Time & Lalin 6 - เจอกันอีกแล้วนะครับ
Time & Lalin 6 - เจอกันอีกแล้วนะครับ
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
เมื่อฉันเปิดประตูเข้ามาก็พบกับเขา
“ทำไมเป็นคุณ” ตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่คิด แต่พอเป็นเขาจริง ๆ ก็แทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“พรหมลิขิตมั้งครับ” ใบหน้าหล่อเผยยิ้ม ทำเอาฉันนึกถึงคืนนั้นของเราในทันที
“ยังไงฉันก็ไม่ค่ะ” ฉันรีบหลบสายตาและรีบพูดเพื่อจบประเด็นอย่างที่เคยปฏิเสธบริษัททุกบริษัทที่มาก่อนหน้า
แค่มองใบหน้าของเขาภาพเมื่อคืนก่อนก็วนกลับมาให้ได้นึกถึงและเห็นเป็นฉาก ๆ อีกครั้ง
เราจบกันด้วยดีอย่างสุขสมกันทั้งคู่
วันไนต์สเตนก็คือวันไนต์สเตน
จบก็แยกย้ายไม่มีสานสัมพันธ์อะไรต่อจากวันนั้น
จนกระทั่งมาวันนี้...
“อ่านข้อเสนอก่อนสิครับ”
“ฉันไม่ชอบพูดอะไรซ้ำ ๆ” ฉันมองหน้าเขา ในขณะที่เรากำลังพูดเรื่องงานแต่สมองฉันกลับคิดไปเรื่องอื่น
ยัยลลินแกต้องตั้งสติไว้ก่อน
“ก็ได้ ถ้าคุณอยากให้คลิปของเราในคืนนั้นถูกเผยแพร่ว่อนอินเทอร์เน็ต...” และสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ดึงฉันกลับมาในทันที
“...ถึงตอนนั้น จะเกิดอะไรตามมาบ้าง” ไม่เพียงพูดเปล่าเขายังค่อย ๆ ก้าวเดินมาหาฉันทีละนิด พร้อมกับแววตาที่กำลังขู่ให้ฉันกลัว
“เอาสิ ฉันไม่กลัวอยู่แล้ว จากที่จะเป็นด้านลบ อาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้...” เขาคงไม่รู้ว่าฉันก็เป็นคนที่สู้คนเป็นเหมือนกัน
“...ฉันว่าคืนนั้น ฉันก็ทำอย่างเต็มที่อยู่นะ เผลอ ๆ คนอาจจะชอบจนฉันได้เปิดแอคมาสร้างสรรค์ผลงานแนวนั้นโดยเฉพาะก็ได้” ฉันยืดอกจ้องตาสู้กลับ
“...ถึงตอนนั้น ฉันจะเชิญคุณมาเป็นเกทส์คนแรกเลย”
สิ้นเสียงคำพูดของฉันใบหน้าหล่อก็เคร่งขรึมขึ้น
ไม่รู้ว่าคำพูดฉันไปสะกิดใจอะไรเขาหรือเปล่า และเขาก็ค่อย ๆ ก้าวมาชิดฉันยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หมับ มือแกร่งจับเข้าที่ข้อแขนของฉันเอาไว้ในตอนที่ฉันกำลังจะเดินหนี
“อ๊ะ คุณทำอะไร” พร้อมกับผลักหลังฉันติดกำแพง
“ตัวจริงคุณเป็นอย่างนี้นี่เองสินะ” แววตาของเขาตอนนี้ราบเรียบ ฉันเดาไม่ออกเลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
“มะ หมายความว่าไง” เขาคาดหวังว่าฉันจะเป็นคนแบบไหนกันนะ
“ปากดีและอวดเก่ง” นี่สินะที่เขามองเห็น
“ปล่อย” ฉันสะบัดแขนอย่างแรงเพื่อให้หลุดจากมือหนา
“แบบนี้ ผมยิ่งอยากเอาชนะคุณให้ได้” คำพูดของเขาทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
ชะงัก เราสบตากัน
ทำไมใจฉันเต้นแรงขึ้นอย่างนี้ล่ะ และจู่ ๆ กลิ่นน้ำหอมของเขาก็ลอยเข้ามาแตะจมูก
“อื้อ หยุดนะ” ฉันเผลอจ้องมองเขานานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีใบหน้าหล่อก็เข้ามาใกล้แทบจะประกบปากกับฉันอยู่แล้ว
แต่ดีที่ฉันตั้งสติยกมือบังได้ทัน
“ยังไงฉันก็ไม่ยอมหรอกนะ” ฉันพูดถึงทั้งเรื่องงานและเรื่องนี้ที่เขากำลังจะฉวยโอกาสด้วย
“คุณยังมีสิทธิ์บริหารต่อไป แค่มาอยู่ในเครือ..” คนตัวสูงพูดถึงเรื่องงานต่อ
“ไม่” ฉันโพล่งพูดออกไปปฏิเสธเขาทุกทาง
“ไม่ก็คือไม่ กลับไปเถอะคุณอย่าเสียเวลาเลย ยังไงฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ” ฉันดันตัวเขาออกห่าง
ซึ่งคราวนี้เขายอม
“เรามาคุยกันอย่างเป็นทางการดีกว่า” และเดินไปนั่งลงเก้าอี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
“อีกหน่อยแอปพลิเคชันก็จะมีผู้ใช้บริการมากขึ้นกว่าช่วงทดลอง คุณคิดว่าบุคลากรที่มีอยู่เพียงพอแล้วหรือยัง...”
ได้ยินดังนั้นทำเอาฉันฉุกคิด
“...ผมคงไม่ต้องอธิบายเยอะหรอกใช่ไหม”
“เฮ้อ ฉันลืมคิดส่วนนี้ไปเลย...” ตอนนี้ฉันได้กลับมานั่งในห้องทำงานของตัวเองแล้ว
ส่วนเขาคนนั้นกว่าฉันจะไล่กลับไปก็นานอยู่เหมือนกัน
สิ่งที่เขาพูดบอกหรือเตือนให้ฉันฉุกคิดมันจริงอย่างที่เขาว่าจริง ๆ
ก็เขาเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่นี่เนอะ คงมองขาดอยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
“...มัวแต่อีโก้สูง ทำยังไงดีล่ะ ขนาดแค่เปิดให้ทดลองใช้ปัญหาก็มาเยอะแล้ว ถ้าเปิดให้ใช้งานจริง ๆ ฉันจะทำยังไงจะจ้างพนักงานเพิ่มเพื่อมารองรับทุนก็ไม่เหลือแล้ว”
“เฮ้อ”
“นี่เลิกกลุ้มเรื่องงานได้แล้ว” เสียงของเกลเพื่อนรักของฉันเอ่ยบอก เพราะฉันเอาแต่นั่งถอนหายใจมาสักพักใหญ่แล้วล่ะ
“ไม่ให้กลุ้มได้ไง ฉันยังคิดไม่ตกเลยว่าจะเอาไงต่อ” ตอนนี้ฉันนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ร้านเหล้าสุดหรูที่เพื่อนฉันทำงานอยู่
ฉันมีเพื่อนที่สนิทเพื่อนรักเพื่อนตายเพียงคนเดียวก็คือเกล เธอทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในผับหรูแห่งนี้ คนละผับกับที่ไปเมื่อวันงานฉลองนะ
ผับนั้นฉันไม่กล้าไปแล้วล่ะ ปกติฉันไม่ค่อยเข้าผับบาร์แต่วันนี้มีเรื่องกลุ้มใจและจะมาเมาท์ปลดทุกข์ให้เพื่อนฟังด้วยจึงมา
“ฉันสร้างมากับมือ จะให้ไอ้พวกฉวยโอกาสเอาไปได้ไง” ฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเพื่อตอกย้ำตัวเองว่าสองมือของฉันนี่แหละที่สร้างมา
“แกก็หานายทุนสิ แบบเป็นแค่หุ้นส่วน ไม่ได้เสียหายอะไร บริษัทก็ยังเป็นของแก”
“เออจริงด้วย แต่ส่วนมากมีแต่จะมาขอเทคโอเวอร์กันทั้งนั้น” คำพูดของเกลทำฉันมีความหวังขึ้นอีกครั้ง
“แกเลยพาลในส่วนนี้ใช่ไหม”
“ก็ส่วนหนึ่งแหละ” เพราะไม่มีบริษัทไหนมาขอเป็นหุ้นส่วนกับฉันสักคน มีแต่จะมาเทคโอเวอร์
“เอาน่าค่อย ๆ คิด” คุยกับเกลปัญหาที่คิดว่าหนักก็คคลายลงไปได้ทุกครั้ง
“นี่ ฉันชงให้แก แก้เครียด” แม่สาวบาร์เทนเดอร์ยื่นแก้วน้ำสีสดใสให้ฉัน
“เหล้ามีสรรพคุณแก้เครียดด้วยเหรอ” ฉันมันคนอ่อนไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิดจริง ๆ
“มีสิ ไม่งั้นคนที่เครียด ๆ จะมาดื่มเหล้ากันทำไม” แต่เพื่อนสาวของฉันรู้ทุกอย่างเพราะด้วยอาชีพนางนี่เนอะ
“หลอกให้เมาหรือเปล่า” ฉันถามออกไปเพราะกลัวจะซ้ำรอยคืนนั้น ดื่มเหล้าครั้งแรกก็ได้มีวันไนต์กับผู้ชายเลย เริ่ดไปอีกเรา
“เป็นค็อกเทลดื่มง่าย” ฉันไม่รู้จักหรอกอะไรคือค็อกเทล
แต่พอจิบ ๆ ดูแล้ว รสชาติอร่อยกว่าน้ำสีเหลือง ๆ นั่นเป็นไหน ๆ
“แล้ววันนั้นแกยังไม่เล่าให้ฉันฟังเลยนะ ว่าผ่านคืนนั้นไปได้ไง”
“อะ แฮ่ก” ฉันสำลักน้ำในทันทีที่เกลเอ่ยถึงคืนนั้น
“มีอะไรก็เล่ามาให้หมด” ฉันกับเกลเราไม่เคยมีความลับต่อกัน ไม่ว่าจะเรื่องดาร์กสุดในชีวิตก็จะรับรู้กันทุกเรื่อง
และเรื่องที่ฉันไปมีวันไนต์กับเขาคนนั้น ฉันก็เล่าให้เกลฟังแต่ยังไม่ได้เล่าลงรายละเอียดลึกเท่าไหร่ แค่บอกว่าฉันเสียซิงแล้วให้กับผู้ชายที่เพิ่งเจอกันเพียงไม่ถึงชั่วโมง จนอายุป่านนี้แล้วฉันไม่ซีเรียสเรื่องคนแรกอะไรทำนองนั้นแล้ว และอีกอย่างเกลเพื่อนรักของฉันก็ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างถึงเรื่องวันไนต์สแตน
ว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร เราแค่เลือกคนและมองคนออกว่าเขาจะเก็บความลับไว้ได้ไหม
ซึ่ง ฉันผู้ที่ไม่ได้ช่ำชองและมีประสบการณ์จนดูคนออกแบบนาง
จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังดูไม่ออก...ว่าเขาคนนั้น
เป็นคนแบบไหนกัน
ที่ขู่เรื่องคลิปกับฉันวันนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเขามีคลิปนั่นจริงไหม เพราะหลังจากนั้นเขาก็พูดเตือนเรื่องงานออกมาอย่างคนหวังดี หรือแค่ต้องการพูดโน้มน้าวใจฉันก็เท่านั้น