หวงรักราคีร้าย บทที่ 1
วงตาสีสนิมเข้มจดจ้องที่ร่างเล็กเพรียวระหงเหมือนทุกครั้งที่มายังผับแห่งนี้ และเขาชอบมองดูพนักงานสาวเวลาเดินและพูดคุยกับลูกค้าแต่ละโต๊ะ เธอเป็นมิตรกับทุกคน และยิ้มของเจ้าหล่อนก็ทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมทุกครั้งที่ได้มอง เวลาเครียดจากงานแล้วมาเจอเธอที่นี่ ขอแค่ได้นั่งมองไกลๆ ก็ทำให้เขาหายเครียดกังวลกับเรื่องที่บริษัทกับที่บ้านได้
“เฮ้ย! มองจนตาจะหลุดอยู่แล้วนะไอ้เจตน์” มือใหญ่ทุบไหล่หนาของเพื่อนรักเมื่อมองตามสายตาของเพื่อนที่จดจ้องมองตั้งแต่เข้ามาในร้าน และมักเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่มาที่นี่
“อะไรของมึงไอ้กตตน์” เจตน์ปัดมือของเพื่อนที่วางบนไหล่ตัวเองออกอย่างรำคาญแล้วคว้าหยิบแก้วน้ำสีอำพันตรงหน้ามาจิบดื่มแล้วมองไปทางเดิม รอว่าเมื่อไหร่สาวน้อยหน้าหวานจะเดินมาทางตนเอง
“ความอยากของแกมันชัดบนหน้าขนาดนี้ยังจะปากแข็งอีกนะมึง” กตตน์พูดยิ้มๆ แล้วคว้าหยิบแก้วน้ำสีอำพันของตัวเองมาจิบดื่มบ้าง
“หึหึ...ขนาดนั้นเชียวเหรอวะไอ้กตตน์”
“เออ! ชัดบนหน้ามึงแหละไอ้เจตน์”
“แต่เธอยังเด็กอยู่ไอ้กตตน์” เจตน์ เกียรติบดินทร์ หรือเจตน์ วัย 38 ปี ทายาทของตระกูลผู้ดีเก่า เจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่เจ้าดังและร่ำรวยที่สุดในประเทศก็ว่าได้ แค่พูดถึงนามสกุล ทุกคนต้องยกมือขึ้นทาบอกและเคารพยำเกรงชายหนุ่ม
“สิบแปดแล้วไอ้เจตน์ กูไปถามมาแล้ว และตอนนี้เด็กนั่นก็กำลังต้องการเงินไปรักษาน้อง มึงไม่ยื่นมือไปช่วยหน่อยเหรอวะ ถือว่าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์”
กตตน์ เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวของชายหนุ่มบอกแล้วก็ถือแก้วน้ำสีอำพันไปหาสาวๆ ที่ยกแก้วเชิญชวนเขาอยู่ก่อนหน้า ทิ้งให้เพื่อนนั่งอยู่คนเดียวเพื่อใช้ความคิด ก็เพื่อนเฝ้ามองเด็กสาวมานานแล้ว มีหรือกตตน์จะไม่รู้ความคิดความอ่านของเพื่อนรัก แค่มองตาก็รู้ถึงตับไตไส้พุง
เจตน์จิบน้ำสีอำพันในแก้วทีละน้อยพร้อมมองดูสาวน้อยที่เดินไปมาในร้าน ทุกการเคลื่อนไหวของหญิงสาวทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว ผ่านผู้หญิงมามากคน แต่ก็ไม่เคยมีความรู้สึกปรารถนาแรงกล้าเท่าเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้เลยสักคน และยิ่งไปกว่านั้นเขาอยากจะดูแลเธอ ไม่อยากให้มาทำงานลำบากแบบนี้
“ไม่มีอะไรที่คนอย่างเจตน์ต้องการแล้วไม่ได้ครอบครอง” เขาพึมพำกับตัวเองท่ามกลางเสียงเพลงดังในผับแล้วลุกขึ้นเดินตามคนที่กำลังเดินไปทางหลังร้าน
เท้าหนาสาวเท้าก้าวเดินเร็วๆ ผ่านผู้คนไปทางหลังร้านเพื่อจะให้ทันคนตัวเล็ก พอเดินออกมาถึงหลังร้านก็เห็นสาวน้อยกำลังคุยโทรศัพท์พร้อมกับร้องไห้ เขาจึงเดินเข้าไปหาเธอโดยอัตโนมัติโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว พอเดินมาถึงตัวของสาวน้อย เขาก็ตวัดแขนแข็งแรงรวบร่างเล็กเข้ามากอดแนบแน่นอย่างปลอบประโลม ส่วนคนที่ถูกจู่โจมรวบเข้าไปกอดแน่นตกใจ เบิกตากว้าง อ้าปากค้างพร้อมกับดิ้นผลักไสคนแปลกหน้าออกห่างตัวเอง
“อือ...ปล่อยฉันนะคะ” เธอดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดแข็งแรงที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งออกมาจากร่างใหญ่และมีกลิ่นบุหรี่ปะปนออกมาด้วย เธอไม่ชอบกลิ่นแบบนี้แม้จะทำงานในที่อโคจร แต่ก็ไม่ชินสักทีกับกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนพวกนี้ สาวน้อยดิ้นต่อต้านแรงขึ้นพร้อมกับสั่งคนตัวโตให้ปล่อยตัวเองอีกครั้ง
“ปล่อยค่ะคุณลูกค้า ดิฉันว่าคุณเมามากแล้วนะคะ” เธอพูดพร้อมดันเขาออกห่าง แต่เขากลับกอดรัดเธอแน่นขึ้นพร้อมกับพูดกระซิบข้างหูเธอในมุมมืดสลัวว่า
“ต้องการเงินเท่าไหร่ ฉันจ่ายไม่อั้นเด็กน้อย” น้ำเสียงแหบพร่าทรงเสน่ห์เอ่ยกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน แม้เสียงเพลงในผับจะดังออกมาถึงด้านนอก แต่คำพูดของคนพาลก็ดังชัดเจนในหูของสาวน้อย
“คุณพูดบ้าอะไรของคุณ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่ปล่อย ฉันจะร้องให้คนมาช่วยแล้วนะ”
“เฮอะ! ไม่มีอะไรที่ฉันต้องการแล้วไม่ได้หรอกเด็กน้อย ว่าไง...ต้องการเท่าไหร่บอกฉันมา เดี๋ยวฉันจ่ายให้ ไม่อยากได้เงินไปรักษาน้องแล้วเหรอ” คำพูดของคนพาลฉวยโอกาสทำให้เธอผละเงยหน้าที่อยู่ระหว่างอกแกร่งเงยขึ้นมองหน้าของเขาในความมืดสลัวแล้วก็กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอด้วยความยากลำบาก ขนาดในความมืดสลัวเห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าและเงาของใบหน้าก็ยังรู้สึกถึงอำนาจของบุรุษคนนี้ และรู้สึกใจสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
“คุณรู้เรื่องของฉันได้ยังไง?”
หึหึ
เจตน์ไม่ตอบ เขาทำเพียงแค่นขำในลำคอแล้วปล่อยเธอให้เป็นอิสระจากอ้อมกอดของตัวเองทั้งๆ ที่อยากกอดสาวเจ้าไว้นานๆ
“ถ้าอยากมีเงินรักษาน้องก็ตามฉันออกไปข้างนอก แล้วชีวิตของเธอจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ” เขาบอกสาวน้อยจบประโยคก็เดินจากไป ทิ้งให้เด็กสาวยืนตกอยู่ในภวังค์ความคิดตัวเองตามลำพัง