PROLOGUE(4)
หกปีต่อมา...
“ไอ้เหี้ยเอิ๊ก!” เสียงของเพื่อนผมแน่ ๆ ผมจำได้ ไอ้นี่มันตัววุ่นวาย ชอบเสียงดัง แต่มันจะมาดังในตอนที่ผมนอนแบบนี้ไม่ได้ไหมวะ ผมปวดหัว ปวดจนหัวแทบจะระเบิด “ไอ้เหี้ยเอิ๊ก มึงตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ทำส้นตีนอะไรไว้เนี่ย”
“มึงเป็นบ้าอะไรไอ้เบนซ์ กูเมากูปวดหัวกูจะนอน” ผมคว้าผ้าห่มมาคลุมและดึงหมอนข้างที่อยู่ข้างตัวมากอดก่าย หมอนข้างวันนี้แม่งโคตรนุ่ม
นุ่มเกินไปไหมวะ
ว่าแต่ว่า... ทำไมหมอนข้างของผมมันมีเสียงบางอย่างดังตึก ตึก ตึก แล้วทำไมมันนิ่มเหมือนผิวของผู้หญิงวะ บ้าน่าผมไม่เคยหิ้วใครกลับมานอนบ้าน
จะว่าไปแล้วเมื่อคืนผมกลับมาบ้านได้ยังไง เท่าที่จำได้เมื่อคืนผมไปกินเหล้าบ้านไอ้เบนซ์เหมือนทุก ๆ วันที่ชอบหาที่กินเหล้ากัน ผมจำได้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งที่มากับเด็กของไอ้ธารพยายามให้ท่าผม ผมคิดว่าเธอก็โอเคดี เหมาะจะวันไนท์
ตกดึกผมที่เริ่มเมามากก็เลยเดินตามเธอคนนั้นไปที่ห้องน้ำบ้านไอ้เบนซ์ แล้วจากนั้นก็...อะไรต่อวะ
ลืม! ฉิบหายลืมหมดเลย
ทำไมผมกลับมานอนห้องตัวเองล่ะ
แล้วทำไมเพื่อนของผมมาอยู่ที่นี่
ไม่สิ พอตั้งสติดี ๆ ที่นี่ไม่ใช่ห้องผม กลิ่นผ้าห่มที่หอมไปด้วยกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มขนาดนี้ไม่ใช่กลิ่นที่ห้องผม
“ไอ้เหี้ยเอิ๊กมึงปล่อยน้องสาวกูเดี๋ยวนี้” เสียงเย็นยะเยือกของไอ้เบนซ์ดังขึ้นอีกครั้ง และประโยคนี้มันทำให้ผมลืมตาขึ้นโดยอัตโนมัติ ภายในผ้าห่มผมมองเห็นผมยาวสลวยที่ปกปิดใบหน้าของคนในอ้อมกอด
ผมกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ ถ้าบอกว่าที่ผมกอดอยู่คือน้องสาวของไอ้เบนซ์ แสดงว่าผมได้ยื่นขาข้างหนึ่งไปฝากไว้ในตารางแล้ว เพราะน้องสาวของไอ้เบนซ์อายุน้อยว่าผมมาก แต่ตรงนี้ไม่สำคัญเท่าเธอบรรลุนิติภาวะหรือยังก็ไม่รู้ ผมไม่เคยใส่ใจ มาถึงตอนนี้คงต้องสนใจแล้วล่ะ เพราะไม่แน่ว่าผมอาจจะเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง
และที่มากไปกว่านั้น ผมได้ทำอะไรน้องสาวของเพื่อนหรือเปล่าวะ
สำหรับผมคือจะวันไนท์กับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนของผม หรือคนที่ผมรู้จัก
ผมยึดหลักไม่กินคนใกล้ตัว เพราะเบื่อปัญหาที่จะตามมาทีหลัง
ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นมาปัดเส้นผมที่ปิดบังใบหน้าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดผม ภายในใจเฝ้าภาวนาว่า ‘ขอให้ไม่ใช่น้องสาวของเพื่อน ขอให้เป็นคนแปลกหน้า’
แต่คำภาวนาของผมมันไม่เป็นดังหวัง เพราะใบหน้าจิ้มลิ้มนี้ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมรู้จักเธอตั้งแต่ที่ผมเป็นเพื่อนกับไอ้เบนซ์ ซึ่งผมเป็นเพื่อนกับไอ้เบนซ์ตั้งแต่อายุ 13 ปี จนตอนนี้ผมอายุ 28 ปีแล้ว ตอนนั้นเธอคนนี้ตัวเท่าลูกหมาเองมั้ง
ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อมองดูว่าเธอใส่เสื้อผ้าหรือเปล่า และจากที่สายตาของผมสำรวจนั้นเธอมีสภาพล่อแหลมมาก ผมมองเธอแล้วก้มมองสภาพของตัวเอง
เออ... ห่อเหี่ยวเลยเอิ๊กเอ๊ย ผมว่าผมได้ทำแน่ ๆ เพราะอาวุธคู่กายของผมมันออกจากกางเกงมาทักทายโลกภายนอก และเหมือนมันกำลังจะเริ่มผงาดเมื่อมองหน้าอกตูม ๆ ของยัยตัวเล็กภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
ประเด็นหลักตอนนี้คือนอกผ้าห่มมีใครอยู่บ้าง ผมมั่นใจว่าไม่ได้มีแค่ไอ้เบนซ์แน่นอน
“ออกไปก่อน แต่งตัวแล้วจะรีบตามออกไปครับ” ผมเอ่ยเมื่อโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม โผล่แค่ผมคนเดียว ส่วนน้องสาวของเพื่อนผมกดหัวเธอเอาไว้ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่
อ่า เพื่อนผมทั้งหมดเลยก็ว่าได้ และที่สำคัญแม่เลี้ยงของไอ้เบนซ์อยู่ด้วย
ผมว่าผมถึงคราวฉิบหายแล้วล่ะ
“อย่าช้านะมึง” ไอ้เบนซ์ทำเสียงดุ สีหน้าของมันนี่ไม่ต้องพูดถึงครับ ถ้าผมเป็นอริมันก็พร้อมจับขวดฟาดหัวผมและกระโดดเข้ามาถีบผมให้ล้มจากนั้นก็คงกระทืบผมไม่ยั้ง คงเอาแบบไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตงี้
ระหว่างที่ผมทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะสู้หน้าแม่เลี้ยงของไอ้เบนซ์ยังไงดี เพื่อนของผมที่เหลือก็พากันส่ายหัวไปมา
แม่ง พากันเอือมผมไง ผมก็อยากร้องบอกพวกมันเหมือนกันว่า ‘เออ กูก็เอือมตัวเองโว้ย ตำตอจนได้’
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง
จากนั้นทุกคนก็พากันเดินออกจากห้องไป
ตอนนี้ก็เหลือแค่ผมและน้องสาวของไอ้เบนซ์
นาฬิกาติดข้างฝาบอกเวลาตีสามกว่า
ตีสามกับเรื่องราวที่น่าปวดหัว
อันดับแรกผมคงต้องคุยกับเธอคนนี้ก่อน