EP : 10
“ขอโทษ”
“ขอโทษบ้าอะไรของนาย ขอโทษที่หลอกฟันแล้วยังกล้าหลอกต่อว่าจะโทรหาน่ะเหรอ เหอะ! ไม่ต้องมาขอโทษ ก็แค่คำพูดของคนที่เมาแล้วได้กันฉันไม่ได้แคร์!”
“แต่ฉันแคร์!”
“...”
“เจ็บ อย่าบีบ”
“ไม่อยากให้บีบก็ฟัง คิดว่าอยากเงียบหายไปเฉย ๆ รึไงวะ! ฟังเหตุผลฟังคนอื่นก่อนไม่ใช่โวยวายว่าอีกคนแค่กลับมาหลอกอีกครั้งทั้งที่เขากำลังตั้งใจจะมารับผิดชอบเธอ!”
“...พูดอะไร?” เขาทำให้ฉันน็อคไปหลายวินาทีนะเขาเห็นรึเปล่า
“เดี๋ยวค่อยคุย” เอ้า! เดี๋ยวค่อยคุยทั้งที่เพิ่งพูดคำพูดน่าตกใจออกมานี่นะ?
“ได้ไง”
“ได้สิ ไปทำตัวเองให้มันใจเย็นกว่านี้ก่อนเดี๋ยวค่อยคุย”
“ใครจะใจเย็นได้ นายพูดอะ...อื้อ!!!” ฉันร้องได้แค่ในลำคอเพราะปากโดนเขาจูบ เขากระชากฉันไปจูบตามอำเภอใจยิ่งทำให้ฉันโมโห!
“อื้อ!!!” เขาจูบดุดันมากยิ่งดิ้นขัดขืนก็ยิ่งจูบแรงมากกว่าเดิมแต่ไม่นานเขาก็ผละออกแต่ฉันก็ไม่ได้ถูกปล่อยมือให้เป็นอิสระเหมือนเดิม
“นาย! / เรียกดี ๆ”
“...” ยังไม่ทันได้วีนจบเขาก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงดุ นี่จูบเพื่อลงโทษเหรอ? นี่คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกซีรีย์เกาหลีรึไงที่นางเอกพูดอะไรไม่เข้าหูก็จูบเอาจูบเอา!
“ถ้าพูดไม่เข้าหูอีกเธอไม่โดนแค่นี้” เขาขู่สำทับอีกรอบแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งที่เตียงหน้าตาเฉยแล้วก็ไม่สนใจฉันอีกเลย
นี่มันอะไรกัน?
เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับฉัน ผู้ชายที่มองหน้าฉันในผับจนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบลากฉันมาส่งที่หอ เปิดซิงฉันแล้วก็กลับไปพร้อมบอกว่ามีพรีเซ้นต์งานตอนเช้าเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่จะโทรหาจากนั้นเขาก็หายไปเลยไม่มีการติดต่อใด ๆ ประหนึ่งว่าเหตุการณ์สุดแซ่บจนแสบหว่างขาของขมิ้นคนนี้เป็นแค่ความฝันที่เป็นฝันร้ายแต่ไม่อาจจะสลายไปจากใจได้ง่าย ๆ แล้ววันนี้ก็โผล่หัว เอ้ย! โผล่หน้ามาแล้วบอกว่า
“ตั้งใจจะมารับผิดชอบเธอ”
...???
จริงเหรอคะ
ไม่อยากจะเชื่อเลย ทุกอย่างเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริงเลยสักนิด
ฉันหันหลังให้เขาช้า ๆ แล้วก็แอบหยิกตัวเองเบา ๆ อย่างกับตัวเองเป็นนางเอกเพี้ยน ๆ ที่เอะอะไรก็คิดว่าตัวเองฝันไปแล้วก็พบว่าเจ็บนิด ๆ เพราะไม่กล้าหยิกตัวเองแรงแต่แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน
ขวับ!
“ใจเย็นแล้ว” ฉันหยิกตัวเองเสร็จก็หันไปบอกเขาทันทีทำให้คนที่นั่งมองโทรศัพท์อยู่เงยหน้ามองฉันแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น
“ใจเย็นแล้ว?”
“อือ”
“เร็วไปรึเปล่า”
“จะตอนนี้หรือตอนไหนก็ต้องคุยถ้างั้นก็คุยเลยเถอะ”
“ไม่”
“เอ้า!”
“เราจะไม่คุยกันถ้าเธอยังพูดจาไม่เข้าหู”
“แล้วมันต้องพูดยังไงถึงจะเข้าหู มันไม่เข้าหูยังไงถ้าไม่เข้าหูนาย เอ้ย! พี่จะได้ยินรึไง”
“อย่ายอกย้อน พูดจาให้มันน่าฟัง”
“...” จะเอาอะไรนักวะ เกลียดมากเลยไอ้ท่าทางนิ่งขรึมเย็นชาตลอดเวลาทั้งที่ตัวเองกำลังทำให้คนอื่นโมโหของเขาเนี่ย เคยชอบผู้ชายเย็นชาแบบนี้นะแต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว! ขัดหูขัดตา!
พอฉันเงียบเขาก็แค่เฉย ไม่ได้เซ้าซี้ให้ฉันพูดให้เข้าหูเขามากกว่านี้ แค่ก้มหน้าสนใจหน้าจอโทรศัพท์ของเขาต่อ
เออ! ก็นายไม่ใช่คนที่อยากรู้ว่าคำพูดนายมันหมายความว่ายังไง นายไม่ใช่คนที่ถูกปล่อยให้รอจนเวลาผ่านมาสามวันนี้ไอ้พี่แม็คเวร!
“...พี่มีอะไรจะคุยกับมิ่น พูดมาได้แล้วค่ะ” ฉันใช้เวลาประมาณห้านาทีตั้งสติแล้วพยายามพูดให้น่าฟังและคิดว่ามันคงน่าฟังมากที่สุดสำหรับคนที่ถูกหลอกให้รอแล้วล่ะ จะให้ไพเราะเสนาะหูกว่านี้ก็คงไม่ไหว
“ใจเย็นแล้ว?”
“พอประมาณค่ะ พี่มีอะไรก็พูดมาเถอะ อยู่แบบนี้มิ่นว่ามันอึดอัด” ฉันใช้น้ำเสียงให้ดีที่สุด พยายามจะไม่ให้ตัวเองเผลอหลุดเสียงแข็งเพราะอันที่จริงฉันไม่ได้เป็นคนที่น้ำเสียงอ่อนหวานเลย หลายครั้งที่คิดว่าตัวเองพูดดีแต่คนฟังดันบอกว่าน้ำเสียงฉันแข็งซะนี่
“พูดไปแล้ว”
“คะ?”
“พูดไปแล้วไง”
“พูดอะไร?” พูดมาตั้งหลายคำถึงแม้ว่าคำพูดเขาจะไม่ถึงครึ่งที่ฉันพูดก็ตามเถอะ พอฉันถามออกไปเขาก็วางโทรศัพท์ลงที่เตียงแล้วพูดออกมา
“ตั้งใจจะมารับผิดชอบไง” เขาพูดคำนี้ออกมาฉันก็แอบใจเต้นแรง ไม่ชอบตัวแกตอนนี้เลยขมิ้นทำไมต้องใจเต้นแรงเพราะผู้ชายคนนี้อีกครั้งด้วย ไม่เข็ดรึไงกับสิ่งที่เขาทำไว้
“รู้ว่าพูดแล้วแต่มันไม่เคลียร์ไงคะ”
“ก็จะรับผิดชอบไง ที่หายไปเพราะงานมีปัญหาเลยมาหาไม่ได้ แล้วที่ไม่ได้โทรหาก้เพราะโทรศัพท์พังพอดี เปลี่ยนเครื่องใหม่เบอร์ก็หายไปแล้ว เคลียร์เรื่องงานเสร็จก็รีบมานี่ไง”
“...” ฉันฟังคำอธิบายของเขาเงียบ ๆ คำอธิบายที่อธิบายพอสังเขปแต่ก็เข้าใจได้ ถึงแม้ว่าจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่อยากรู้แต่เขาไม่ใส่รายละเอียดอีกพอสมควรก็ตาม -_-!
“เข้าใจที่บอกไหม”
“ก็...เข้าใจค่ะ แต่ไม่ต้องหรอกพี่ เราก็เมากันทั้งคู่ มิ่นไม่อยากให้ใครมารับผิดชอบค่เพราะต้องรับผิดชอบ...”
หมับ~
“อื้อ!!!” ยังพูดไม่จบเขาก็กระชากฉันเข้าไปจูบอีกครั้ง แต่จูบครั้งนี้ไม่เหมือนจูบลงโทษตอนที่พูดไม่เข้าหูเพราะมันอ่อนโยนมาก ๆ เขาค่อย ๆ บรรจงจูบแล้วใช้สองมือประคองแก้มฉันเอาไว้จากนั้นถึงได้ถอนจูบออกไปแต่ก็ไม่ยอมผละใบหน้าหล่อออกห่างไปไหนจนลมหายใจของเราสองคนรินรดกันให้รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“เลิกพูดอะไรงี่เง่า คนอย่างฉันไม่เคยทำอะไรเพราะต้องทำ ฉันจะทำแค่เรื่องที่ฉันอยากทำและ...เต็มใจทำเท่านั้น~”
“อื้อ~”
-เวลาต่อมา-
ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด
อ้าว! ไม่ใช่โทรศัพท์ของฉันนี่คะ สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดแถมแพงที่สุดแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีตาพี่แม็คเวลที่บุกเข้ามาหาแล้วบอกว่าจะรับผิดชอบฉันจากนั้นก็จูบฉันเอาเป็นเอาตายก่อนจะบอกว่าให้เราสองคนค่อย ๆ ทำความรู้จักกันไปแล้วก็ขอตัวกลับเพราะเขาต้องรีบไปดูงานของเขาต่อแต่เขาก็ทิ้งท้ายก่อนเดินออกไปว่า จะไม่หายไปไหน ลืมโทรศัพท์ไว้ ไอ้ฉันก็มัวแต่นั่งเสียอาการต่ออยู่คนเดียวตั้งนานสองนานจนไม่ได้สังเกตว่ามีโทรศัพท์แปลกปลอมอยู่ในห้องจนกระทั่งมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นนี่ล่ะค่ะ
...ผู้จัดการ
จะทำยังไงล่ะทีนี้ จะเสียมารยาทรับแทนก็น่าจะไม่ดีถ้างั้นอย่ารับเลย เดี๋ยวพี่เขารู้ตัวก็คงรีบกลับมาเอาอยู่แล้วล่ะปล่อยมันไว้แบบนี้ดีกว่า
ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดด
...ผู้จัดการ
เบอร์ที่เมมว่าผู้จัดการโทรมาห้ารอบในเวลาติดต่อกันสายตัดปุ๊บก็โทรมาใหม่ปั๊บแบบนี้แสดงว่าคนที่โทรมาต้องมีเรื่องสำคัญแน่ ๆ เอาไงดีวะมิ่น?
รับดีกว่าไหมมิ่น เขาคงมีเรื่องสำคัญอย่างน้อยก็บอกเขาว่าเจ้าของโทรศัพท์ลืมโทรศัพท์ไว้เขาจะได้หาวิธีติดต่อทางอื่นดีกว่าปล่อยให้เขาพยายามติดต่อให้ร้อนใจเพิ่ม
ติ๊ด!
“ฮัลโหล”
(กว่าจะรับ) เสียงราบเรียบคุ้นหูที่ดังออกมาจากปลายทำให้ฉันรู้ทันทีว่าใครโทรมา
“พี่แม็คเวลเหรอคะ มิ่นก็นึกว่าคนอื่นโทรมาหาพี่เลยไม่กล้ารับกลัวเสียมารยาท”
(อืม ไม่เป็นไรพอดียืมโทรศัพท์ผู้จัดการโทร แต่โทรศัพท์มีคอนแท็คลูกค้าที่ต้องติดต่อ มันสำคัญมากช่วยเอามาให้ทีไหมตอนนี้ไปไม่ได้ต้องทำงาน)
“คะ? อ๋อได้ค่ะ” ฉันมองนาฬิกาที่เพิ่งสองทุ่มเลยไม่ได้มีปัญหาอะไร ว่าแต่พี่เขาทำงานอะไรกันนะ?
(โอเคถ้างั้นช่วยเอามาให้ที่...)
-เวลาต่อมา-
ไหนนะ?
ฉันเดินงง ๆ เข้ามาในสนามแข่งรถที่ไม่เคยรู้จักแต่ก็ทำความรู้จักระหว่างที่นั่งแท็กซี่มาจนได้รู้ว่าที่นี่ดังมากในวงการแข่งรถทั้งในไทยแล้วก็ต่างประเทศ แถมยังทำเงินได้มหาศาลมากแล้วเจ้าของสองคนก็หล่อและรวยมากซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแค่คือพี่ฟีนิกซ์คนนั้นกับพี่แม็คเวลของมิ่นคนนี้ ///เพิ่งรู้นะเนี่ยว่านอกจากบ้านรวยเป็นทุนเดิมแล้วพี่เขายังหาเงินเก่งมาก~ กอไก่ล้านตัว อายุแค่นี้แต่มีธุรกิจเป็นของตัวเองได้แล้ว หล่อ รวย เก่ง แซ่บ ครบสูตรการเป็นสามีในอุดมคติของชะนีบ้าน ๆ ที่สุด! ///ว่าแต่เขาอยู่ตรงไหนนะ?
พี่เขาบอกว่าเข้ามาแล้วให้เดินไปหาพนักงานที่เค้าเตอร์แล้วบอกชื่อได้เลยเดี๋ยวพนักงานจะพาไปหาเองเพราะเขาบอกพนักงานไว้แล้วซึ่งมันก็จริงค่ะพอบอกชื่อพนักงานก็รีบพาเดินนำทางแต่พนักงานไม่ได้พาไปหาเขาจนถึงที่หรอกนะพนักงานแค่เดินมาส่งถึงประตูที่แปะป้ายว่า VVIP แล้วก็ให้ฉันเดินเข้ามาเองเพราะพนักงานต้อนรับไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเข้าไปโซนนี้เวลาเฮียมีแขก พนักงานต้อนรับมีหน้าที่ส่งแขกแค่ตรงนี้เท่านั้น ซึ่งมัน...อีหยังวะมาก -_-! จะส่งแขกก็น่าจะส่งให้ถึงที่สิ แล้วเนี่ยจากประตูตรงนั้นก็ต้องเดินมาอีกพอสมควร ลึกลับเป็นบ้าเลย อยู่ไหนนะอีตาพี่แม็คเวล
ฉันเดินมาอีกนิดหน่อยก็เริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันที่ฟังไม่ได้ศัพท์แว่วเข้ามาในหูแต่ไม่รู้จะใช่เขาไหมนะเลยค่อย ๆ เดินตามเสียงไปให้เงียบที่สุดถ้าใช่ก็ค่อยหาจังหวะส่งซิกให้เขารู้ว่ามาถึงแล้วจะได้มาเอาโทรศัพท์ไปแล้วฉันก็จะกลับ ไม่กล้าเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาเขาหรอกค่ะเดี๋ยวพี่เขาจะคิดว่าอยากออกตัวแรงมันจะไม่งาม ทั้งที่ความจริงก็อยากทำตรงกันข้าม แหะ ๆ
“เฮ้ยไอ้เวล” ฉันเดินตามเสียงมาจนได้ยินเสียงสนทนาที่ชัดเจนขึ้นแต่มันเป็นทางเลี้ยวซ้ายขวาพอดีไงคะเลยยังไม่เห็นคน แถมฉันยังได้ยินเสียงผู้ชายพูดคำว่าไอ้เวร เอ้ย! ไอ้เวลต่างหากล่ะแหะ ๆ ^_^! แสดงว่าพี่แม็คเวลต้องอยู่ตรงนี้สินะถ้างั้นหามุมที่จะส่งซิกให้พี่เขารู้ดีกว่าว่าฉันมาถึงแล้ว
“อืม มีไร”
“เมื่อไหร่มึงจะพาน้องเขามาวะ”
“น้องไหนวะไอ้ลูคัส”
“มึงจำไม่ได้?”
“อืม ถ้าจำได้จะถามมึงไหมล่ะ ตกลงยังไงน้องไหนของมึง”
“ก็น้องคนที่ตอนแรกไอ้นิกซ์กับไอ้ลูเฟิร์สจ้องเคลมแต่ไอ้เวลบอกว่าพวกมันไม่มีทางได้เคลมเพราะมันจะเคลมเอง แถมพวกมันสามตัวยังพนันกันอีกว่าใครแพ้ต้องหุ้นกันซื้อรถรุ่นที่คนชนะอยากได้ไง น้องเขาชื่ออะไรนะไอ้เวล...น้องขมิ้นใช่รึเปล่าวะ”