บทที่ 2
หลังจากหลับตาลง เธอก็เข้าสู่โลกแห่งความฝัน แต่พอสังเกตดูดี ๆ แล้ว โรซาเลียก็พบว่าสถานที่ที่ตัวเองยืนอยู่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นช่วงเวลาที่เธอตายจากไปแล้วต่างหาก ปราสาทจอมมารยังคงเหมือนเดิม ตามจุดต่าง ๆ มีทหารปีศาจเดินผ่านไปผ่านมา บทสนทนาที่พวกนั้นคุยกันทำให้เธอสนใจ ร่างบางเข้าไปใกล้ ๆ และแอบฟังว่าพวกนั้นคุยอะไรกัน
“ท่านจอมมารท่าจะเสียดาย ‘ของ’ มาก”
“นั่นสิ ขนาดไม่มีชีวิตแล้วยังเก็บไว้ดูเล่นอีก”
“บางทีท่านจอมมารอาจจะชอบคนตายก็ได้”
“รสนิยมแปลกชะมัด”
จอมมารที่ถูกกล่าวถึงต้องเป็นศัตรูคู่ปรับเธอแน่ ๆ พอนึกถึงหน้าผู้ชายคนนั้นแล้ว เธอก็แค้นใจจนอยากจะไปหักคอเขา แต่อีกใจหนึ่งก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เธอตาย
“...ไนเจลลัส”
'แล้วทำไมข้าต้องสนใจด้วย ไอ้หมอนั่นจะเป็นยังไงก็เรื่องของมันสิ' เธอคิดว่าตัวเองต้องโดนอะไรมาแน่ ๆ ถึงไปคิดเรื่องไนเจลลัส สิ่งที่เธอต้องให้ความสำคัญควรเป็นลูกชายของเธอมากกว่า
เมื่อทหารปีศาจจากไปแล้ว โรซาเลียจึงเดินไปตามเส้นทางที่จำได้ สถานที่ที่เธอจะไปคือชั้นบนสุดของปราสาท ห้องของไนเจลลัสอยู่บนนั้น พอไม่มีคู่ปรับให้หาเรื่อง ป่านนี้เฉาตายคาห้องหรือยังก็ไม่ทราบ ทว่าพอไปถึง หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าต้องเปิดประตูเข้าไปหรือต้องเดินทะลุผนังกันแน่
“ข้าต้องเข้าไปยังไงล่ะเนี่ย” พูดไม่ทันขาดคำ แรงดึงที่มองไม่เห็นก็กระชากผู้กล้าสาวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว เธอพุ่งผ่านผนังห้องเข้าไปแล้วก็เห็นว่าข้างในยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ตรงนี้ควรจะมีที่นอนเด็กนี่ ภายในห้องจะถูกแบ่งออกเป็นสองห้องย่อยคือห้องนั่งเล่นกับห้องนอน เธอจำได้ว่าที่ห้องนั่งเล่นจะมีที่นอนเด็กและเธอก็จะอยู่แถวนี้กับลูกชายตลอด
“...แม่” เสียงเล็ก ๆ ดังแว่วมาจากทางด้านหลังทำให้วิญญาณสาวหันไปดูแล้วก็พบเด็กชายวัยขวบเศษยืนมองอยู่ เขามีผมสีแดงกุหลาบเหมือนเธอ แต่มีดวงตาสีแดงโกเมนเหมือนพ่อ “...ท่านแม่”
“เฟลิค?” เธอเคยได้ยินว่าเด็กเล็กสามารถมองเห็นวิญญาณได้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเด็กพวกนั้นเห็นจริงหรือเปล่าจนกระทั่งตอนนี้
“ท่านแม่”
“เผลอแป๊บเดียวก็เดินไปไหนมาไหนได้แล้ว” เธอนั่งลงพลางดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดตามด้วยหอมศีรษะด้วยความคิดถึง ไม่รู้ว่าเทพีผู้สร้างโลกดึงวิญญาณเธอกลับมาที่นี่และทำให้ลูกชายแตะตัวเธอได้หรือเปล่า เจ้าหนูถึงกอดเธอได้เหมือนกอดคนที่ยังมีชีวิต
“...คิดถึงท่านแม่”
“ว่าแต่เจ้ารู้ได้ยังไงว่าแม่เป็นแม่เจ้า” ทว่าลูกชายกลับไม่ตอบแต่ชี้เลยไปทางด้านหลัง โรซาเลียมองตามก่อนจะปล่อยเจ้าหนูแล้วลุกขึ้นเดินไปตามทางที่เขาบอก
วิญญาณสาวผ่านทางเชื่อมเข้ามาในอีกห้อง เห็นผู้ชายผมสีขาวรวบเป็นเปียยาวถึงกลางหลัง เขาสวมชุดดำทั้งร่างและนั่งเอาหน้าซบโลงศพ บรรยากาศรอบกายก็หม่นหมองราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก ฝาโลงเปิดไว้บางส่วน เธอจึงเข้าไปดูใกล้ ๆ เพราะอยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร
“นั่นข้าเหรอ” เธอคิดว่าตัวเองต้องตาฝาดแน่ ๆ แต่พอลองขยี้ตาแล้ว ภาพก็ยังคงเหมือนเดิม คนในโลงศพคือตัวเธอในสภาพสมบูรณ์
ตอนแรกโรซาเลียคิดว่าหลังตกลงไปกระแทกพื้น ร่างเธอต้องแหลกเละแน่ ๆ เพราะความสูงก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย แต่ถึงร่างเธอจะอยู่ในสภาพดีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างนั้นไร้ลมหายใจไปนานแล้ว นอกจากศพก็มีดอกลิลลี่สีขาววางอยู่ในโลงด้วย พอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เธอจึงรู้ว่ามีการนำแจกันดอกไม้มาวาง แถมดอกไม้ในนั้นยังเป็นดอกลิลลี่แบบในโลงศพอีก
“สมัยที่ข้ายังเด็ก ป้าที่เลี้ยงข้ามาเคยบอกว่าดอกลิลลี่สีขาวหมายถึงการขอโทษได้ด้วย” เจ้าของเสียงหวานพึมพำขณะหันกลับมามองเจ้าของห้อง “ถ้าคิดจะขอโทษ อย่าหวังเลยว่าข้าจะให้อภัย”
“ท่านแม่” อยู่ ๆ เด็กชายก็เดินเตาะแตะเข้ามา “ท่านแม่ ๆ” เสียงเล็ก ๆ นั้นทำให้ไนเจลลัสเงยหน้ามองก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อลูกชายชี้ไปยังความว่างเปล่า ปากก็เรียกท่านแม่ซ้ำ ๆ จนเขาสงสัย
“นางอยู่นี่เหรอ” เรื่องเล่าจากแดนมนุษย์ที่ว่าเด็กเล็กเห็นวิญญาณได้ใช่ว่าเขาไม่เคยได้ยิน แต่การที่อยู่ ๆ เจ้าหนูก็พูดถึงแม่ขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะเห็นวิญญาณจริง ๆ
ไนเจลลัสมองไปยังความว่างเปล่า แม้เขาจะไม่เห็นอะไรแต่ถ้าโรซาเลียยืนอยู่ตรงนั้น เธอก็คงเห็นร่างตัวเองและดอกลิลลี่สีขาวที่มีอยู่ทั่วห้อง ทางด้านวิญญาณสาว พอเห็นหน้าเจ้าตัว เธอก็หลุดหัวเราะ ไม่นึกมาก่อนว่าจอมมารจะโศกเศร้าเป็นกับเขาด้วย วันพรุ่งนี้พายุคงพัดถล่มซาตาน่า
“อยากให้ข้ายกโทษเหรอ ฝันไปเถอะ!” ผู้กล้าสาวหัวเราะเยาะก่อนจะคว้าแจกันที่อยู่ใกล้ที่สุดมาขว้างใส่ศีรษะเจ้าของห้อง
ไนเจลลัสไม่ได้มีสีหน้าตกใจ เขายังคงนั่งนิ่งทั้งที่เลือดไหลอาบหน้า ทางด้านเด็กชายที่เห็นเหตุการณ์ก็ร้องไห้จ้า โรซาเลียจึงตรงเข้าไปกอดปลอบลูกชายแล้วพาเดินหนีไปอีกห้อง เหลือแค่ชายผู้เฝ้าโลงศพที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว จากเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาก็พอจะรู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร
“ไม่ยกโทษให้สินะ”
หลังตื่นจากฝันหรือจริง ๆ แล้วคือการถอดวิญญาณกลับไปที่โลกเดิม โรซาเลียยันตัวลุกขึ้นพลางยืดเส้นยืดสายก่อนจะลุกไปดูปฏิทินบนผนัง วันนี้เป็นวันประลองคัดเลือกองครักษ์ส่วนตัวของจอมมาร แน่นอนว่าเธอก็เข้าร่วมด้วย หญิงสาวหันไปมองกระจกเครื่องแป้ง เงานั้นสะท้อนภาพหญิงสาวที่เหมือนร่างเก่าตั้งแต่หัวจรดเท้าต่างกันอย่างเดียวแค่เธอคนนี้เป็นปีศาจ แต่ร่างเก่าของโรซาเลียเป็นมนุษย์และเป็นผู้กล้าด้วย
“คุณหนูโรซาเลีย ของที่คุณหนูสั่งไว้ ตอนนี้ส่งมาถึงแล้วนะคะ” เสียงของป้าแม่บ้านจีเซลดังพร้อมเสียงเคาะประตู เจ้าของห้องจึงอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา
“เชิญค่ะ”
“ข้าวางไว้ตรงนี้นะคะ” หญิงวัยกลางคนวางกล่องไม้สลักลวดลายสวยงามไว้บนโต๊ะจากนั้นนางก็ออกคำสั่งให้เด็กรับใช้พาเธอไปอาบน้ำแต่งตัว
สมัยเป็นผู้กล้า ทุกอย่างต้องทำเองแทบทั้งหมด เธอจึงรู้สึกแปลก ๆ เมื่อมีคนมาช่วยขัดผิวกับล้างตัวแต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าอีกสักหน่อยคงจะชิน หลังอาบน้ำเสร็จ ทุกคนก็นำชุดเกราะมาให้เธอสวม จีเซลมีสีหน้าเป็นกังวลเพราะกลัวว่าคนหนูจะหนักชุดแต่โรซาเลียเคยใส่มาแล้วตอนเป็นผู้กล้า เรื่องแค่นี้นับว่าสบายมาก
“คุณหนูเคลื่อนไหวสะดวกไหมคะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ” เจ้าของเสียงหวานทำท่ายืดเส้นยืดสายซึ่งมันก็ไม่ติดขัดอะไร “ดาบของข้าล่ะคะ” จีเซลรีบวิ่งไปยกกล่องไม้มาให้คุณหนูคนเล็กของบ้านทันที
ความจริงแล้วเธอก็มีดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของผู้กล้า แต่ตอนนี้เธอเป็นปีศาจ จะเรียกออกมาใช้ก็ยังไงอยู่ ดังนั้นหาดาบเล่มอื่นใช้ไปก่อนน่าจะเป็นการดีกว่า
“พอใจไหมคะ คุณหนู”
“เหมาะกับมือข้าเลยค่ะ” โรซาเลียหยิบดาบในกล่องไม้ขึ้นมาดู มันเป็นดาบที่มีขนาดพอ ๆ กับดาบคู่ใจของเธอ อาวุธชนิดนี้เป็นของที่จอมมารเอราเคียสั่งทำพิเศษและส่งมาให้หลานสาวโดยเฉพาะ มีพลังปีศาจในตัวเอง จึงไม่ต้องกังวลถ้าเวทหมดก็ใช้พลังจากอาวุธได้
หญิงสาวเสียบดาวเข้าฝักที่ติดอยู่กับเข็มขัดจากนั้นก็เดินออกจากห้องเพื่อจะได้ไปจัดการอาหารมื้อเช้า เธอได้ยินว่าเรเนสซ่าทำอาหารสุดฝีมือเพราะอยากให้น้องมีความสุขก่อนไปประลอง ทว่าก่อนจะไปถึงห้องอาหาร โรซาเลียก็ต้องเผชิญหน้ากับพี่สาวคนโตของบ้านที่เดินหัวเราะคิกคักมากับผู้ชายซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นคนละคนกับเมื่อคราวก่อน
'นางเปลี่ยนคู่นอนมากี่คนแล้วเนี่ย แต่ละวันไม่ซ้ำหน้าเลย' เธอส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วคิดว่าจะทำเป็นไม่สนใจ ถ้าไม่ติดว่าราโมน่าเรียกไว้ก่อน
“ไม่คิดจะทักทายยามเช้าบ้างเหรอ โรซาเลีย”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านพี่ราโมน่า” เจ้าของเสียงหวานหันมาทักทายตามมารยาท
“ถ้าข้าไม่บอก เจ้าคงไม่ทำล่ะสิ อย่างนี้แหละ พวกมีคนใหญ่คนโตให้ท้ายมักไม่มีมารยาท ทำอะไรก็ไม่เป็น” กล่าวจบ เธอก็กวาดสายตามองน้องสาวต่างแม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า “จะไปประลองเหรอ แพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงสนามแน่ ๆ เพิ่งฝึกต่อสู้ได้สองสัปดาห์เอง จะเอาอะไรไปสู้เขาได้”
“พอดีข้าเป็นคนขยันค่ะ ตลอดสองสัปดาห์มานี้ข้าฝึกหนักตลอด ไม่ได้นอนเฉย ๆ ให้ท่าผู้ชายหรอก” แม้จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์แต่เธอก็ไม่อยากเอามาใช้ ดังนั้นเธอจึงฝึกใช้พลังเวทของปีศาจรวมทั้งทบทวนวิชาดาบที่เคยฝึกมาตั้งแต่อยู่โลกเดิมด้วย
“เจ้าด่าข้าเหรอ”
“ข้ายังไม่ได้พูดชื่อท่านพี่เลยนะคะ”
“แต่สายตาเจ้ามองมาที่ข้า!” ราโมน่าชี้หน้าน้องสาวต่างแม่อย่างเอาเรื่อง
“ถ้าท่านพี่ไม่เป็นอย่างที่ข้าพูด ท่านพี่จะร้อนตัวทำไมคะ ไม่เชื่อถามเขาดูสิ” หญิงสาวโบ้ยไปทางชายหนุ่มที่เป็นคู่ขาคนล่าสุดของราโมน่า
“เอ่อ...คือ...” เขาไม่รู้จะพูดอะไรดี
“พอได้แล้วโรซาเลีย นังผู้หญิงหน้าจืด หุบปากแล้วก็ไปให้พ้น ๆ ซะ!” ราโมน่าทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากไล่ไปไกล ๆ แต่คนถูกไล่ไม่ยอมไปง่าย ๆ
“อย่าโมโหบ่อยนะคะ คุณพี่สาว เดี๋ยวแก่ไวไม่รู้ด้วย”
“นังผู้หญิงไม่มีใครเอา!”
“เห็นแบบนี้ก็มีผัวเป็นจอมมารนะยะ!” เนื่องจากเธอพูดเร็วไปทำให้ราโมน่าฟังไม่ทันจึงได้ยินแค่ว่าเห็นแบบนี้อะไรสักอย่าง และนั่นทำให้เธอหันมาถามคู่นอนตัวเอง
“มันพูดว่าอะไร”
“ไม่รู้สิ ฟังไม่ทัน”
หลังจากเปิดสงครามน้ำลายกับพี่สาวคนโตของบ้านไปยกหนึ่ง โรซาเลียที่เดินลงบันไดมาก็ขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม เธอไม่ได้คิดเรื่องการประลองหรือทะเลาะกับราโมน่า แต่เธอคิดเรื่องคำพูดที่พลั้งปากออกไปต่างหาก ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ก็นึกถึงไนเจลลัสขึ้นมา ผู้ชายคนนั้นทำให้ชีวิตเธอพัง ไหนจะทำภารกิจล้มเหลว ไหนจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แล้วยังมีเฟลิคเกิดมาอีก
“ข้าเป็นอะไรเนี่ย...” เจ้าของเสียงหวานชะงักเนื่องจากปวดหัวจี๊ดขึ้นสมอง จากนั้นภาพความทรงจำที่เธอนึกไม่ออกว่าเกิดขึ้นตอนไหนก็ไหลผ่านเข้ามาในห้วงความคิด
“ดูเหมือนความทรงจำของเจ้าจะมีปัญหา”
“ท่านเทรเวน่า!” โรซาเลียสะดุ้งโหยงจนเผลอถอยหลังไปหลายก้าว แต่พอตั้งสติได้จึงพบว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์แต่อยู่ในปราสาทของเทพีผู้สร้างโลก และตอนนี้สภาพเธอก็กลับมาเป็นร่างเก่าในโลกเดิมแล้ว “หมายความว่ายังไงคะ ที่ว่าความทรงจำของข้ามีปัญหา”
“เจ้าเป็นผู้กล้าหญิง การที่เจ้าเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปคืออะไร จำได้ไหม”
“...เสียความบริสุทธิ์ให้ปีศาจ” เธอตอบทั้งที่รู้สึกกระดากปากแม้จะใช้คำอื่นมาตอบ
“ใช่ นั่นคือกฎของผู้กล้าหญิง ถ้าผิดกฎจะเป็นยังไง”
“ไม่สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ จากนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างจะเริ่มกัดกินร่างกาย จิตใจ และความทรงจำ...” ประโยคนั้นทำให้โรซาเลียเบิกตากว้าง ถ้าเทรเวน่าบอกว่าความทรงจำของเธอมีปัญหา หมายความว่าอาจเกิดจากพลังศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าจำอะไรได้บ้างหลังจากใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้”
“ข้าโดนจอมมารข่มเหง ข้าท้อง ข้า...” เธอพยายามนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นแต่เหมือนมีบางอย่างขัด ๆ หาย ๆ จนเธอรู้สึกว่ามันไม่ปกติ “ข้าจำไม่ได้ว่าข้าคลอดลูกตอนไหน แต่ข้าจำได้ว่าสามวันหลังจากนั้นข้ารู้สึกอยากตาย ข้าก็เลยฆ่าตัวตาย”
“เจ้าเสียความทรงจำไปพอสมควร แต่ถ้าช่วงนี้เจ้ารู้สึกปวดหัวหรือมีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้นก็ไม่ต้องตกใจ ข้าเลือกเจ้าเป็นผู้กล้าอีกครั้ง กฎข้อห้ามทั้งหมด ข้ายกเลิกเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ ทุกสิ่งที่พลังศักดิ์สิทธิ์กัดกร่อนไปจะค่อย ๆ ฟื้นกลับมา เมื่อถึงตอนนั้นคิดจะทำอะไรก็คิดให้ดี ๆ นะ”
“ทำอะไรก็คิดให้ดี ๆ เหรอคะ...” โรซาเลียชะงักเมื่อพบว่าเทพีผู้สร้างโลกหายตัวไปแล้ว ตอนนี้เธอกลับมาอยู่ในคฤหาสน์อีกครั้ง แถมยังนั่งเก้าอี้รอกินอาหารเช้าพร้อมพี่สาวคนรองด้วย
“พี่ทำอาหารเยอะ กลัวว่าเจ้าจะไม่อิ่ม” เรเนสซ่าวางจานอาหารเช้าลงตรงหน้าน้องสาวก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “เจ้าจะไปประลองจริง ๆ เหรอ”
“ถามอีกแล้ว ข้าไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอาไว้ถ้าสู้ไม่ไหวจริง ๆ ข้าจะวิ่งหนีออกมาละกัน”
“พี่จะไปดูด้วยนะ” เธอไม่อยากปล่อยให้น้องคลาดสายตา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอจะได้หาทางช่วยเหลือทัน ทางด้านคนเป็นน้องก็ไม่กล้าปฏิเสธ พี่สาวอุตส่าห์ดูแลเธอขนาดนี้ จะไม่รับก็เสียน้ำใจแย่
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ เรเนสซ่า ตัวเองยังเอาไม่รอดแล้วยังไปช่วยคนอื่นอีก” ราโมน่าเดินลงมาพร้อมคู่ของตัวเอง นัยน์ตาสีเขียวมองจิกน้องสาวทั้งสองจากนั้นก็สะบัดหน้าเดินเกาะแขนผู้ชายออกไปนอกตัวคฤหาสน์
“เบื่อจริง ๆ พวกดอกไม้สีทอง”
“ดอกไม้สีทอง?”
“ไม่มีอะไรค่ะ ท่านพี่เรเนสซ่า กินข้าวกันเถอะ” โรซาเลียทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย เธอจะไม่พูดเด็ดขาดว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร เดี๋ยวพี่สาวคนรองจะรับไม่ได้