บทที่ 4 แฟนาติก
กว่าจะเสร็จจากงานศพก็ใกล้พลบค่ำเต็มที เซลีน่ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าทำให้เธอต้องเร่งฝีเท้าโดยเร็ว การที่มีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตพร้อมกันทีเดียวสี่คน นั่นจึงไม่ใช่เรื่องดีถ้าจะออกมาเดินนอกบ้านยามค่ำคืน ร่างบางวิ่งไปตามเส้นทางที่ผ่านประจำสลับกับมองดวงอาทิตย์ แสงของวันนี้ค่อย ๆ จางลงทุกที รอบด้านก็เริ่มมืด แต่ที่น่ากลัวก็คือมันไม่มีเสียงแมลงร้องเหมือนทุกวัน
'ต้องทันสิ ข้าต้องถึงบ้านสิ!' เจ้าของเสียงหวานตะโกนในใจเมื่อความมืดค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา น่าเสียดายที่เธอยังไม่ถึงบ้าน แต่แสงแดดจางหายไปก่อน เซลีน่าจึงหยุดวิ่งเพราะเธอเหนื่อยเต็มทีแล้ว
“ไม่ทันเหรอเนี่ย” ร่างบางพึมพำพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ “เอาเถอะ เมื่อวานเราวิ่งกลับบ้านค่ำกว่านี้ยังรอดมาได้ คงไม่มีอะไรหรอก” เธอปลอบใจตัวแล้ววิ่งต่อไปอย่างรีบร้อน
เสียงพุ่มไม้สั่นไหวระหว่างทางที่หญิงสาวผ่านไป พลันอะไรบางอย่างก็พุ่งตัดหน้าทำให้เธอเสียหลักล้มลง เซลีน่ารีบยันตัวลุกขึ้นจึงเห็นว่าสิ่งที่พุ่งผ่านไปนั้นคือกระต่ายป่า ความโล่งใจปรากฏขึ้นในอกเนื่องจากตอนแรกนึกว่าเป็นสัตว์ประหลาด
“กระต่ายเองเหรอ ตกใจหมด...” พูดไม่ทันขาดคำ บางสิ่งก็กระโจนเข้าใส่มันแล้วลากหายเข้าไปในพุ่มไม้ นัยน์ตาสีแสงจันทร์เบิกกว้าง เธอจึงรีบคลานไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ตามสัญชาตญาณทันที
พุ่มไม้ตรงนั้นสั่นไหวสักพักก็นิ่งไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เซลีน่าก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน เธอยกมือปิดปากพลางแอบมอง แล้วก็เห็นบางสิ่งก้าวออกมาจากที่ซ่อน แม้รอบด้านจะยังไม่มืดมากนัก แต่เธอก็เห็นว่าสัตว์ประหลาดที่ฆ่ากระต่ายป่าตัวนั้นมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีผิวสีขาวซีด มือสองข้างมีเล็บแหลมคม นัยน์ตาดุร้ายราวกับสัตว์ เขี้ยวของมันคล้ายแวมไพร์ แถมปากเต็มไปด้วยคราบเลือดจึงมั่นใจได้ว่ามันดูดเลือดของกระต่าย
ฟืด ฟืด
มันทำท่าดมกลิ่นอะไรบางอย่างจากนั้นก็ค่อย ๆ เดินมาทางต้นไม้ใหญ่ที่หญิงสาวแอบอยู่ เซลีน่าถึงกับหน้าซีดเผือด เธอยกมือปิดปากกลั้นเสียงพลางหลับตาปี๋ เสียงลมหายใจนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันก้าวออกมาอยู่ตรงหน้า เธอลืมตามองเล็กน้อยก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อมันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ บริเวณหัวเข่าของเธอ ความรู้สึกแสบนิด ๆ ทำให้เซลีน่ารู้ตัวว่าได้แผลจากการหกล้มเมื่อกี้
“เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรนี่ เจ้ามองหาอะไรอีกล่ะ”
“ที่มาของกลิ่นเลือด”
“กลิ่นเลือดเหรอ”
“ใช่ ข้าได้กลิ่นมัน ถึงจะจาง ๆ แต่มันเป็นกลิ่นเลือดไม่ผิดแน่ เมื่อกี้ข้านึกว่ามาจากตัวเจ้า แต่คงไม่ใช่ บางทีกลิ่นน่าจะมาจากข้างนอก”
“อาจจะเป็นสัตว์สักตัวเพิ่งตายใหม่ ๆ ก็ได้”
“ไม่นะ ข้ารู้สึกว่าเป็นเลือดมนุษย์”
นอสเคยพูดว่าได้กลิ่นเลือดมนุษย์เมื่อคืนวาน ไม่แน่ว่าเจ้าตัวที่ฆ่าพวกแฟรงค์อาจเป็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ ที่สำคัญมันคงได้กลิ่นเลือดเธอแบบเดียวกับที่นอสได้กลิ่นเลือดของเจ้าสี่คนนั้น อีกอย่างตอนนี้มันกำลังอ้าปากจะงับขาเธอแล้ว!
โครม!
อยู่ ๆ กิ่งไม้ใหญ่ก็ตกลงมาทับอสุรกายตรงหน้า หญิงสาวรีบลุกขึ้นวิ่งหนี แต่เพราะตอนนี้ในป่ามันมืดมาก เซลีน่าที่มองไม่เห็นทางจึงสะดุดรากไม้ลื่นล้มอีก แต่เธอจะหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงถูกฆ่าแน่ พลันฝ่ามือของใครบางคนก็ฉุดแขนเธอให้ลุกขึ้นมา นัยน์ตาสีแสงจันทร์มองสบกันนัยน์ตาสีน้ำเงินไพลิน จึงรู้ว่าใครมาช่วย
“นอส!”
“กิ่งไม้ขวางไว้ได้ไม่นาน รีบไปเถอะ” ว่าจบ ภาพรอบกายก็ผ่านไปเร็วจนเธอมองไม่ทัน ใช้เวลาไม่กี่นาที เซลีน่าก็มาถึงหน้าบ้านแล้ว นอสพาเธอเข้าไปหลบในบ้านพร้อมล็อกประตูกับหน้าต่าง ในขณะที่คนขวัญบินเดินเซไปนั่งด้วยอาการมือสั่นอยู่ที่เก้าอี้ไม้ยาว
“มะ...เมื่อกี้มันตัวอะไร” คนตกใจถามเสียงสั่น
“นั่นคือ ‘แฟนาติก’ เป็นแวมไพร์กลายพันธุ์ เจ้าพวกนั้นกินเลือดเป็นอาหารก็จริงแต่ดุร้าย ป่าเถื่อน เต็มไปด้วยสัญชาตญาณฆ่าฟัน แล้วก็เป็นสิ่งที่ผิดพลาดของชาวแวมไพร์” นอสกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ขณะอธิบาย เมื่อแน่ใจว่าปิดหน้าต่างทุกบานแล้ว เขาจึงเดินกลับมาหาเจ้าของบ้าน
“ข้าหกล้ม ไปหยิบกล่องยามาให้หน่อย”
“ได้” ร่างสูงที่กำลังจะนั่งเก้าอี้รีบไปยกกล่องยามาให้หญิงสาวทำแผลทันที ตอนนี้เซลีน่าตั้งสติได้มากขึ้นแล้ว แม้ว่ามือยังสั่นอยู่เล็กน้อยก็ตาม
“สิ่งที่ผิดพลาดของแวมไพร์?”
“ปกติแล้วการกำเนิดของแวมไพร์จะมีอยู่สองวิธี” นอสเริ่มอธิบายเรื่องต่อไปพลางชูสองนิ้วให้เธอดู “วิธีแรกเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นแวมไพร์ วิธีที่สองคือเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นแวมไพร์”
“ที่ว่าถูกกัดแล้ว ถ้าไม่ตายก็จะเป็นแวมไพร์ใช่ไหม”
“ไม่ใช่”
“อ้าว”
“มนุษย์ที่ถูกกัดแต่ยังไม่ตาย ถ้าไม่รีบช่วย คงเสียเลือดที่เหลือจนตายแน่ ส่วนวิธีเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นแวมไพร์มีแค่ราชวงศ์เท่านั้นที่ทำได้ นั่นคือให้มนุษย์ดื่มเลือดของพวกเขา หลังจากกลายเป็นแวมไพร์ คนคนนั้นจะอยู่ในระดับไหน นั่นก็อีกเรื่อง เพราะบางรายก็เป็นระดับต่ำ แต่บางรายก็เป็นระดับกลาง แต่ไม่เคยมีใครเป็นระดับสูง เพราะพวกราชวงศ์จะเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นแวมไพร์และมีใครคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนเป็นพวกราชวงศ์”
“แล้วไอ้ตัวแฟนาติกอะไรนั่นล่ะ มันเกิดมาได้อย่างไร” เซลีน่าถามขณะทำแผลให้ตัวเองอย่างคล่องแคล่ว เพราะอยู่คนเดียว เวลาทำครัวแล้วเกิดบาดเจ็บ เธอก็ทำแผลและดูแลตัวเองมาตลอด
“แฟนาติกคือแวมไพร์ที่ขาดเลือดอย่างรุนแรงจนกลายสภาพเป็นสัตว์ประหลาดบ้าคลั่งอย่างที่เจ้าเห็น จริงอยู่ที่เผ่าพันธุ์ข้าล่ามนุษย์เพื่อนำเลือดมาเป็นอาหาร แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง ไม่มีแหล่งอาหารให้เรา เราจะอยู่ได้ไหม ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เราใช้แวมไพร์อาสาสมัครมาทดลองงดเลือดเป็นเวลาหนึ่งเดือน และนั่นทำให้รู้ว่าเราทำสิ่งผิดพลาดเข้าแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น”
“แวมไพร์พวกนั้นเกิดบ้าคลั่ง กลายเป็นตัวประหลาด จากนั้นก็ทำร้ายแวมไพร์ด้วยกัน เราหาทางรักษาพวกเขาโดยการดื่มเลือดซึ่งมีทั้งเลือดมนุษย์และเลือดสัตว์ แต่กลายเป็นว่าพวกเขาเสพติดเลือดอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นเลือดของตัวอะไร พวกเขา ไม่สิ ต้องบอกว่าพวกมันกินหมด ดังนั้นแวมไพร์จะขาดเลือดไม่ได้ เลือดสัตว์ยังช่วยได้บ้าง แต่เลือดมนุษย์คือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด เพราะอย่างนี้ข้าถึงขอเลือดจากเจ้าไง” นอสจะกินเลือดมนุษย์นาน ๆ ทีก็ได้ แต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้นานเกินเหตุเพราะอาหารหลักสำหรับแวมไพร์ไม่ใช่เลือดสัตว์แต่เป็นเลือดคน
“บางทีสี่คนที่ตายอาจเป็นฝีมือเจ้านั่น ขอโทษนะ ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนทำ แต่ไม่นึกว่า...”
“ช่างเถอะ คราวนี้อย่าออกนอกบ้านตอนกลางคืนล่ะ เจ้านั่นแพ้แสงแดดเช่นเดียวกับแวมไพร์ ดังนั้นถ้าจะไปไหนก็ให้ไปตอนกลางวัน” นอสเตือนตามประสาคนที่รู้ดีเพราะตัวเองก็เป็นแวมไพร์ เซลีน่าพยักหน้ารับจากนั้นจึงลุกไปเข้าครัวเพื่อทำอาหาร
“ว่าแต่เจ้าหาข้าเจอได้ไง”
“ดวงอาทิตย์ตกนานแล้ว แต่เจ้ายังไม่กลับมา ข้าก็เลยเดินตามเส้นทางที่เจ้าออกจากบ้านไปจนมาเจอเจ้านี่แหละ” เขาตอบตามความจริง ถนนลูกรังจากหน้าบ้านของเซลีน่ามันทะลุไปถึงเส้นทางหลักผ่ากลางหมู่บ้าน เขาก็แค่ตามมาเรื่อย ๆ จนมาเจอเธอ โชคดีที่มาทัน ไม่อย่างนั้นเซลีน่าคงกลายเป็นศพรายที่ห้า
“ตอนนี้แฟนาติกมีกี่ตัว”
“เมื่อก่อนมีไม่กี่สิบตัว แต่จากเหตุการณ์การทดลองผิดพลาด มีบางตัวหนีไปได้ ตอนนี้เราประมาณการคร่าว ๆ ก็คงไม่ต่ำกว่าพันตัว”
“เดี๋ยว! ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะ!”
“แฟนาติกสามารถเพิ่มจำนวนได้ด้วยการกัดมนุษย์ ถ้าคนถูกกัดตายแล้วไม่รีบเผาภายในสองคืน คนตายจะกลายเป็นแฟนาติก จากนั้นก็เตรียมตัวเอาชีวิตรอดให้ดี...มีอะไรเหรอ” นอสแปลกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจดังเฮือก เซลีน่าใช้ตะหลิวตักไข่ดาวใส่จานที่มีขนมปังจากนั้นก็ยกมันมานั่งกินใกล้ ๆ คู่สนทนา
“คนในหมู่บ้านข้าตายพร้อมกันสี่คน โชคดีที่เผาไปแล้วเมื่อตอนบ่าย ดีเหมือนกัน ถ้าคนในหมู่บ้านถูกแฟนาติกไล่ฆ่าและทำให้พวกเขาเปลี่ยนไป ข้าก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนแล้ว” เธอมีบ้านหลังนี้เป็นที่อยู่แห่งเดียว และสถานที่ที่เธอจะออกไปพบปะผู้คนก็คือหมู่บ้านแห่งนั้น ถ้าเธอเสียทุกอย่างไป เซลีน่าก็คงไม่เหลืออะไรเลย
“ท่าทางเจ้าดูเหงา ๆ นะ”
“ใคร!? ใครเหงา! ข้าก็อยู่แบบนี้จนชินแล้ว!” คนร้อนตัวปฏิเสธความจริงทันที ท่าทางแบบนี้ถึงไม่บอก เขาก็รู้ว่าเธอโกหก “ว่าแต่เจ้าเถอะ ไปฟัดกับตัวอะไรถึงตกลงมาแถวบ้านข้าได้”
“เจอนักล่าแวมไพร์น่ะ”
“อ้อ”
“พอดีวันนั้นหน่วยขนส่งที่ข้าสังกัดอยู่ได้เดินทางมาสมทบกับหน่วยล่าสังหารที่เป็นแนวหน้าและกำลังปะทะอยู่กับฝูงแฟนาติก และข้ากับแวมไพร์บางส่วนได้รับคำสั่งให้เคลื่อนย้ายแวมไพร์ที่บาดเจ็บกลับบ้าน”
“มีหน่วยงานด้วยเหรอ เหมือนมนุษย์เลย” เซลีน่าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนจึงแปลกใจหลังจากฟังจบ “ว่าแต่ที่เจ้าอยู่หน่วยขนส่งน่ะ ส่งอะไรบ้างล่ะ หรือว่าส่งเสบียง?”
“นอกจากเสบียงก็มีอาวุธด้วย แวมไพร์เองก็รู้จักฟันดาบ ขี่ม้า และยิงธนูเหมือนมนุษย์นะ”
“แปลกดี ว่าแต่หน่วยล่าสังหารล่ะ มีไว้ปะทะกับแฟนาติกโดยเฉพาะเหรอ” เมื่อกี้นอสบอกเธอว่าพวกนี้เป็นแนวหน้า แสดงว่างานของพวกเขาต้องอันตรายมาก และหน้าที่ก็คงไม่พ้นต้องปะทะกับพวกสัตว์ประหลาดบ้าคลั่ง
“หน่วยล่าสังหารเป็นกลุ่มแวมไพร์ที่เก่งที่สุดในเผ่าพันธุ์ข้า ภารกิจที่ได้รับมีแต่เรื่องอันตรายและรับคำสั่งโดยตรงจากเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง แต่สองสามร้อยปีมานี้ งานหลักของพวกเขาคือต่อสู้และยับยั้งการรุกรานของพวกแฟนาติก อืม...น่าจะรวมทั้งรับมือกับพวกนักล่าแวมไพร์ด้วย”
“นักล่าแวมไพร์ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้สินะ”
“ใช่ ก็อย่างที่บอก แวมไพร์ล่ามนุษย์เพื่อนำเลือดไปเป็นอาหาร พวกเราจึงถูกมองว่าเป็นภัยที่สมควรถูกกำจัด และตอนที่ข้าถูกส่งกลับมาพร้อมพวกที่บาดเจ็บ ขบวนเดินทางก็ถูกนักล่าแวมไพร์โจมตี” นัยน์ตาสีไพลินของคนพูดฉายแววเศร้าปนห่วงอะไรสักอย่าง
“เป็นอะไรอีกล่ะ” เซลีน่าเห็นว่าคนเล่าเงียบไป แถมยังทำหน้าซึมเศร้าด้วย หากไม่ทำอะไรสักอย่างอีกหน่อยคงเห็นแวมไพร์น้ำตาร่วงแน่
“ตอนนั้นเจ้าชายลำดับที่ห้าเดินทางมาด้วย ตอนถูกโจมตี ข้าอยู่ใกล้เขามากที่สุด แต่ตอนหนีออกมา เราพลัดหลงกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง”
“...”
“ข้ามันแย่ ข้าไม่ดูแลเขาให้ดี ๆ แย่มาก ๆ เลย”
“...”
'อีตานี่เป็นแวมไพร์ขี้แยด้วยแฮะ อนาคตถ้ามันแต่งงานมีลูกมีหลาน ลูกจะขี้แยเหมือนมันไหมเนี่ย' เซลีน่าทำหน้าบอกบุญไม่รับขณะใช้ช้อนตักไข่แดงเข้าปาก ส่วนนอสก็ทำท่าเหมือนจะปล่อยโฮ
ถ้าไม่ติดว่าเขาช่วยเธอไว้ ป่านนี้เธอคงตะโกนใส่หน้าเขาว่า ‘ไอ้แวมไพร์ขี้แย’ ไปนานแล้ว!
ข่าวด่วนที่รู้กันไปทั่วดินแดนรัตติกาลคือการกลับมาของบุคคลสำคัญที่หายไปในเหตุการณ์ลอบโจมตีของพวกนักล่าแวมไพร์ เด็กหนุ่มคนหนึ่งรู้ข่าวเข้า เขาจึงออกจากห้องแล้ววิ่งมายังทางเดินชั้นล่างของตัวปราสาททันที ที่นั่นมีหลายคนมารอต้อนรับผู้มาใหม่ แต่แวมไพร์น้อยก็แทรกคนพวกนั้นฝ่าเข้าไปด้านในได้
“ผู้สืบทอดลำดับที่ห้ากลับมาแล้ว”
“นึกว่าจะถูกนักล่าแวมไพร์ฆ่าตายซะอีก”
“เห็นว่าบาดเจ็บกลับมาด้วย”
เสียงพูดคุยนั้นทำให้เด็กหนุ่มชำเลืองมอง ในใจก็นึกถึงใครบางคนทำให้เขาตัดสินใจถาม ทว่ายังไม่จะอ้าปาก ร่างสูงในชุดสีดำก็เดินผ่านมาโดยมีคนช่วยพยุง แวมไพร์น้อยจึงเปลี่ยนเป้าหมายการถามมาที่ชายคนนั้นแทน
“เอ่อคือ...” คนบาดเจ็บหยุดเดินแล้วหันมามองเจ้าของเสียงทันที “พี่ล่ะครับ พี่กลับมาด้วยไหม” อีกฝ่ายนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่เขาจะเบนสายตาไปทางอื่น
“ขอโทษนะออร์ล็อก ระหว่างทางข้าพลัดหลงกับเขา”
“...” ออร์ล็อกถึงกับยืนนิ่งเป็นก้อนหิน สมองของเขาไม่รับรู้อะไรอีกเลยแม้กระทั่งเรื่องที่ว่าผู้สืบทอดลำดับที่ห้าเดินจากไปตอนไหน เขาก็ยังจำไม่ได้
พี่อยู่ที่ไหน ทำไมยังไม่กลับมา
ตั้งแต่เกิดเรื่อง เซลีน่าก็ไม่กลับบ้านค่ำอีกเลยเพราะถ้าเจอเหตุการณ์แบบนั้นเป็นครั้งที่สอง เธออาจไม่โชคดีรอดชีวิต ตอนนี้ดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดินอีกครั้ง หญิงสาวที่เพิ่งกลับจากการเยี่ยมเยียนหัวหน้าหมู่บ้านก็เร่งฝีเท้ากลับบ้านโดยเร็ว ยังดีที่วันนี้กลับก่อนเวลา เธอจึงถึงที่หมายก่อนแสงแดดจะหายไป
“ถึงสักที ดีนะไม่มืดค่ำเหมือนคราวก่อน”
“กลับมาแล้วเหรอ” นอสเปิดประตูออกมาและเห็นเจ้าของบ้านจึงทักทายตามมารยาท เซลีน่าวางตะกร้าใส่ของลงบนชั้นวาง จากนั้นก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารมื้อเย็น
“ข้าเข็ดหลาบกับเจ้าตัวบ้านั่นแล้ว หวังว่าสักวันมันคงไม่มาบุกบ้านหรอกนะ” บ้านของเธอตั้งอยู่กลางป่าบนภูเขา แถมยังอยู่ห่างจากหมู่บ้านเกือบสองกิโลเมตร หากเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่พึ่งตัวเองก็คงต้องรีบวิ่งหนีเข้าหมู่บ้านสถานเดียว
“งั้นข้าออกไปหาอะไรกินนะ อีกไม่นานอาการบาดเจ็บของข้าก็คงหาย ถึงจะช้าหน่อยเพราะกินแต่เลือดสัตว์ก็เถอะ” นอสพับแขนเสื้อเพื่อดูรอยบาดลึกเป็นทางยาวบนท่อนแขนข้างขวา หญิงสาวหันมาเห็นพอดี นัยน์ตาสีแสงจันทร์เบิกกว้าง เพราะดูจากแผลแล้วไม่ต้องเดาเลยว่าตอนได้แผลใหม่ ๆ คงเจ็บน่าดู
“เจ้าไปโดนอะไรมา ทำไมแผลถึงยาวขนาดนี้”
“โดนแส้ของนักล่าแวมไพร์ฟาดใส่น่ะ อาวุธทำมาจากเงิน แผลก็เลยลึก”
“แวมไพร์แพ้เงินด้วยเหรอ” เธอนึกว่าเผ่าพันธุ์นี้แพ้แต่แสงอาทิตย์ ใครจะไปนึกว่าแพ้อย่างอื่นด้วย
“นอกจากแสงอาทิตย์แล้วก็มีสิ่งของที่ทำจากแร่เงินนี่แหละที่ส่งผลร้ายต่อเผ่าพันธุ์ข้า ดังนั้นข้าวของเครื่องใช้ที่แวมไพร์มีไว้ในครอบครองจึงไม่มีของที่ทำจากแร่เงินเลย”
“แล้วนี่ล่ะ เจ้ากลัวหรือเปล่า” เจ้าของเสียงหวานยื่นกระเทียมที่แกะเปลือกแล้วไปทางแวมไพร์หนุ่ม นอสยืนนิ่งไปชั่วขณะจากนั้นก็คว้ามาดู
“กระเทียม! นี่คือกระเทียมใช่ไหม! ข้าเคยได้ยินว่าเป็นเครื่องเทศอย่างหนึ่งของมนุษย์ อืม...มีหน้าตาแบบนี้เองเหรอ ดูดีกว่าภาพวาดในหนังสือเยอะเลย” คนเพิ่งเห็นกระเทียมครั้งแรกหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ ในขณะที่เซลีน่าถึงกับหน้าเหวอ เพราะตอนเด็ก ๆ พวกผู้ใหญ่ที่เล่าตำนานแวมไพร์ให้ฟังต่างก็บอกว่าพวกผีดูดเลือดไม่ถูกกับกระเทียม
แล้วไอ้ที่หยิบมาดูเล่นนี่มันหมายความว่าอย่างไร!