บทที่ 1 ผู้มาจากท้องฟ้ายามราตรี
ช่อดอกไม้สีขาวค่อย ๆ วางบนหลุมศพท่ามกลางต้นไม้ที่รายล้อมภายในป่า หญิงสาวเจ้าของเรือนผมยาวสยายค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการไว้อาลัยผู้ที่จากไปก่อนจะหิ้วตะกร้าเดินลงจากเนินเขา เมื่อมองจากตรงนี้จะเห็นหมู่บ้านตั้งอยู่ไม่ไกล ข้าวของที่ต้องซื้อก็ไม่มีอะไรมากจึงไม่ต้องกลัวว่าจะหนักเวลากลับขึ้นมา
“คุณตาสวัสดีค่ะ”
“มาซื้อของเหรอ เซลีน่า”
“ก็แค่ของใช้ที่จำเป็นค่ะ” เจ้าของผมสีแสงจันทร์ให้คำตอบกับชายชราที่ถอนหญ้าอยู่ตรงบริเวณหน้าบ้าน จากนั้นก็เดินผ่านไปยังบ้านหลังต่อมา
“อรุณสวัสดิ์ครับ พี่เซลีน่า” เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่กำลังพาพรรคพวกไปวิ่งเล่นโบกมือทักทายเมื่อเห็นเธอซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มตอบขณะหิ้วตะกร้าเดินไปเรื่อย ๆ
“เซลีน่า วันนี้เจ้าว่างหรือเปล่า พอดีข้าจะ...”
“วันนี้ข้าไม่ว่าง ข้าต้องรีบซื้อของ” ชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอตรงมาขอคุยด้วยแต่เธอก็ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล นอกจากเขาแล้วยังมีหนุ่ม ๆ อีกมากมายที่อยากจะคุยด้วยแต่เธอก็ให้คำตอบแบบเดียวกันหมด
“นังเซลีน่ามาอีกแล้ว”
“ข้าล่ะหมั่นไส้”
“ผู้หญิงอะไร ผู้ชายตามก้นเป็นขบวน”
'เจอพวกนี้อีกแล้ว' หญิงสาวทำเป็นหูทวนลมขณะเดินผ่านสาว ๆ สามคนที่เดินสวนทางมา จากบทสนทนาทำให้รู้ว่าคนพวกนั้นไม่ชอบเธอ ยิ่งกว่านั้นเวลาเดินผ่านบ้านหลังไหน หรือที่ใดก็ตามที่มีผู้หญิง พวกเธอจะมองเซลีน่าด้วยสายตาไม่เป็นมิตรผิดกับพวกผู้ชายที่มองเธอด้วยแววตาเป็นประกาย
อีกไม่นาน เซลีน่าก็จะอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ทว่าสิ่งที่มาพร้อมกับการเจริญเติบโตของร่างกายนั้นคือความสวยหรือความซวยซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจ ไปไหนมาไหน ผู้ชายอยากเข้าหา แต่ผู้หญิงกลับเกลียดขี้หน้า ถ้าไม่นับหญิงวัยกลางคนจนถึงผู้สูงอายุ หญิงสาวก็ไม่กล้าคุยกับสาว ๆ พวกนั้น เนื่องจากพวกเธอพร้อมเอาเรื่องเสมอ
โชคดีที่บ้านอยู่บนภูเขา ไม่อย่างนั้นคงถูกปาข้าวของใส่บ้านไม่เว้นวัน!
“ดูสิ นังเซลีน่ากำลังกลับบ้าน”
“ข้าล่ะเกลียดจริง สวยตายแหละ”
“ผู้ชายคนเดียวไม่พอ อยากได้เป็นสิบ ๆ คน”
“สามีข้ามองมันไม่เว้นวัน นังคนไร้ยางอาย!”
“สวยขนาดนี้ มันต้องเป็นแม่มดแน่ ๆ”
'แค่มาซื้อของใช้ ไม่เห็นต้องเขม่นกันเลย' เป้าสายตารู้สึกไม่ดีหลังจากเดินออกมานอกร้านขายเมล็ดพืชที่เธอจะนำไปปลูก ตั้งแต่ตอนไหนกันที่หญิงสาวทั้งหมู่บ้านพากันขนขบวนมายืนดูเธอราวกับเห็นตัวประหลาด
“วิ่งก็วิ่ง” เจ้าของเสียงหวานพึมพำแล้วพุ่งตัวไปข้างหน้า พวกผู้หญิงที่ดักรออยู่ตลอดสองข้างทางจึงพร้อมใจกันปาไข่เน่าใส่
เซลีน่าเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อย ๆ เธอจึงดึงผ้าผืนยาวที่ซ่อนไว้ในตะกร้าออกมาคลุมกายป้องกันกระสุนไข่เน่าที่โจมตีมาทุกทิศทาง ร่างบางยกชายกระโปรงวิ่งไปตามเส้นทางออกนอกหมู่บ้าน เมื่อพ้นเขตไปแล้ว พวกสาว ๆ จำนวนไม่ต่ำกว่าสามสิบคนจึงหยุด ทุกคนไม่ตามมานอกจากจ้องตามหลังอย่างอาฆาต เซลีน่าถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเดินทางต่อเพราะช่วงสาย ๆ จะเป็นเวลามื้อเช้าของเธอ
ที่พักของหญิงสาวเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวตั้งอยู่บนภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน เดิมทีเธออาศัยอยู่กับแม่แต่สองปีก่อน ผู้ปกครองเพียงคนเดียวป่วยหนักและจากไป ทำให้เซลีน่าต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ถ้าพูดถึงพ่อ แน่นอนว่าเขาจากเธอไปตั้งแต่ยังเด็กเพราะพ่อถูกฟ้าผ่าขณะเดินทางกลับบ้านเนื่องจากดันไปหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
เธอยอมรับว่าเหงา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่คนเดียวให้ได้!
“โตเร็ว ๆ นะ” ร่างบางวิดน้ำในถังรดแปลงผักที่อยู่หลังบ้าน จากนั้นก็หิ้วถังเปล่ากลับไปตักน้ำที่บ่อบาดาลเสร็จแล้วก็กลับมาวิดน้ำใส่แปลงผักอีก
ชีวิตประจำวันของเธอเป็นแบบนี้เสมอ ตื่นแต่เช้า รดน้ำต้นไม้ ปลูกผักด้วยเมล็ดที่ไปซื้อมาจากหมู่บ้าน ต่อมาก็ทำอาหารด้วยการอบขนมปังและนำปลาจากลำธารกับผักในแปลงมาย่างกิน เสร็จแล้วเธอจึงมานั่งอ่านหนังสือแก้เบื่อในห้องนั่งเล่นถึงแม้ว่าจะอ่านหลายรอบแล้วก็ตาม
บางครั้งการอยู่คนเดียวนาน ๆ อีกทั้งทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ มันก็น่าเบื่อพอสมควร
เสียงนาฬิกาเดินดังแว่วมาจากชั้นวางของ นั่นคือสิ่งเดียวที่ทำลายความเงียบ เซลีน่าชำเลืองมองปฏิทินฉบับทำมือที่แขวนอยู่บนผนังจึงรู้ว่าวันนี้เป็นสำคัญ
“วันนี้แล้วสินะ” เธอวางหนังสือลงข้างตัวจากนั้นจึงลุกเดินเข้าไปในครัว วัตถุดิบที่ใช้ทำขนมยังเหลืออีกมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องลงไปซื้อในหมู่บ้านให้ผู้หญิงพวกนั้นปาไข่เน่าใส่อีก
เซลีน่าลงมือทำขนมปังอย่างคล่องแคล่วเพราะแม่เคยสอนไว้และเธอก็ทำจนชำนาญ แน่นอนว่าขนมต้องเสร็จก่อนถึงเวลากลางคืนเนื่องจากวันนี้เป็นสำคัญ ถึงแม้จะไม่มีอะไรแปลกใหม่เพราะเธออยู่คนเดียวก็ตาม
คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงและเป็นวันเกิดของหญิงสาวด้วย ท้องฟ้ายามราตรีปลอดโปร่งไร้ซึ่งเมฆบดบังทำให้แสงจันทร์ส่องสว่างลงมายังพื้นโลก ดวงดาวนับล้านที่เคยกะพริบแสงอยู่ทุกวันถูกกลืนหายไปกับแสงสีทอง กลับมาที่เซลีน่า เธอทำขนมปังก้อนที่ไม่ใหญ่มากและปักเทียนตามอายุของตัวเอง ร่างบางจัดโต๊ะแบบง่าย ๆ เสร็จแล้วจึงจุดเทียนก่อนจะนั่งตรงหน้าขนมปัง
“สุขสันต์วันเกิด เซลีน่า ยี่สิบปีสักที” เธอกล่าวกับตัวเองเบา ๆ สองมือประสานกันเพื่ออธิษฐาน เพราะการอยู่คนเดียวทำให้หญิงสาวรู้สึกอ้างว้าง บางทีการขอพรวันเกิดคงทำให้เธอได้เพื่อนคุยเล่นถ้าสิ่งที่ขอเป็นจริง
เซลีน่าเป่าลมดับเทียนจากนั้นจึงใช้มีดตัดแบ่งขนมปังใส่จานแล้วนั่งกินคนเดียว ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมแผ่วเบาที่พัดมาคอยเป็นเพื่อน เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงจันทร์ส่องลงมาทำให้เธอนึกอยากออกไปจึงรีบจัดการขนมปังตรงหน้าให้หมดก่อนจะเก็บโต๊ะ หลังจากล้างจานเสร็จ เธอก็ออกมาเดินเล่นนอกบ้าน
“เคยเหงาบ้างไหมดวงจันทร์ อ้อ! เจ้าคงไม่เหงาหรอก มีดวงดาวรายล้อมอยู่นี่นะ” เซลีน่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอคิดว่าตัวเองอาจจะเพี้ยนที่ไปถามเทพีแห่งดวงจันทร์ “เจ้าเห็นไหม ข้าอยู่คนเดียว ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยส่งใครสักคนมาให้ข้าทีเถอะ!”
โครม!
อยู่ ๆ ก็มีบางสิ่งตกลงมาจากท้องฟ้าแล้วกระแทกพื้นเสียงดังทำเอาร่างบางถึงกับหลุดสะดุ้ง หญิงสาวหันหลังมามอง เธอรอให้ฝุ่นละอองจางหายไปก่อนจะเข้าไปดูใกล้ ๆ สิ่งแปลกปลอมนั้นเป็นคนสวมชุดสีดำ เมื่อเขยิบเข้าไปดูอีกนิด เซลีน่าจึงเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มมีผมสีดำยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลถลอกและเศษดิน แต่ที่น่าตกใจคือ...
เขามีปีกคล้ายค้างคาวอยู่บนแผ่นหลัง!
'ตัวอะไรเนี่ย' หญิงสาวชะโงกหน้าดูอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ยังไม่เข้าไปใกล้เพราะคิดว่าควรระวังตัวไว้ก่อน แต่อีกฝ่ายบาดเจ็บ เธอก็สองจิตสองใจว่าควรจะเข้าไปช่วยหรือหนีไปดี
ในที่สุดเซลีน่าก็เลือกที่จะหนี!
พลันตัวประหลาดจากท้องฟ้าก็ลืมตา นัยน์ตาสีไพลินเห็นเซลีน่าเข้าพอดี ร่างสูงจึงลุกขึ้นก่อนจะพุ่งใส่ร่างบางด้วยความเร็วสูง เจ้าของเสียงหวานถึงกับร้องลั่น น่าเสียดายที่เธอหนีไม่ทันจึงถูกอีกฝ่ายกัดแขนข้างขวาที่เธอยกขึ้นมาปัดป้อง
“กรี๊ด! ปล่อยนะ!” ร้องไปก็เท่านั้นเพราะคนตรงหน้าฝังเขี้ยวลงไปแล้วแถมยังดูดเลือดเธออีกต่างหาก เซลีน่าหน้าซีดเผือด สุดท้ายก็ช็อกจนเป็นลมเนื่องจากทำอะไรไม่ถูก
หลังจากนั้นเธอก็ไม่รับรู้อะไรอีก!
ภายในห้องโถงกว้างซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พลัยชายชุดดำผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาทำให้ทั้งหมดหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง เขาดึงฮู้ดคลุมศีรษะลงแล้วจึงทำความเคารพชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สีดำอย่างนอบน้อม ก่อนจะรายงานข่าวที่ไม่สู้ดีให้ทุกคนในนี้ได้รับฟัง
“คนของเราถึงจุดเกิดเหตุแล้วขอรับ จากรายงานที่ได้รับมา แวมไพร์ผู้ติดตามไม่มีใครรอดชีวิต” เพียงแค่นั้นก็เกิดเสียงดังอื้ออึงทั่วห้อง หลายคนมีท่าทางตื่นตระหนก แต่ชายบนบัลลังก์ยังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาทางสีหน้า
“แล้วได้ข่าวของ ‘เขา’ หรือยัง”
“คนของเรากำลังตามหาขอรับ ดูจากร่องรอย ท่านน่าจะหนีไปได้ตอนถูกโจมตี ตลอดทางที่ฝ่ายเราตามร่องรอยไปมีแต่ซากศพของนักล่าแวมไพร์ บางทีอาจจะพบพวกนั้นโดยบังเอิญแล้วเกิดการปะทะกัน” แน่นอนว่า ‘ท่าน’ ที่ผู้ส่งข่าวกล่าวถึงต้องเป็นใครสักคนที่สำคัญและตอนนี้เจ้าตัวก็หนีหายไปแล้ว
“อีกหกชั่วโมง ดวงอาทิตย์จะขึ้น ต่อให้ยังอยู่ก็คงกลับมาไม่ทันแน่”
“แสงแดดอันตรายมาก คราวนี้จะไปหลบอยู่ไหนล่ะ”
“เงียบ!” เสียงทรงอำนาจของบุรุษบนบัลลังก์ทำให้ทุกเสียงเงียบลงทันตาเห็น “เรียกหน่วยค้นหากลับมา เราจะเสียคนไปเพิ่มอีกไม่ได้”
“นายท่าน แต่ว่า...”
“ข้ารู้ว่าเขายังอยู่ข้างนอก แต่ข้ามั่นใจว่าเขาเอาตัวรอดได้ หากยังไม่ตาย สักวันคงหาทางกลับมาบ้านเอง ในเมื่อเข้าใจแล้วก็ไปทำตามที่ข้าสั่ง ถ้าไม่อยากถูกแสงอาทิตย์เผาตาย!” สิ้นคำสั่งของนายใหญ่ แวมไพร์ผู้ส่งข่าวก็ทำความเคารพแล้ววิ่งออกจากโถงกว้างไปอย่างรวดเร็ว
แสงแดดเป็นอันตรายต่อพวกเขา ขณะเดียวกัน พวกนักล่าแวมไพร์ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวังเช่นกัน!
ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติคือสัตว์ประหลาดกระโจนเข้ามากัดแขนเธอแล้วดูดเลือด เซลีน่าสะดุ้งตื่นก่อนจะถอนหายใจยาว นัยน์ตาสีแสงจันทร์กวาดมองไปรอบ ๆ จึงพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาวภายในห้องนั่งเล่น เธอยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองแขนขวาซึ่งมีผ้าสะอาด ๆ พันไว้ลวก ๆ
“ใครทำแผลให้เนี่ย เดี๋ยว! แล้วทำไมบ้านข้ามืดแบบนี้!” ปกติตอนกลางวัน เธอจะเปิดหน้าต่างเพื่อรับแสงกับรับลม บ้านจะได้ไม่ดูอุดอู้และมีอากาศถ่ายเทสะดวก แต่เธอจำได้ว่าเมื่อคืนยังไม่ได้ปิดหน้าต่างแล้วใครกันที่เป็นคนปิด
ตอนนั้นเองที่เซลีน่ารู้สึกว่าในบ้านไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว นัยน์ตาสีแสงจันทร์ค่อย ๆ หันไปมองมุมหนึ่งของห้อง ตรงนั้นมีใครบางคนนั่งอยู่ เธอเพ่งมองจนกระทั่งสบกับนัยน์ตาสีน้ำเงินไพลิน ความทรงจำเมื่อคืนไหลย้อนเข้ามาและสัญชาตญาณก็บอกให้เธอรีบวิ่งหนี
“กรี๊ด!”
“อย่าเปิด!” ชายหนุ่มตะโกนลั่นเมื่อเห็นเจ้าของบ้านวิ่งไปทางประตู เซลีน่าไม่ฟังเสียงห้าม เธอถีบประตูออกไปก่อนจะสะดุดก้อนหินจนล้มกลิ้งถึงสามตลบ ผู้มาจากท้องฟ้าไล่ตามมาแต่ช้าไป แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในบ้านทำให้เขาร้องลั่นจนต้องถอยกลับไปยังบริเวณที่ไม่ถูกแสง
“เจ้าเป็นแวมไพร์!” หญิงสาวลุกขึ้นมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีบาดแผลพุพองตามแขนและใบหน้าแถมยังกลัวแดด นั่นทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ “ออกมาจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
“ไม่ได้!”
“ไม่ได้ก็ต้องได้ นั่นบ้านข้านะ เจ้าคนไม่มีมารยาท เข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ออกมาเดี๋ยวนี้ ออกมา!” ร่างบางตะโกนลั่นแต่ก็ไม่กล้ากลับเข้าบ้านเพราะกลัวถูกดูดเลือด ทางด้านคนบุกรุกก็ไม่ยอมออกมานอกจากยืนมองหน้าเธอ
“ข้าถูกแสงแดดไม่ได้”
“นั่นสินะ พวกผีดูดเลือดกลัวแสงอาทิตย์นี่” ความจริงในข้อนั้นทำให้เซลีน่าคิดไอเดียไล่อีกฝ่ายออกจากบ้านได้ทันที “งั้นข้าจะเปิดหน้าต่างไล่เจ้าออกมา”
“อย่าเปิด!”
“งั้นก็ออกมาสิ!”
“ไม่ได้ ข้าจะโดนแดดเผาตาย นี่มนุษย์ ให้ข้าหลบแดดหน่อยเถอะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเจ้า แต่ขออย่างเดียว อย่าเปิดหน้าต่างให้แสงเข้ามานะ!” แวมไพร์ผู้หลงทางมาตะโกนพลางยื้อยุดฉุดกระชากบานหน้าต่างไม่ให้อีกฝ่ายเปิด
“ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าด้วย!”
“ข้าบาดเจ็บ ข้าต้องหาที่พักรักษาตัว อีกอย่างข้าไม่รู้ว่าจะหาที่หลบแดดได้ที่ไหนอีกแล้ว ให้ข้าอยู่นี่เถอะ ถ้าข้าหายดีแล้ว ข้าจะรีบไปที่อื่นแน่ แล้วก็ข้าไม่ได้มาเป็นตัวภาระนะ ในบ้านมีอะไรให้ข้าช่วยงานได้ ข้าก็จะช่วย”
“ก็ได้ ข้าจะให้เจ้าอยู่ด้วย แต่ถ้าก่อเรื่อง ข้าจะปล่อยให้แสงแดดเข้ามาในบ้าน!” หญิงสาวตะโกนบอกคนในบ้านจากนั้นก็เดินกลับมาที่ประตู เซลีน่ายังไม่เข้าไปข้างในแต่ยืนมองแวมไพร์หนุ่มที่เดินกลับมายืนอยู่ในมุมที่แสงส่องเข้าไม่ถึง
“เจ้าไม่ไว้ใจข้า”
“ใครจะกล้าไว้ใจ อยู่ดี ๆ มีใครก็ไม่รู้มาขออยู่บ้านด้วย ให้ข้าอยู่ทำใจนอกบ้านสักครู่เถอะ” ร่างบางยกแขนขวาขึ้นมาดู แผลที่ถูกกัดมีผ้าสะอาด ๆ พันไว้อยู่และนั่นทำให้นัยน์ตาสีแสงจันทร์เบนไปมองอีกฝ่าย “เจ้ากัดแขนข้า ดูดเลือดไปเท่าไรล่ะ”
“ไม่เยอะหรอก แค่มากพอสำหรับฟื้นฟูตัวเอง ตอนกลางคืน ข้าจะไปหาเลือดสัตว์มาดื่ม แต่เลือดมนุษย์ นาน ๆ ทีข้าจะกิน ถึงตอนนั้นคงต้องขอเลือดเจ้า”
“ตัวภาระจริง ๆ” เจ้าของเสียงหวานบ่นเบา ๆ แต่แวมไพร์มีประสาทสัมผัสดีกว่ามนุษย์ เขาจึงได้ยินว่าเธอพูดอะไรและนั่นทำให้เจ้าตัวถึงกับหน้าจ๋อย “ข้าชื่อเซลีน่า แล้วเจ้าชื่ออะไร”
“นอสฟะ...” ร่างสูงกลืนคำพูดลงคอทันควันเพราะเปลี่ยนใจเรื่องบอกชื่อ “เรียกข้าว่า ‘นอส’ ก็แล้วกัน” แวมไพร์หนุ่มตัดสินใจบอกชื่อเรียกสั้น ๆ ออกไปแทน
“ถ้าอย่างนั้นนะนอส เจ้าอยู่ในบ้าน อยู่เฉย ๆ ตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
“แล้วเจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปรดน้ำในแปลงผัก” เรื่องงานประจำที่ต้องทำ เซลีน่าไม่เคยลืมแม้แต่อย่างเดียว หญิงสาวตรงไปที่บ่อบาดาลแล้วใช้ถังตักน้ำขึ้นมา ก่อนจะเดินไปวิดน้ำใส่แปลงผักรวมทั้งต้นไม้ต้นอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ ตอนนั้นเอง นอสก็เรียกเธอ
“เซลีน่า ข้ามีคำถาม” เจ้าของชื่อหันมามองตามเสียงทันที “เจ้าคือ ‘หญิงสาวแห่งดวงจันทร์’ ใช่ไหม” เธอทำหน้าแปลกใจที่เขารู้แต่ก็พยักหน้ารับตามด้วยทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
'นึกแล้วเชียว' แวมไพร์หนุ่มกล่าวในใจขณะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน หลังจากได้เลือดของเซลีน่าไป บาดแผลตามร่างกายเขาก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสีผมกับสีตาของเธอเป็นสีแสงจันทร์ เขาจึงสงสัยว่าเธอเป็นประเภทที่แวมไพร์ต้องการตัวแน่
แล้วก็เป็นจริงตามคาด!