บทที่ 2 แวมไพร์อยากคุยด้วย
เซลีน่าเคยฟังนิทานเรื่องของหญิงสาวแห่งดวงจันทร์ ซึ่งคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวก็คือแม่ที่จากไป สิ่งนั้นเป็นความฝันฉายซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่นัยน์ตาสีแสงจันทร์จะลืมขึ้นมองเพดานห้องนอน ส่วนลึกในใจก็คิดถึงพ่อกับแม่ แต่ความจริงคือเธออยู่คนเดียว ส่วนเรื่องพบกับแวมไพร์ เธออาจฝันไปก็ได้ นึกแล้วหญิงสาวก็เก็บที่นอนก่อนจะเดินบิดขี้เกียจออกมานอกห้อง จนกระทั่งพบว่าบ้านทั้งหลังไม่ได้เปิดหน้าต่าง และที่เก้าอี้ไม้ยาวกลางห้องโถงนั้นมีคนนั่งอยู่
“อยากให้เป็นความฝันจริง ๆ แต่ก็ได้แค่คิดสินะ” เซลีน่าเมินเจ้าของนัยน์ตาสีไพลินที่มองมา แล้วเปิดประตูเดินออกไปข้างนอกเพื่อทำงานประจำวัน
“เซลีน่า!” นอสเดินออกมาที่ประตูด้านหลังบ้าน ซึ่งบริเวณนี้ไม่มีแดด เขาจึงยืนอยู่ได้แต่ก็ห้ามก้าวพ้นเงาบ้าน “คือ...เมื่อคืนข้าไปล่ากระต่ายมา”
“...” หญิงสาวหันมามองคนพูดแล้วจึงหันไปรดน้ำผักในแปลงเหมือนมีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าดูดเลือดกระต่ายจนหมด เหลือแต่ตัว เจ้าจะเอาไปย่างกินก็ได้นะ” เขาพยายามชวนอีกฝ่ายคุยแต่เธอแค่หันมามองก่อนจะหันไปทำงานของตัวเองต่อ
'การเข้าสังคมของมนุษย์กับแวมไพร์ไม่น่าจะต่างกันนี่ ถ้าอยากคุยก็ต้องชวนคุยสิ' พอเซลีน่าไม่คุยด้วย นอสจึงทบทวนสิ่งที่เคยเรียนรู้มา เขาทำอะไรไม่ถูกหรือเปล่า เธอถึงไม่พูดไม่จา
“เบื่อจริง ๆ พวกมาอาศัยบ้านคนอื่น เห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกนะ ถึงให้อยู่ด้วย” เจ้าของเสียงหวานจงใจบ่นออกมาดัง ๆ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูก
“ถ้าข้าหายดีแล้ว ข้าจะรีบไป”
“งั้นก็รีบ ๆ หาย แล้วก็อย่าย่องมาดูดเลือดข้ากลางดึกล่ะ ระแวงเหมือนกัน” ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนใจร้ายถึงขนาดขับไล่ไสส่งคนที่เดือดร้อนแล้วมาขอที่พักอาศัย แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นแวมไพร์ แถมยังกัดแขนดูดเลือดเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ดังนั้นเซลีน่าจึงไม่ชอบขี้หน้าเขานัก
กลัวว่ากลางดึก นอนอยู่ดี ๆ จะเสียเลือดโดยไม่รู้ตัว!
“ไหนล่ะ กระต่ายที่เจ้าเอามา” หลังเสร็จงาน เจ้าของบ้านก็เดินมาถาม นอสถอยหลังไปสามก้าวก่อนจะชี้ไปยังกระต่ายสีน้ำตาลที่นอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะวางของกลางห้องครัว
“ข้าไปนอนพักก่อนนะ” คนขออาศัยค่อย ๆ ชี้ไปยังห้องนอนอีกห้องที่ว่างเปล่า ซึ่งห้องนั้นถูกปิดไม่ให้ใช้ตั้งแต่แม่ของเซลีน่าจากไป ตอนนี้เธอเปิดใช้อีกครั้งเพราะมีคนมาอยู่บ้านเพิ่มขึ้น
“อย่าทำข้าวของเสียหายล่ะ นั่นห้องแม่ข้า”
“ข้าจะไม่ทำอะไรเสียหายทั้งนั้น”
“ดี งั้นไปนอนได้แล้ว ข้าจะไปซื้อเครื่องเทศในหมู่บ้าน ตอนเที่ยงข้าจะทำอาหาร ตอนเย็นเจ้าค่อยออกมาละกัน” หญิงสาวหยิบขนมปังอบร้อน ๆ เข้าปากตามด้วยดื่มน้ำอีกหนึ่งแก้ว เธอตรงไปหยิบตะกร้าตามด้วยเดินออกจากบ้านไป ทิ้งให้นอสยืนอยู่คนเดียว
'ก็เข้าใจอยู่ว่าเคืองที่ถูกเรากัด แต่มันช่วยไม่ได้นี่' ชายหนุ่มนึกถึงคืนแรกที่เจอกัน ตอนนั้นเขาจำเป็นต้องได้เลือดมนุษย์เพื่อฟื้นฟูร่างกายโดยด่วนจริง ๆ
ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องนอนที่เจ้าของบ้านยกให้ ดูจากสภาพห้อง เธอคงดูแลทำความสะอาดอย่างดี นัยน์ตาสีไพลินจับจ้องชั้นวางของซึ่งมีหนังสือไม่มากนัก นอสหยิบบันทึกเล่มเล็ก ๆ ขึ้นมาอ่านเล่มหนึ่ง เมื่อเปิดดูจึงเห็นว่าเป็นลายมือของใครบางคนที่กล่าวถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงซึ่งใจความสำคัญคือเซลีน่าเกิดวันนั้น
“รู้แล้วว่าจะคุยอะไรกับนาง” เขาพยายามชวนเจ้าของบ้านคุย นอกจากเธอจะเมินแล้วเขาก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าควรคุยเรื่องอะไร บางทีประเด็นนี้อาจทำให้การคุยกับมนุษย์ใกล้ตัวเป็นไปได้สวย
ซึ่งเขาก็หวังให้เป็นอย่างนั้นนะ!
“นังเซลีน่ามาอีกแล้ว”
“ปาไข่เน่าใส่คราวก่อน ยังกล้ามาเหยียบหมู่บ้านอีก”
“นังหน้าด้าน!”
“ดูสิ ผู้ชายมองมันเต็มเลย”
'ยัยพวกนี้อีกแล้ว' หญิงสาวถึงกับยกมือกุมหน้า ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในหมู่บ้าน สาว ๆ รุ่นราวคราวเดียวกับเธอซึ่งมีหลายสิบคนก็มองหน้าอย่างหาเรื่องตลอดทาง ผิดกับพวกหนุ่ม ๆ ที่มองตาเป็นมัน จังหวะนั้นชายคนหนึ่งก็ตรงมาหาเธอ
“เซลีน่า”
“แฟรงค์” เจ้าของเสียงหวานมองดอกไม้ที่อีกฝ่ายนำมาให้ ด้านหลังก็มีพรรคพวกตามมาอีกสามคน ไม่บอกก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนมีอิทธิพลในหมู่บ้าน “เอามาให้ข้าทำไม”
“ดอกกุหลาบแทนความรู้สึกของข้า ข้าอยากให้เจ้ารับไว้”
“...”
“ข้าเลือกดอกที่ดีที่สุดเชียวนะ”
“ใช่ ๆ ลูกพี่ใส่ใจมากเลย” ลิ่วล้ออีกสามคนช่วยสนับสนุนเผื่อว่าเธอจะใจอ่อนรับของจากลูกชายหัวหน้าหมู่บ้าน เซลีน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะดันมือคนตรงหน้าออกไป
“ขอโทษที ข้าเพิ่งทำแจกันที่บ้านแตก เอากลับไปก็ไม่มีอะไรมาใส่ดอกไม้หรอก ข้าไปซื้อของก่อนนะ” เจ้าของเรือนผมสีแสงจันทร์เดินหิ้วตะกร้าจากไปโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้แฟรงค์ยืนอึ้งเพราะไม่นึกว่าจะถูกปฏิเสธ
“ฮึ่ม! เห็นว่าเป็นสาวสวยนะ ข้าถึงทำแบบนี้ ก็ดี ถ้าไม่ยอมรับรักจากข้า อย่าหวังเลยว่าชีวิตจะมีความสุข!” ชายหนุ่มขว้างดอกกุหลาบลงพื้นแล้วเหยียบจนแหลกคาเท้า สายตาก็มองแผ่นหลังของผู้หญิงที่เดินห่างออกไป วันนี้เซลีน่าปฏิเสธเขา แต่วันหน้าเธอไม่รอดแน่
วันนี้ยังดีหน่อยที่ไม่มีใครปาไข่เน่าใส่เหมือนวันก่อน ทว่าเรื่องที่ทำให้เธอหงุดหงิดก็คือลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านนำดอกไม้มาให้ เพียงแค่นั้นเซลีน่าก็รู้สึกได้ว่าสาว ๆ จ้องเธออย่างอาฆาตหนักกว่าเดิม อีกอย่างเธออาจต้องระวังตัวเพราะคนอย่างแฟรงค์ อยากได้อะไรก็ต้องได้ เมื่อเธอปฏิเสธเขา เขาก็คงหาทางทำให้เธอยอมรับเขาให้ได้แน่
“ใครบอกว่าสวยแล้วจะเจอแต่เรื่องดี ๆ ซวยทุกวันล่ะไม่ว่า” หญิงสาวไม่ได้หลงตัวเอง แต่หน้าตาและรูปร่างมันสวยชวนหลงใหลจริง ๆ หลายครั้งที่พยายามกินอาหารเยอะ ๆ จะได้อ้วนพุงกาง ทว่ากินเท่าไรก็ไม่อ้วนสักที เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกปวดหัวอย่างมาก
บางทีการเป็นคนสวยก็ไม่ใช่เรื่องดี!
ในที่สุดเซลีน่าก็กลับมาถึงบ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอจะเปิดหน้าต่างไว้สักบานสองบานเพื่อให้มีแสงและอากาศเข้าไปด้านใน ทว่าตอนนี้มีแวมไพร์มาขออยู่ด้วย เธอจึงจำเป็นต้องปิดหน้าต่าง แต่พอนึกได้ว่านอสน่าจะหลับอยู่ในห้อง คงไม่เป็นอะไร ถ้าเธอจะเปิดหน้าต่างรับแดดรับลม
“แวมไพร์จะนอนกลางวันนี่นะ อีตานั่นคงไม่ตื่นตอนนี้หรอก” ร่างบางพึมพำขณะเข้าบ้านแล้วเปิดหน้าต่างทุกบาน ยกเว้นห้องนอนที่เธอยกให้นอสใช้
เซลีน่านำกระต่ายสีน้ำตาลที่ชายหนุ่มนำมาให้ไปทำอาหาร ก่อนจะลงมือหั่นเนื้อ เธอก็ขอโทษขอโพยในใจ แม้ว่าจะไม่อยากทำแต่ในเมื่อมันตายแล้ว เธอก็จะไม่ทำให้มันตายเสียเปล่า เครื่องเทศที่ซื้อมาจากหมู่บ้านถูกนำมาใช้ปรุงอาหารในปริมาณที่เหมาะสม หลังจากทำเสร็จก็ถึงเวลาเที่ยงวันซึ่งก็สมควรจัดโต๊ะอาหารสักที
'ไม่อร่อยเท่าฝีมือแม่ แต่ก็ใช้ได้ เอาเถอะ ปกติเราทำแต่อาหารง่าย ๆ นี่นะ' พอเนื้อกระต่ายเข้าปาก เธอก็นึกถึงสตูที่แม่เคยทำให้กินในวัยเด็ก จริงอยู่ที่เธอเคยช่วยทำบ่อย ๆ แต่ฝีมือก็ยังไม่อร่อยเท่านั้นเลย ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต เซลีน่าก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
บางทีเธอควรจะคุยกับใครสักคนเพื่อคลายความเหงา
หลังจากดวงอาทิตย์ตกดิน แสงแดดที่เป็นภัยก็หายไปจากพื้นโลกและแทนที่ด้วยแสงจันทร์ นอสเปิดประตูออกมาจากห้องนอนพลางปิดปากหาวก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเจ้าของบ้านนั่งตีพุงหลังจัดการสตูกระต่ายจนหมดหม้อ พลันนัยน์ตาสีแสงจันทร์ก็จ้องชายหนุ่มเขม็ง แล้วรอยยิ้มชวนขนลุกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“สตูเนื้อแวมไพร์ท่าจะอร่อยไม่น้อย”
“!!!” ร่างสูงถึงกับหน้าเหวอ ขาสองข้างพาถอยหลังเข้าไปในห้องทันควัน เซลีน่าระเบิดเสียงหัวเราะ เธอตบโต๊ะเรียกอีกฝ่ายกลับมาก่อนที่เขาจะขวัญบินไปไกลลิบ
“ข้าล้อเล่น”
“ข้ารู้แล้วว่าทำไมเผ่าพันธุ์ข้าถึงหลบซ่อนเร้นจากสายตามนุษย์ เป็นเพราะแบบนี้สินะ” นอสเดินออกมาแต่ยังถอยไปอยู่ในซอกหลืบของห้องโถงเนื่องจากระแวงว่าจะถูกจับไปทำสตู
“พูดอย่างกับแวมไพร์กลัวมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่ต้องกลัวแวมไพร์” เจ้าของเสียงหวานยอมคุยด้วยขณะเก็บโต๊ะอาหารตามด้วยนำจานชามไปล้างที่อ่างปิดท้ายด้วยการเก็บภาชนะเข้าที่ให้เรียบร้อย “ข้าเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดกัน แวมไพร์ชอบไล่ล่าเอาเลือดมนุษย์ ตอนกลางคืนไม่ค่อยมีใครกล้าออกจากบ้านหรอก ขนาดข้ายังไม่ออกไปทำธุระตอนกลางคืนเลย”
“แต่วันที่เราเจอกัน เจ้าอยู่นอกบ้าน”
“ก็ข้าออกมาดูดวงจันทร์ แค่หน้าบ้านเอง ไม่เป็นไรหรอก” เซลีน่าเสมองไปทางอื่นเพราะมันจี้ใจเต็ม ๆ เธอบอกเองว่าไม่มีใครออกจากบ้านตอนกลางคืน แต่ตอนนั้นเธอดันอยู่นอกบ้านซะนี่ “แม่ข้าเคยเล่าให้ฟังว่าแวมไพร์ชอบจับหญิงสาวแห่งดวงจันทร์ไปดูดเลือด” ว่าแล้วเซลีน่าก็คว้ามีดสับหมูที่วางอยู่ใกล้ ๆ ขึ้นมาเป็นการข่มขู่ “ถ้าเจ้ากล้าสูบเลือดข้า ข้าจะเอาเจ้าไปทำสตูเนื้อแวมไพร์”
“ไม่ทำแน่จ้ะ” นอสชูมือสองข้างขึ้นราวกับเหยื่อถูกคนร้ายเอามีดจี้ชิงทรัพย์ เจ้าของเสียงหวานส่ายหน้าเล็กน้อยแล้ววางมีดลงบนชั้นเก็บของตามเดิม
“ว่าแต่เรื่องที่ข้าพูดเมื่อกี้เป็นความจริงหรือเปล่า” เธออยากรู้ว่าเรื่องเล่าที่ฟังมาจากแม่นั้นมีความจริงมากน้อยแค่ไหน อีกอย่างนอสตั้งใจจะชวนเธอคุยเรื่องนี้พอดี เจ้าตัวจึงมีสีหน้าดีใจนิดหน่อยเมื่อได้เพื่อนคุย
“ก็ถูกส่วนหนึ่ง แวมไพร์จับผู้หญิงพวกนั้นไปดูดเลือดจริง ๆ ถ้าได้เลือดพวกนางมาล่ะก็จะทำให้ฟื้นฟูตัวเองได้เร็วแล้วยังได้พลังเพิ่มด้วย แต่บางทีแวมไพร์ก็ไม่ได้จับไปดูดเลือดอย่างเดียวหรอก”
“แล้วเอาไปทำอะไร”
“เอาไปแต่งงาน” คำตอบนั้นทำให้เซลีน่าขมวดคิ้ว เธอหูฝาดหรือเปล่า แวมไพร์มีการแต่งงานกับมนุษย์ด้วย “เราเชื่อว่าแวมไพร์ที่เกิดจากผู้หญิงพวกนี้จะมีพลังแข็งแกร่ง ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ”
“เจ้าเคยเห็นเหรอ”
“เคยสิ แวมไพร์ชั้นสูงไง พวกเขาชอบใช้หญิงสาวแห่งดวงจันทร์มาผลิตลูก ไม่ว่าพวกนางจะเต็มใจหรือไม่ อย่างไรซะ พวกนางก็ต้องให้กำเนิดแวมไพร์รุ่นใหม่อยู่ดี เพียงแต่การมีลูกกับแวมไพร์ไม่ใช่เรื่องง่าย มนุษย์อ่อนแอกว่าแวมไพร์ พอตั้งท้อง เด็กจะสูบเลือดสูบเนื้อแม่ ส่วนใหญ่แม่จะอ่อนแอจนตายและเด็กพวกนั้นจะไม่ได้เกิดมา ตอนนี้แวมไพร์ที่เกิดจากหญิงสาวแห่งดวงจันทร์มีแค่คนเดียวในโลก ถ้าข้อมูลไม่ผิดพลาดนะ”
“โหดร้าย ทำเหมือนผู้หญิงเป็นสิ่งของ ผู้ชายเป็นแบบนี้หมดหรือไง ข้าล่ะเกลียดนัก” ในสายตาของเซลีน่า ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่นต่างก็เห็นผู้หญิงเป็นแบบนี้ จึงไม่แปลกที่เธอจะหงุดหงิดเวลามีผู้ชายมาโปรยเสน่ห์ใส่
“ดูท่าเจ้าจะสนใจเรื่องนี้จังเลยนะ”
“แน่นอน แม่ข้าเล่าให้ฟังบ่อย ๆ นี่นา และข้าก็สนใจเรื่องแวมไพร์กับหญิงสาวแห่งดวงจันทร์ด้วย ข้าฟังจนเป็นนิทานก่อนนอนทุกวันเลยล่ะ แต่ตอนนี้...” นัยน์ตาสีแสงจันทร์กวาดมองไปรอบ ๆ ห้องซึ่งไม่มีร่างของคนที่เธอคิดถึงอยู่อีกแล้ว นอสสังเกตเห็นแววตานั้นจึงเข้าใจว่าหญิงสาวรู้สึกอย่างไร
“เจ้าเหงาเหรอ”
“ก็ไม่เชิง พอแม่ข้าตาย ข้าก็อยู่คนเดียว อีกอย่างข้าเป็นคนสวย นี่ไม่ได้หลงตัวเองนะ ข้าพูดความจริง บอกตามตรงว่าถึงจะสวยก็ใช่ว่าจะเจอแต่เรื่องดี ๆ ข้านี่เจอแต่เรื่องซวย ๆ อยู่เรื่อย” เซลีน่าถอนหายใจยาวเหมือนคนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ นอสมองเธอเงียบ ๆ และจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง
“เป็นอะไรไปลูก”
“เบื่อครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ข้าถูกสั่งห้ามครับ อดไปเล่นกับเด็กพวกนั้นอีกแล้ว”
“งั้นเหรอ แย่จังเลยนะ”
บทสนทนาในความทรงจำเมื่อนานมาแล้วทำให้แวมไพร์หนุ่มชำเลืองมองเจ้าของบ้านที่นั่งเงียบ เซลีน่าแสดงออกอย่างชัดเจนว่าการอยู่คนเดียวทำให้เธอรู้สึกแย่ไม่น้อย ยิ่งไม่ค่อยได้คุยกับใครก็ยิ่งทำให้เธอเหงา
ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร ทำไมเขาจะไม่รู้ ในเมื่อเขาเคยผ่านมันมาแล้ว
“เซลีน่า เจ้าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับแวมไพร์อีกหรือเปล่า ถ้ามีก็ถามได้นะ” นอสพยายามชวนเธอคุย แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นสีหน้าแปลก ๆ ของเธอแทน
“เจ้านี่พิลึกชะมัด ผีดูดเลือดเป็นพวกขี้คุยหมดหรือเปล่าเนี่ย เงียบหน่อยเดียวก็ชวนคุยแล้ว” คำพูดนั้นเป็นเหมือนกำปั้นหนัก ๆ พุ่งมาชกหน้าชายหนุ่มเต็มแรง ร่างสูงถึงกับยกมือปิดหน้า เขาอยากจะร้องไห้ให้รู้แล้วรู้รอด ก็แค่เห็นเงียบไป กลัวว่าจะเหงา เขาถึงชวนคุย แต่สุดท้ายกลับถูกต่อว่า
มนุษย์มีฝีปากแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า!
“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าแวมไพร์ชั้นสูง” ในที่สุดเธอก็ยอมคุยด้วยอีกรอบ “พวกเจ้าก็แบ่งชนชั้นเหมือนมนุษย์ด้วยเหรอ” เธอรู้เป็นครั้งแรกก็ตอนนี้นี่เอง
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่เผ่าพันธุ์ข้าจะแยกออกเป็นสามระดับนั่นคือสูง กลาง และต่ำ” นอสชูมือสามนิ้วจากนั้นจึงอธิบายต่อ “ระดับต่ำคือแวมไพร์ทั่วไป ถ้าเทียบกับมนุษย์คงเป็นทหารธรรมดาไม่ก็สามัญชน”
“แล้วระดับกลางล่ะ”
“พวกนี้เป็นขุนนาง”
“แล้วระดับสูง?”
“พวกนี้คือราชวงศ์”
“มีราชวงศ์ด้วย!” ในสมองของเซลีน่ากำลังจินตนาการอาณาจักรแห่งรัตติกาลที่เต็มไปด้วยแวมไพร์ และตอนนี้เธอกำลังนึกภาพเหล่าราชวงศ์ที่ปกครอง คงมีแต่สวย ๆ หล่อ ๆ แถมน่าเกรงขามแหง ๆ
“พวกราชวงศ์จะมีพลังเยอะ โดยเฉพาะราชาแวมไพร์ เขาจะมีพลังมากกว่าแวมไพร์ตนอื่น ส่วนราชินีจะมีหรือไม่มีก็ได้ อย่างที่ข้าบอก แวมไพร์ชั้นสูงครอบครองหญิงสาวแห่งดวงจันทร์เป็นสิบ ๆ คน คนคนนั้นคือราชาแวมไพร์ นอกจากผู้หญิงชาวแวมไพร์ด้วยกันก็มีสาว ๆ พวกนี้แหละที่เป็นภรรยาเขา”
“ว่าแต่เจ้าอยู่ระดับไหน” ตั้งแต่ตอนไหนกันที่เซลีน่าอยากให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยได้ยินมาก่อนแถมอยู่คนเดียวมาตลอด พอได้คนคุยด้วยจึงเผลอถามและฟังจนเพลิน
“ต่ำ”
“...” เธอนั่งนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะลุกเดินมาตบบ่าเป็นการปลอบใจ “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจชีวิตชนชั้นล่าง” นอสชำเลืองมองเจ้าของเสียงหวานที่กำลังยิ้มกว้าง
“ข้าไปหาอะไรกินข้างนอกนะ” เจ้าตัวบุ้ยใบ้ออกไปทางหน้าต่าง
“จะไปก็ไป ถ้าอิ่มแล้วก็รีบกลับมา ข้าจะได้ปิดประตูบ้าน แล้วก็อย่าไปดูดเลือดคนในหมู่บ้านนะ ไม่อย่างนั้น...” เซลีน่ามองมีดสับหมูที่เก็บไว้บนชั้นวาง นอสมองตามสลับกับมองหน้าเธอก่อนจะพยักหน้ารัว ๆ จากนั้นจึงรีบออกจากบ้าน หาเลือดสัตว์ได้ตอนไหน เขาจะรีบกลับมา
นอสไม่กล้าก่อเรื่องหรอก เพราะเขาไม่อยากกลายเป็นสตูเนื้อแวมไพร์!