บทที่ 3 อันตรายจากรัตติกาล
“เซลีน่า ข้าจับไก่ป่ามาด้วยล่ะ”
“ก็ดี ข้าจะได้ทำของอร่อย ๆ กิน” ทันทีที่ก้าวออกมาจากห้อง เจ้าของบ้านก็เจอแวมไพร์หนุ่มบุ้ยใบ้ไปทางไก่ป่าที่ถูกจับมาในสภาพเลือดหมดตัว หญิงสาวรวบผมเป็นก้อนกลม ๆ บนศีรษะจากนั้นก็นำวัตถุไปล้างทำความสะอาด ตามด้วยถอนขน ปิดท้ายด้วยการนำไปขึ้นเขียง
เสียงสับไก่ดังก้องไปทั่วบ้าน นอสที่นั่งอยู่ในซอกหลืบของห้องโถงก็กะพริบตาปริบ ๆ เซลีน่ารู้สึกเหมือนถูกมอง เธอจึงจ้องตากลับ มือข้างที่จับมีดก็สับแรงขึ้นจนน่ากลัวว่าเขียงจะแยกเป็นสองท่อน แวมไพร์หนุ่มรู้สึกแปลก ๆ ทำไมเขาคิดว่าเธออยากสับเขามากกว่าไก่ก็ไม่รู้
คงไม่ได้อยากกินเนื้อเขาหรอกนะ!
“อีกเดี๋ยวข้าจะลงไปที่หมู่บ้านนะ ว่าจะไปเยี่ยมคุณยายท่านหนึ่ง เราทุกคนในหมู่บ้านรู้จักดี ท่านเก่งเรื่องจัดดอกไม้” เซลีน่ากล่าวพลางจุดเตาไฟ วางตะแกรง จากนั้นก็นำชิ้นเนื้อไก่ที่หมักเครื่องเทศเมื่อครู่ไปวาง ดูเหมือนว่าเมนูประจำวันนี้จะเป็นไก่ป่าย่าง
“ถ้าอย่างนั้น ข้าไปนอนก่อนนะ” นอสโบกมือขณะถอยหลังเข้าไปในห้อง พอเจ้าของบ้านตวัดสายตามาพร้อมมีดในมือ แวมไพร์หนุ่มก็รีบปิดประตูลงกลอนทันที
สงสัยกลัวถูกจับไปย่าง
“เชื่อแล้วว่าเป็นพวกระดับต่ำ ขู่นิดหน่อยก็กลัว” หญิงสาวส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่ตัวเองจะไปอาบน้ำอาบตามด้วยกลับมากินอาหารเช้า เสร็จแล้วจึงไปหยิบตะกร้าใส่ของเดินออกจากบ้านไปเงียบ ๆ
ระหว่างทางที่เซลีน่าเดินผ่านป่า เมื่อเห็นดอกไม้สวย ๆ ร่างบางก็จะเก็บมาใส่ตะกร้าและเดินทางต่อไปที่หมู่บ้าน บรรยากาศทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เด็ก ๆ คุณลุง คุณป้า คุณตา และคุณยาย ต่างกล่าวทักทายเธออย่างเป็นมิตร ผิดกับพวกสาว ๆ ที่จ้องมองมาอย่างอาฆาต ส่วนชายหนุ่มทั้งหลายก็ตรงเข้ามาพ่นคำหวาน ๆ บางรายก็นำดอกไม้มาให้แต่เธอก็ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
“เป็นคนสวยนี่ลำบากจริง ๆ เมื่อเช้าก็กินไก่ย่างตั้งเยอะ ทำไมไม่เห็นพุงออกสักที” เซลีน่ามองหน้าท้องแบนราบของตัวเองแล้วก็หนักใจ ขอให้มีพุงยื่นสักนิดก็ยังดี แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นอย่างนั้น
อีกด้านหนึ่งขณะที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ แวมไพร์ซึ่งควรจะงีบหลับกลางวันยังไม่เข้านอน แต่กำลังหยิบสมุดบันทึกบนชั้นวางมาอ่าน มีหลายคำที่กล่าวถึงเซลีน่า นอสจึงเดาว่าคนเขียนน่าจะเป็นแม่ของเธอ เนื้อหาคงไม่พ้นบันทึกประจำวัน แถมมีรูปวาดง่าย ๆ ประกอบด้วยจึงดูน่ารักขึ้นไปอีก ทำให้คนอ่านเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“อยู่กับแม่สองคนมาตลอดสินะ”
'แถมขี้เหงาด้วย' เจ้าตัวต่อท้ายในใจขณะพลิกหน้ากระดาษอย่างเบามือเพราะกลัวมันขาด หากเซลีน่าเจอเข้า เธอคงไล่เขาออกจากบ้านเพราะทำข้าวของเสียหาย
“ไปทำอะไรมาล่ะ ถึงเจ็บตัวแบบนี้”
“ก็เหมือนเดิมครับ เพียงแต่วันนี้ฝึกหนักกว่าทุกวัน”
“งั้นเหรอ แย่จังเลยนะ”
“ข้ามีเวลาพักอีกสองชั่วโมง หลังจากนี้คงต้องฝึกต่อ ท่านแม่อย่าดุข้านะ ถ้าข้านอนไม่พอ”
“ไม่ดุหรอก แต่ที่ไม่ชอบ เพราะเจ้าต้องเจ็บตัวอีกแล้วต่างหาก”
เจ้าของเสียงหวานในความทรงจำนั้นกลายเป็นแค่อดีตที่ผ่านมาเนิ่นนาน กี่ร้อยปีแล้ว นอสก็เริ่มลืมแต่พอได้เจอกับเซลีน่า อีกทั้งรู้ว่าเธอเคยอยู่กับแม่สองคนมาก่อน ชายหนุ่มจึงนึกถึงแม่ของตัวเองที่จากไปนานแล้ว
“ท่านแม่ ดูเหมือนว่าข้าจะเจอคนที่เหมือนข้าตอนเด็ก ๆ ด้วยล่ะ”
กว่าจะเสร็จธุระ เวลาก็ผ่านไปจนกระทั่งพลบค่ำ นาน ๆ ทีหญิงสาวจะกลับบ้านช้าเพราะที่ผ่านมากลับก่อนดวงอาทิตย์ตกดินเสมอ เซลีน่าเร่งฝีเท้าขณะใกล้ถึงทางออกจากหมู่บ้านเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตร จังหวะนั้นสัญชาตญาณก็บอกให้เธอหมอบลง ทำให้ผู้หญิงที่วิ่งมาตบถึงกับเซวูบจนล้มหน้าทิ่มพื้นดิน
“นังเซลีน่า!” อีกฝ่ายลุกขึ้นมาชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง
“ตบมันเลย! ตบมัน!” สาวร่างผอมอีกสองคนยืนให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ
“ปาไข่เน่าใส่แล้วยังไม่เข็ด วันก่อนก็มาเดินโปรยเสน่ห์ยั่วผู้ชาย คิดว่าตัวเองสวยนักเหรอ!” ร่างบางตวาดเสียงดังอย่างไม่อายใคร ทำให้ทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงกับหยุดดู ส่วนสาว ๆ คนอื่นนอกจากลิ่วล้อทั้งสองก็ส่งเสียงเชียร์ให้เล่นงานเป้าหมายอยู่ห่าง ๆ
“พวกเจ้านี่ก็แปลกนะ ข้าก็อยู่เฉย ๆ ของข้า ไม่รู้จะเกลียดอะไรนักหนา ข้าไปฆ่าพ่อแม่เจ้าหรือไงถึงเคียดแค้นขนาดนี้” หญิงสาวผมสีแสงจันทร์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย แต่คำพูดของเธอคงไม่เข้าหูคนตรงหน้า เพราะตอนนี้อีกฝ่ายกำลังโกรธจัดสุด ๆ
“สวยนักใช่ไหม งั้นวันนี้ข้าจะฝากรอยนิ้วมือไว้บนหน้าเจ้าเอง!” ว่าแล้ว คนหาเรื่องก็วิ่งมาตวัดมือใส่ เซลีน่าเอี้ยวตัวหลบก่อนจะดึงอีกฝ่ายให้หันหน้ามา จากนั้นเธอก็เหวี่ยงตะกร้าตบหน้าสวนคืน ปิดท้ายด้วยการถีบผู้หญิงคนนั้นจนล้มกลิ้งไปสามตลบท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของผู้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน
“มีใครอยากโดนตะกร้าตบอีกไหม”
“...”
“ไม่มีสินะ งั้นข้ากลับบ้านล่ะ” เจ้าของเสียงหวานเร่งฝีเท้าไปจากที่เกิดเหตุทันทีเพราะใจจริงก็ไม่อยากมีเรื่องกับใครต่อ ไม่อย่างนั้นคนที่แย่อาจเป็นเธอซะเอง
เซลีน่าไม่เคยฝึกการต่อสู้แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมคน ถ้าเป็นเรื่องตบตีตามประสาผู้หญิง เธอก็ทำได้ถ้าจำเป็นต้องทำเพื่อป้องกันตัวอย่างเมื่อครู่ ทั้งหมดไม่ใช่เพราะอยากแก้แค้น แต่เธออยากสั่งสอนให้รู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมารังแกอยู่ฝ่ายเดียว
“จะไปไหนจ๊ะ เซลีน่าคนสวย” ลูกชายหัวหน้าหมูบ้านกับลิ่วล้ออีกสามคนซึ่งแอบดักรออยู่ก็ก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ คนถือตะกร้าชะงักพลางถอยหลังอย่างระวังภัย นัยน์ตาสีแสงจันทร์กวาดมองไปรอบ ๆ สายตาแต่ละคนไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด
“แฟรงค์”
“ใช่ ข้าเอง”
“หลีกไป ข้าจะกลับบ้าน” เธอทำท่าเดินเลี่ยงไปทางอื่นแต่ชายหนุ่มกลับมาขวางแถมลิ่วล้อทั้งสามยังล้อมด้านหลังเธอไว้อีก สัญชาตญาณบอกว่าคราวนี้ทั้งสี่ไม่ได้มาดีและเธอควรออกไปจากที่นี่โดยเร็ว
“อยู่คุยกับข้าก่อนสิ”
“เสียเวลา น่ารำคาญ ถ้าเจ้าไม่ได้หูหนวกก็คงได้ยินข้าพูดแล้ว หลีกไปซะ ข้าจะกลับบ้าน”
“นังนี่! ดื้อจริง!” แฟรงค์ชักหมดความอดทน ในใจเขาเต็มไปด้วยไฟแห่งตัณหา เขาอยากได้เธอไปครอบครองใจจะขาดแต่เธอไม่เคยชายตาแล ในเมื่อทำดีด้วยแล้วไม่ยอมก็มีแต่ต้องใช้กำลังเท่านั้น “จะไม่ยอมมาดี ๆ ใช่ไหม งั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว...”
พลั่ก!
ชายหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ เซลีน่าก็เตะเข้าจุดยุทธศาสตร์เพศชายเต็มแรง ลิ่วล้อคนหนึ่งกระโจนเข้าใส่ เธอเอี้ยวตัวหลบทัน แต่นั่นทำให้ชายอีกคนพุ่งเข้ามาล็อกคอเธอได้ ลูกน้องคนที่สามวิ่งมา ร่างบางจึงถีบสวนกลับเต็มแรงทำให้อีกฝ่ายเซไปชนเพื่อนที่กำลังลุกขึ้นมา เซลีน่ากัดแขนคนที่จับตัวเธอจนเขายอมปล่อย จากนั้นเธอก็เหวี่ยงตะกร้าตบหน้าทำให้เขาเซไปชนต้นไม้ทันที
“นังนั่นมันหนีไปแล้ว! ตามไปเร็ว!” แฟรงค์กัดฟันลุกขึ้นยืนพลางวิ่งตามหลังเจ้าของเรือนผมสีแสงจันทร์โดยมีพวกลิ่วล้อตามหลังมาติด ๆ
เร็วเข้าตัวข้า สับขาให้เร็วกว่านี้! หญิงสาวบอกตัวเองในใจ ขาสองข้างเร่งความเร็วในการวิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกไม่อย่างนั้นสี่คนด้านหลังอาจไล่ตามทัน
“ลูกพี่ นังนั่นมันวิ่งเร็วชะมัดเลย!”
“มันทิ้งห่างพวกเราแล้ว!” พวกลิ่วล้อตะโกนบอกหัวหน้าขณะไล่ตามเป้าหมาย เห็นตัวบาง ๆ ท่าทางไม่มีพิษภัยแต่ใครจะนึกว่านอกจากจะสู้แล้วยังหนีไวอีก
“ไม่ต้องพูดมาก ตามมันไป ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ข้าก็ต้องได้นังนั่นมาเป็นเมีย!”
“แต่มันไปไกลแล้วนะลูกพี่!” ลิ่วล้ออีกคนตะโกนบอกเมื่อเห็นเซลีน่าวิ่งลับสายตาไป ทั้งสี่จึงหยุดอยู่กับที่ในสภาพเหนื่อยหอบ ตั้งแต่เกิดมา พวกเขายังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนวิ่งเร็วแบบนี้มาก่อน
“เอาไงลูกพี่ นังนั่นหนีไปแล้ว”
“ถามอยู่ได้ ก็กลับสิวะ จะอยู่เลี้ยงอาหารยุงหรือไง!” แฟรงค์ตวาดใส่ลูกน้องก่อนจะหันหลังกลับ พลันเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวในพุ่มไม้ก็ทำให้ทั้งกลุ่มหยุดชะงัก เมื่อมองไปยังต้นกำเนิดเสียงก็ไม่เห็นอะไร ลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านจึงส่ายหัวแล้วเดินกลับไปตามเส้นทางที่วิ่งมา
“ลูกพี่ ข้ารู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีใครจ้องมองเราอยู่เลย” หนึ่งในสามลิ่วล้อพูดขึ้นทำให้หัวหน้ากลุ่มรู้สึกหงุดหงิด จังหวะที่จะหันไปต่อว่า ตอนนั้นเองที่เขาเห็นเงาร่างของอะไรบางอย่างยืนอยู่ด้านหลังคนที่บ่นเมื่อครู่
“นั่น...นั่น...ขะ...ข้างหลัง!” แฟรงค์ชี้นิ้วสั่น ๆ ทั้งที่อ้าปากค้าง ลูกน้องคนนั้นเห็นปฏิกิริยาของลูกพี่ก็สงสัยว่ามีอะไร แถมเพื่อนอีกสองคนยังทำหน้าตกใจอีก ทันทีที่หันหลังไป เขาก็รู้แล้วว่าไม่ควรออกนอกบ้านหลังดวงอาทิตย์ตกดิน
กี๊ซ!!!
“สะ...สัตว์ประหลาด!”
ในที่สุดเซลีน่าก็วิ่งกลับมาถึงบ้าน หญิงสาวรีบผลักประตูเข้าไปด้นในจากนั้นก็ลงกลอนล็อกอย่างดี เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เธอจึงเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้ยาวพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อกี้ วันนี้ช่างเป็นวันซวยของเธอจริง ๆ ไหนจะถูกผู้หญิงตามมาตบ แล้วยังมีผู้ชายตามมาทำมิดีมิร้ายอีก วันนี้เธออาจรอด แต่วันหน้า เธอจะรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้
“กลับมาแล้วเหรอ” นอสเปิดประตูห้องออกมา พอเห็นเจ้าของบ้านก็ทักทาย เซลีน่าปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วพยักหน้ารับจากนั้นก็เข้าครัวไปทำอาหารมื้อเย็น
“เจ้าจะออกไปหาเลือดใช่ไหม”
“ใช่ ไปไม่นาน เดี๋ยวข้าก็มา...” อยู่ ๆ แวมไพร์หนุ่มก็ชะงัก เขาขมวดคิ้วก่อนจะเดินมาหาเจ้าของบ้าน นัยน์ตาสีแสงจันทร์หันมาเห็นก็รีบเดินถอยหลังทันที
“อะไร มองหน้าข้าทำไม”
“เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรนี่” เธอไม่เข้าใจว่าเขาถามอะไรในเมื่อเธอปกติดีทุกอย่าง นอสยังไม่เลิกขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีไพลินกวาดมองคู่สนทนาตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อแน่ใจว่าร่างบางไม่ได้บาดเจ็บอะไร เขาจึงมองไปทางอื่นแทน “เจ้ามองหาอะไรอีกล่ะ”
“ที่มาของกลิ่นเลือด”
“กลิ่นเลือดเหรอ”
“ใช่ ข้าได้กลิ่นมัน” ชายหนุ่มหันมาเฉลยคำตอบที่ต้องเข้าใกล้เซลีน่า “ถึงจะจาง ๆ แต่มันเป็นกลิ่นเลือดไม่ผิดแน่ เมื่อกี้ข้านึกว่ามาจากตัวเจ้า แต่คงไม่ใช่ บางทีกลิ่นน่าจะมาจากข้างนอก”
“อาจจะเป็นสัตว์สักตัวเพิ่งตายใหม่ ๆ ก็ได้”
“ไม่นะ ข้ารู้สึกว่าเป็นเลือดมนุษย์” จากนั้นต่างฝ่ายต่างก็เงียบไปชั่วขณะ นอสเหมือนนึกอะไรได้จึงถามเธอ “ภูเขาลูกนี้ นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครอาศัยอยู่อีกหรือเปล่า”
“ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด บ้านข้าเป็นบ้านหลังเดียวบนภูเขาถ้าไม่นับหมู่บ้านที่อยู่ข้างล่าง แล้วนี่ถามทำไม”
“ก็แค่คิดว่านั่นอาจเป็นที่มาของกลิ่นเลือด แต่ช่างเถอะ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็จะออกไปหาอาหาร” ว่าจบ ร่างสูงก็หันหลังเดินออกไปทันที เซลีน่าตามไปล็อกประตูจากนั้นจึงหันมาทำอาหารมื้อเย็นสำหรับตัวเอง
หวังว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ นะ
เช้าวันต่อมา หญิงสาวก็ออกมาตักน้ำรดแปลงผักกับต้นไม้ต้นอื่น ๆ ที่ปลูกไว้ตามปกติ นอสกลับมาตั้งแต่เที่ยงคืนและอีกไม่นานก็คงได้เวลาเข้านอนของเขา เสียงฝีเท้าสองคู่ดังแว่วมาจากทางหน้าบ้าน เซลีน่าจึงวางถังน้ำแล้วออกมาดู จึงเห็นว่าเป็นคุณลุงกับคุณป้าที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
“กำลังจะเรียก เจ้าออกมาพอดี”
“มีอะไรเหรอคะ” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ปกติแล้วมีแต่เธอที่ลงไปในหมู่บ้าน แต่วันนี้ทำไมถึงมีคนจากที่นั่นมาหาเธอได้ สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะพูดขึ้น
“หมู่บ้านเรามีคนตาย แฟรงค์กับพรรคพวกน่ะ”
“!!!” แค่ได้ยินว่ามีคนเสียชีวิตและคนคนนั้นเป็นใคร เธอก็ยิ่งตกใจแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อช่วงค่ำวานนี้ สี่คนนั้นยังวิ่งไล่เธออยู่เลย
“หัวหน้าหมู่บ้านท่านเสียใจมาก ช่วงสาย ๆ จะจัดงานศพ เซลีน่าก็มาช่วยงานหน่อยนะ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” เจ้าของเรือนผมสีแสงจันทร์เดินเข้าบ้านเพื่อหยิบของที่จำเป็นใส่ตะกร้า จากนั้นเธอก็เดินออกมาและไปพร้อมกับสองสามีภรรยา ส่วนนอส เมื่อกี้เธอกวาดสายตามองรอบ ๆ บ้านแต่ไม่เห็นตัว จึงเดาว่าเขาน่าจะเข้านอนแล้ว
บรรยากาศงานศพแบบเรียบง่ายที่ถูกจัดในหมู่บ้านเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ถึงแม้ว่าแฟรงค์กับพรรคพวกจะทำตัวเกเรแต่เพราะทุกคนเห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย พอตายไป ทั้งหมดจึงรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก หัวหน้าหมู่บ้านก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดเพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายคนเดียว เซลีน่ามาช่วยงานฝ่ายห้องครัวเพราะเธอถนัดทำอาหาร แต่ไม่นึกว่าระหว่างทำงานจะได้ยินบทสนทนาหนึ่งเข้า
“น่าสงสารจริง ๆ”
“ตายตั้งแต่อายุน้อย”
“เห็นว่าตายเพราะถูกดูดเลือดหมดตัว” หญิงวัยสามสิบกว่า ๆ สองคนกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ระหว่างนั่งหั่นผัก บังเอิญว่าหม้อต้มซุปอยู่ด้านหลังทั้งสองและเซลีน่าที่กำลังตักซุปใส่ชามเพื่อให้คนเสิร์ฟอาหารมายกไปให้แขกที่ร่วมงานก็นั่งเงียบ ๆ เพื่อรอฟัง
“ทั้งสี่คนเลยเหรอ”
“ใช่ ๆ ที่ต้นคอมีรอยกัด เหมือนเขี้ยวอะไรสักอย่าง”
“ถ้าถูกดูดเลือด นั่นใช่รอยเขี้ยวแวมไพร์หรือเปล่า”
“จะบ้าเหรอ หมู่บ้านเราไม่เคยมีกรณีแบบนี้มาก่อนนะ”
“ก็ไม่แน่นะ อาจมีแวมไพร์เข้ามาในหมู่บ้านเราก็ได้”
'แวมไพร์? หรือว่า...!' เซลีน่าจำได้ว่าหมู่บ้านของเธอไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ ถ้าคนที่ฆ่าทั้งสี่เป็นแวมไพร์จริง ผู้ต้องสงสัยก็คงไม่พ้นนอสซึ่งตอนนี้กำลังนอนอยู่ในบ้านเธอ อีกอย่างเหยื่อถูกฆ่าเมื่อคืน และช่วงเวลานั้นชายหนุ่มก็ออกไปข้างนอกพอดี!
ปึง! ปึง! ปึง!
เสียงทุบประตูดังสนั่นทำให้คนหลับกลางวันต้องขยี้ตางัวเงียแล้วมุดออกมานอกผ้าห่ม ร่างสูงเดินหาวนอนมาเปิดประตู พริบตานั้นมีดสับหมูก็ตวัดมาทำให้เขาเอี้ยวตัวหลบทันควัน เซลีน่าที่พลาดเป้าก็หันกลับมาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง นอสเบิกตากว้างพลางมองเธอสลับกับมีด ก่อนที่หญิงสาวจะใช้มีดไล่ฟันเขาอีก แวมไพร์หนุ่มจึงยกมือห้าม
“เดี๋ยว ๆ เจ้าจะทำอะไร”
“ฝีมือเจ้าใช่ไหม”
“หา!?”
“หมู่บ้านข้ามีคนตายสี่คน เห็นว่าถูกกัดและถูกดูดเลือดจนตาย รอยเขี้ยวก็เหมือนแวมไพร์ เท่าที่ข้ารู้ ตอนนี้บนภูเขามีแวมไพร์อยู่ตนเดียวนั่นคือเจ้า สารภาพมา เจ้าเป็นคนทำใช่ไหม!” เซลีน่ายกมีดชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง นอสทำหน้าเหลอหลาพลางโบกไม้โบกมือว่าไม่ใช่
“ข้าเปล่านะ ข้าไม่ได้ฆ่าใครเลยนะ!”
“โกหก!”
“ข้าไม่ได้โกหก เมื่อคืนข้าไปหาเลือดดื่มก็จริง แต่ข้าดื่มแค่เลือดไก่ป่านะ ไม่ได้ดื่มเลือดมนุษย์เลย ข้าสาบานได้” นอสปฏิเสธข้อกล่าวหาขณะเดินถอยหลังเมื่อเห็นเซลีน่าถือปลายมีดคม ๆ ชี้มาทางเขา
“ไม่ต้องมาพูดเลย!”
“ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ นะ...” พูดไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มก็เหยียบผ้าห่มจนลื่นหงายหลังล้มอย่างน่าสมเพช เจ้าของบ้านมองสภาพผู้ขออาศัยก็ส่ายหน้าเอือมระอา ซุ่มซ่ามแบบนี้คงฆ่าใครไม่ได้ อย่างมากก็กินได้แค่เลือดสัตว์ ส่วนเลือดมนุษย์ คงต้องร้องขอเอาถึงจะได้กิน
แวมไพร์พันธุ์ไหนเนี่ย!
“เอาเถอะ คราวนี้ข้าจะเชื่อเจ้า แต่อย่าให้รู้นะว่าโกหก ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้าขึ้นเขียงและเอามีดสับเป็นชิ้น ๆ ซะ!” หญิงสาวชูมีดขึ้นมาข่มขู่ นอสได้แต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นเหมือนเด็กทำผิดแล้วถูกแม่ขู่จะตีถ้าทำตัวเป็นเด็กดื้อ
“นี่ยังไม่ถึงกลางคืนเลย” เมื่อมองออกไปนอกประตูห้อง เห็นแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ชายหนุ่มจึงรู้ว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะออกไปข้างนอกได้
“ข้าขอพวกผู้ใหญ่กลับมาบ้านก่อน ตอนบ่าย ๆ ข้าจะไปช่วยงานศพต่อ แล้วอย่าก่อเรื่องอะไรนะ ข้าจะไปอาบน้ำ ร้อน เหงื่อออกอีกแล้ว” เซลีน่าถือมีดกลับไปวางที่เดิมจากนั้นจึงเข้าห้องตัวเองเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ทางด้านนอสก็ค่อย ๆ ปิดประตูแล้วกลับไปมุดอยู่ในผ้าห่มบนเตียงต่อ
หวังว่าเธอจะไม่มาลากเขาลงจากเตียงนะ!