บท
ตั้งค่า

บทที่ 3. คุณหึงผม?

สองเดือนที่อยู่ด้วยกันมาในฐานะสามีภรรยา จิณณ์ทำหน้าที่สามีได้ดีเหลือเกินเวลาอยู่บนเตียง ส่วนเวลาอยู่ข้างนอกเดินผ่านหรือสวนกัน เขาแทบจะไม่ทักทาย เขาทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ เขาทำเหมือนเธอเป็นเพียงนางบำเรอบนเตียงเท่านั้น จะว่าไปตอนนี้เธอก็ไม่ต่างจาก ‘นางบำเรอ’ ของเขา เพียงแค่ฐานะนางบำเรอของเธออยู่สูงกว่าผู้หญิงของเขาที่ซุกซ่อนไว้เท่านั้นเอง เพราะมีทะเบียนสมรสในครอบครอง แต่ก็ใช่ว่าต่างจากผู้หญิงที่เขาแอบซุกไว้เสียเมื่อไหร่ เขาจะทำดีแสดงละครรักปานจะกลืนกินเธอก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนที่รู้จักและครอบครัวของเธอและเขาเท่านั้นแหละว่ารักและเป็นห่วงเธอ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไม่เคยแม้แต่จะทานข้าวด้วยกันสักครั้ง ต่างคนต่างอยู่ จะมีแต่ตอนกลางคืนเท่านั้นที่อยู่ด้วยกัน ทั้งๆ ที่ก่อนแต่งงานตกลงกันจะแยกห้องกันอยู่ แต่แล้วสุดท้ายก็ต้องอยู่ห้องเดียวกัน เพราะเขาและเธอเลยขั้นจะมารักษาระยะห่างกันแล้ว ไม่ว่าตรงซอกหลืบไหนของร่างกายก็ล้วนแต่ผ่านมือและริมฝีปากหนาของจิณณ์มาแล้วทั้งนั้น

“มากันแล้วเหรอลูก” เสียงของนางจิตตราเอ่ยทักลูกทั้งสองที่เดินโอบเอวกันเข้ามาในห้องนั่งเล่น วันนี้สองบ้านนัดกันทานมื้อเย็นที่บ้านปิ่นฤดีและลูกๆ ทั้งสองของพวกเขาก็ถูกโทรตามให้มาทานมื้อเย็นด้วย

ด้านจิณณ์กับบุณยดาที่เดินโอบเอวแสดงท่าทางรักกันหวานก็พากันยิ้มให้ผู้ใหญ่ทั้งสี่ที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมยกมือไหว้ทันทีเมื่อเดินเข้ามาถึง ก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาตัวยาวที่ว่างอยู่ด้วยกัน

“เมื่อไหร่พ่อกับแม่จะได้เป็นตา เป็นยาย เป็นปู่ เป็นย่าสักทีฮึพ่อจิณณ์” เสียงแหบแห้งตามวัยของประมงเอ่ยถามลูกเขย

“ก็คาดว่าเร็วๆ นี้แหละครับคุณพ่อ ช่วงนี้ผมก็ทำการบ้านทุกวัน ใช่ไหมที่รัก” ท้ายประโยคเขาหันมาถามส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ภรรยาคนสวยที่นั่งข้างตนและเธอก็หลบตาเขินอายพร้อมตอบกลับเขา

“คุณจิณณ์อายคุณพ่อคุณแม่บ้างค่ะ” เธอเอ็ดเขาเสียงไม่ดังนัก

“อายทำไมทูนหัว ก็ตอนนี้เราเป็นผัวเมียกันนี่ จะอายอะไร คุณพ่อถามผมเรื่องลูก ผมก็แค่ตอบ” เขาพูดเสียงดังจงใจให้ทุกคนได้ยินด้วย ‘ลูกงั้นเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก!’ เขาพึมพำในใจพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้กับผู้ใหญ่ที่มองมาทางตนและภรรยา เขาไม่เคยมีความคิดเรื่องนี้ในหัวและไม่คิดจะมีด้วย เรื่องอะไรจะเอาชีวิตมาผูกติดกับบุณยดาและลูกเพียงคนเดียว

“อย่านานนักนะลูก แม่อยากอุ้มหลานแล้วนะจิณณ์ หนูแนน” จิตตราเอ่ยกับลูกชายและลูกสะใภ้

“ครับผม ไม่นานแน่นอนครับคุณแม่” จิณณ์ตอบกลับแม่ตัวเองเสียงหนักแน่นอย่างรับคำมั่นเหมาะแล้วก็หันมาก้มหน้าเอ่ยกระซิบข้างหูภรรยาตัวเองให้ได้ยินกันสองคน ‘แสดงละครหน่อยสิ อย่าให้ผมแสดงคนเดียวได้ไหมผมเหนื่อย อ้อ...เรื่องลูก อย่าคิดว่าผมจะมีกับคุณ คุณกินยาคุมทุกวันใช่ไหม’

บุณยดาฝืนยิ้มให้กับทุกคนเมื่อได้ยินคำพูดของสามี เธอกินยาคุมกำเนิดตามเขาสั่งทุกวันและไม่คิดจะอุ้มท้องลูกคนใจร้ายด้วย และเธอเองก็เคยบอกเขาหลายครั้งให้ใส่ถุงยางอนามัย แต่เขาก็ดื้อไม่ยอมใส่ อ้างว่าเธอกินยาคุมแล้วเขาจะใส่ทำไม ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้หมายถึงเรื่องเด็กเลย แต่เธอหมายถึงเรื่องโรคที่จะมากับเขา เพราะเขามันคนสำส่อน ถึงแม้ไม่เห็นกับตา แต่ก็ได้ยินบ่อยๆ ว่าเขาชอบเข้าโรงแรมกับสาวๆ เป็นประจำทั้งๆ ที่แต่งงานกับเธอแล้ว และที่สำคัญบุณยดาไม่เข้าใจ เขาไปมีเซ็กซ์กับคนอื่นแล้วทำไมยังต้องกลับมาระบายกับตัวเองด้วย ไม่ว่าจะเวลาไหน เขากลับดึกกลับเร็วเขาก็ไม่เคยปล่อยให้เธอได้นอนหลับพักผ่อนสบายเลย

‘ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นค่ะ ฉันไม่ปล่อยให้ตัวเองพลาดท้องกับคุณแน่’ บุณยดากัดฟันเอ่ยตอบให้ได้ยินกันสองคน ก่อนจะดันหน้าของเขาที่ก้มอยู่ข้างแก้มออกห่างแล้วหันไปส่งยิ้มให้พ่อกับแม่ตัวเองและพ่อกับแม่สามีที่มองมาทางตนและสามี

“แนนขอตัวไปดูความเรียบร้อยที่โต๊ะอาหารก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะให้เด็กมาตามคุณพ่อกับคุณแม่นะคะ” เธอเอ่ยขอตัว เพราะไม่ได้จบเอกการแสดงมาแบบคนหน้าทนข้างๆ ที่ต้องมาปั้นหน้ายิ้มแสดงว่ารักกัน เธอเหนื่อยที่ต้องแสดงอะไรแบบนี้กับเขาเต็มทนแล้ว

“ไปเถอะลูก” เบญจาเอ่ยกับลูกสาวตัวเอง แล้วบุณยดาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ทิ้งให้สามีแสดงละครอยู่กับพ่อๆ แม่ๆ คนเดียวในห้องนั่งเล่น

“จิณณ์ไปคุยกับพ่อหน่อยสิ พ่อมีอะไรจะคุยกับแก” เสียงแหบแห้งทว่าดุดันเอ่ยขึ้นทำให้จิณณ์ต้องมองไปยังเอกชัย พ่อบังเกิดเกล้าตัวเองแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอด้วยความยากลำบาก

“จะคุยอะไรกับลูกคุณเอก” จิตตราถามสามี

“ก็คุยเรื่องงานนั่นแหละ ไปคุยกับพ่อหน่อยจิณณ์” แล้วเอกชัยก็ลุกเดินนำหน้าลูกชายออกจากห้องนั่งเล่นไปก่อน ส่วนจิณณ์ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กับทุกคนแล้วขอตัวตามพ่อตัวเองไปข้างนอก

“จิตดีใจมากที่สองครอบครัวเราได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน” จิตตราหันมาเอ่ยกับเบญจาที่นั่งโซฟาตัวเดียวกับตนเอง

“จาเองก็ดีใจที่เราสองบ้านเป็นทองแผ่นเดียวกัน และไม่นานเราสองคนจะเป็นคุณยาย คุณย่ากันแล้วจิต”

สองเพื่อนรักเอ่ยกัน เมื่อครั้งสมัยวัยรุ่นนั้นทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน โดยมีสองหนุ่มเพื่อนรักอย่างประมง สามีเธอและเอกชัยเข้ามาจีบพร้อมกัน และใครจะคิดว่าวันนี้จะได้มาเป็นทองแผ่นเดียวกัน สามีของนางทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันและมีธุรกิจครอบครัวด้วยกัน นางทั้งสองจากสาวบ้านๆ ต่างจังหวัดตกถังข้าวสารกับหนุ่มเศรษฐีเมืองกรุง จนทุกวันนี้ยังไม่อยากเชื่อว่าตัวเองทั้งสองได้สามีรวยพันล้านทั้งคู่ แถมสามีก็เป็นเพื่อนรักกันเหมือนพวกตน

ประมงนั่งอ่านหนังสือฟังภรรยาตัวเองและเพื่อนสนิทพูดคุยกันก็อมยิ้มตามไปด้วยเมื่อคิดถึงอดีตแสนหวานของตัวเองกับภรรยาและเรื่องราวความรักของตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าเวลาช่างผ่านมาไวเหลือเกินจนตอนนี้บุณยดาอายุไม่น้อยแล้ว และพวกเขาก็อายุไม่น้อยแล้วเช่นกันตอนนี้

ด้านจิณณ์เดินตามพ่อออกมาที่สวนหลังบ้านของบ้านปิ่นฤดี เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับตัวเอง เพราะสีหน้าท่านเครียดขรึมจนเขาเดาอารมณ์ท่านไม่ถูกว่าท่านมีอะไรจะคุยกับตัวเองกันแน่ พอเดินตามมาเรื่อยๆ จนท่านหยุดเดินหมุนตัวหันหน้ามาทางตน เขาก็หยุด

“รู้ไหมว่าพ่อเกลียดคนไม่รู้จักพอที่สุด” เอกชัยเอ่ยเสียงแข็งกับเจ้าลูกชายตัวดีตัวเองทันที

“ครับ” เขาตอบเสียงเรียบสบตาท่าน

“ครับ? แล้วทำไมยังทำแบบนี้อีก คิดถึงจิตใจหนูแนนบ้างไหมไอ้จิณณ์” ท่านพูดพร้อมกับล้วงโทรศัพท์เครื่องหรูในกระเป๋ากางเกงตัวเองออกมาเปิดรูปที่ได้รับจากนักสืบของตัวเองส่งให้ลูกชายตัวเองดู แม้อายุเจ็ดสิบหกปีแล้ว แต่เอกชัยยังแข็งแรงอยู่

“พ่อให้คนแอบตามผม” เขารับมากดเลื่อนดูรูปถ่ายแต่ละรูปของตัวเองกับสาวไม่ซ้ำหน้าที่พาเข้าโรงแรม ร้านอาหาร

“ใช่ เพราะฉันรู้จักนิสัยแกดีไงไอ้จิณณ์ เลิกซะ เลิกทำแบบนี้ลับหลังหนูแนนได้แล้ว ถ้าไม่อยากเสียใจก็เลิกซะไอ้จิณณ์ ที่พ่อเรียกมาคุยเพราะพ่ออยากเตือนแกไว้”

“พ่อก็รู้ว่าผมไม่ได้รักแนน แต่ที่แต่งงานด้วยเพราะพ่อกับแม่บังคับ”

“แกปฏิเสธก็ได้ไอ้จิณณ์ แต่แกก็ตกลงแต่งเอง”

“เพราะพ่อแม่บังคับผมต่างหากล่ะ ถ้าไม่ขู่ว่าจะยกสมบัติทั้งหมด หุ้นส่วนทั้งหมดให้บ้านนี้ เรื่องอะไรผมจะแต่งงานด้วย อ้อ...อีกอย่างผมกับลูกสะใภ้พ่อ เราตกลงกันแล้วจะอยู่กันแบบเพื่อน ถึงเวลาหย่าก็จะหย่ากันเงียบๆ” เขาบอกท่าน

“ไหนแกบอกไม่ต้องการสมบัติของครอบครัว” เอกชัยถามลูกชาย

“ใช่ ผมไม่ต้องการของพ่อแม่ แต่เรื่องอะไรจะยกให้คนอื่น มันควรเป็นของผม เพราะผมเป็นลูกชายของพ่อกับแม่”

“แกมันเห็นแก่ตัว ถ้าไม่รักหนูแนนก็เลิกซะ รีบหย่าซะ”

“หย่าแน่นอนพ่อไม่ต้องห่วง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เราเพิ่งแต่งงานกันสองเดือนเอง พ่อจะให้เรารีบหย่าไปถึงไหน คนที่จะอายคือแนนไม่ใช่ผม ยังไงผมก็ผู้ชายเสียหายน้อยกว่าแนนอยู่แล้ว”

เขาตอบท่านอย่างมีเหตุผลทั้งๆ ที่จริงแล้วในใจเขานั้นไม่มีความคิดเรื่อง ‘หย่า’ แม้แต่น้อยตั้งแต่ได้ครอบครองบุณยดาในคืนเข้าหอ ความคิดเขาตลอดสองเดือนก็เปลี่ยนไปสับสนไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเกิดความสับสนมากมายทั้งๆ ที่เขาเป็นคนเด็ดขาดกับความรู้สึกมาตลอด แถมยังย้ำกับตัวเองตลอดว่า ‘ไม่รัก’ บุณยดา

“ทำอะไรก็อย่าให้เสียหายมาถึงหนูแนน แกสำส่อนก็สำส่อนไป อย่าเอาตัวสกปรกของแกมาทำให้หนูแนนด่างพร้อย”

“แต่นั่นเมียผม”

“เมีย? แกพูดได้เต็มปากนะไอ้จิณณ์”

“ใช่ นั่นเมียผม”

“เมียแกคงมีเป็นร้อยเป็นพันสินะ จัดการกับความรู้สึกตัวเองให้ได้ก่อนที่จะสาย ผู้หญิงที่ซุกไว้ก็เลิกซะถ้าไม่อยากเสียใจในอนาคต พ่อเตือนแกแล้วนะไอ้จิณณ์”

“ผมรู้จักตัวผมดี พ่อไม่ต้องมาทำเป็นรู้จักผมดีหรอกครับ ผมไม่คิดจะรักลูกสะใภ้พ่อตั้งแต่แรกและตอนนี้ก็เหมือนเดิม ผมยังยืนยันคำเดิมว่า ‘ไม่รัก’ เธอ”

“จำคำแกไว้ไอ้จิณณ์ จำคำแกวันนี้ไว้ให้ดีว่าแกพูดอะไร ถึงเวลาหย่าก็หย่าให้หนูแนนล่ะ”

“แน่นอนครับ ผมอยากหย่าวันนี้เสียด้วยซ้ำ ผมเหนื่อยแสดงละครแล้ว”

เขาตอบโดยไม่คิดโดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ในบทสนทนานั้นมาได้ยินเข้าพอดี

“งั้นก็ไปหย่าเลยไหมคะ เราจะได้ไม่ต้องอดทนอยู่ด้วยกัน” บุณยดาเอ่ยแทรกขึ้นตัดหน้าเอกชัย

“หนูแนน! ”

“แนน! ”

ทั้งสองหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน และคนที่ตกใจที่สุดเป็นจิณณ์ เขาไม่ได้อยากให้เธอได้ยิน ที่เขาพูดเพียงเพราะอยากเอาชนะพ่อตัวเองเท่านั้น

“แนนมาตามคุณพ่อกับคุณจิณณ์ไปทานข้าวค่ะ” เธอบอกทั้งสอง เพราะตอนนี้หกโมงเย็นได้เวลามื้อเย็นแล้ว แต่ฟ้ายังไม่มืด เพราะช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อนจะมืดช้ากว่าหน้าหนาว

“เดี๋ยวก่อนสิ คุยกันก่อน” จิณณ์เดินไปคว้าข้อมือเล็กของคนที่หมุนตัวจะเดินจากไป

“งั้นพ่อไปก่อน ทั้งสองคุยกันเถอะ” แล้วเอกชัยก็เดินจากไปทิ้งให้ลูกชายและลูกสะใภ้คุยกัน

“ปล่อยค่ะ” เธอบิดข้อมือเล็กในอุ้งมือหนาทันทีเมื่อเหลือกันสองคน ส่วนจิณณ์ก็ยอมปล่อยแล้วเดินมาหยุดตรงหน้าของภรรยาคนสวยตัวเอง

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“เรื่องหย่า?”

จิณณ์จุกในอก พูดไม่ออกเมื่อเจอคำถามนี้จากคนตัวเล็กตรงหน้า จิณณ์จ้องดวงตาสวยของบุณยดาที่กำลังอาบคลอไปด้วยน้ำตาและมันกำลังเอ่อล้นออกมา เขายกมือขึ้นหมายจะปาดป้ายเช็ดน้ำตาที่กำลังล้นตาออกให้เธอ แต่เธอเบือนหน้าหนีแล้วยกมือขึ้นเช็ดเอง

“อย่ามาแตะต้องฉัน”

“ไม่เอาน่าแนน คุณก็รู้ว่าผมทำไม่ได้ คุณทั้งสวยทั้งหวานทั้งตัวไม่ให้แตะต้องยังไงไหว อีกอย่างคุณเป็น ‘เมีย’ ผมอยู่”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะหย่ากันแล้วค่ะ”

“ไม่หย่า!”

“แต่ฉันจะหย่าค่ะ ฉันเหนื่อยจะทนกับคุณแล้ว ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องของคุณกับผู้หญิงอื่นอีกแล้ว”

“คุณรู้?”

“มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่าสามีตัวเองไปเข้าโรงแรมกับผู้หญิงอื่น”

“คุณหึงผม?” ใจของจิณณ์เต้นแรงเมื่อคิดว่าภรรยาตรงหน้า ‘หึง’ ตัวเอง

“อย่าถามสิ่งที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจดีกว่าค่ะ ฉันจะ ‘หึง’ คุณได้ยังไง เพราะฉันไม่ได้รักคุณ” เธอตอบกลับเสียงเรียบไร้ความรู้สึกทั้งๆ ที่ลึกๆ ในใจนั้นมันเจ็บปวดเหลือเกิน บุณยดาปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าตลอดเวลาสองเดือน เธอไม่หวั่นไหวไปกับคนหล่อร้ายที่ยืนตรงหน้า

“ผมไม่ลืมหรอกว่าคุณ ‘เกลียด’ ผม และผมก็ไม่หย่าด้วย ผมยังไม่อิ่มในตัวคุณ ผมยังใช้บริการคุณไม่สะใจเลยด้วยซ้ำแนน ผมเบื่อคุณเมื่อไหร่ ผมจะหย่าเอง” จิณณ์ไม่เผยความเจ็บปวดออกมาให้คนตัวเล็กได้เห็น ในเมื่อหล่อนไม่แคร์เขา เขาทำไมต้องแคร์ด้วย เธอไม่รู้รึไงว่าตลอดสองเดือนที่อยู่ด้วยกัน เธอทำให้เขาสับสนวายป่วงแค่ไหน ที่ไปเข้าโรงแรมกับผู้หญิงพวกนั้นก็เพราะไปพูดคุยเรื่องของเธอและเขานี่แหละ และจะรู้ไหมว่าตลอดสองเดือนเขาไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากเธอ เธอคนเดียว ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงได้โหยหาปรารถนาแต่ภรรยาแต่งคนนี้ทั้งๆ ที่บอกตัวเองแล้วว่าจะไม่รู้สึกอะไรด้วยกับเจ้าหล่อน แต่วันนี้เขาสับสนไปหมดแล้วว่าแท้จริงใจตัวเองคิดยังไงกับบุณยดากันแน่

“คนเห็นแก่ตัว!”

“เพราะคุณเป็น ‘เมีย’ ผมยังไงล่ะ ผมถึงเห็นแก่ตัว อย่าคิดเอาตัวเองไปให้ผู้ชายอื่นล่ะ เพราะตอนนี้คุณเป็นของผมอยู่ หย่าเมื่อไหร่ค่อยไปนอนกับคนอื่น” แล้วเขาก็เดินเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้บุณยดายืนน้ำตาตกเพียงลำพัง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel