอะไรออกหรือยัง” ชายคนที่มาด้วยถามกลับตามประสาคนรู้จัก เลโอนาร์ดกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทั้งที่ขมวดคิ้ว แม้จะรู้สึกว่ามีความหลังกับที่นี่แต่ก็นึกอะไรไม่ออกอยู่ดี
“ก็เหมือนเดิม ข้าจำได้แต่ชื่อตัวเอง”
“ไม่เป็นไร สักวันเดี๋ยวก็นึกออก เอ้อนี่ ข้าเก็บสมุนไพรตามที่ท่านหมอสั่งจนครบทุกชนิดแล้วนะ” เพื่อนร่วมงานชูถุงผ้าที่เก็บสมุนไพรขึ้นมา
“ข้าก็เหมือนกัน แต่ของข้ากลิ่นฉุนมาก”
“ท่านหมอคงรู้ว่าจมูกเจ้ามันด้านถึงสั่งให้เจ้าเก็บสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน เอาเถอะ รีบกลับเมืองดีกว่า ชักช้าเดี๋ยวก็โดนหักเงินกันพอดี” คนพูดตบบ่าเพื่อนเบา ๆ จากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในป่า ส่วนเลโอนาร์ดก็หันไปมองเหวเบื้องหลังแวบหนึ่งก่อนจะเดินตามไป
เวลาผ่านไปสามปี นอกจากชื่อแล้วก็มีแต่ความเปล่า บางครั้งก็สงสัย เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วภูมิหลังของเขาเป็นใคร เกิดอะไรขึ้นก่อนที่เขาจะเสียความทรงจำ