บทที่ 4 คารวะแม่สามี
บทที่ 4
คารวะแม่สามี
ดวงตะวันโผล่พ้นเหนือขอบฟ้า แสงสว่างสาดแสงทุกสรรพสิ่งบนผืนแผ่นดินกว้าง ผืนดินที่ขาวโพลนถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะ เริ่มละลายลงเมื่อต้องแสงตะวันอันเจิดจ้า อากาศที่หนาวเย็นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น
แต่สำหรับห่าวเยว่เล่อที่นอนอยู่บนที่นอนอันอบอุ่นนั้น นางไม่อยากจะหยัดกายลุกออกจากที่นอนนี้เลย ความอุ่นสบายเป็นครั้งแรกในชีวิตทำให้หญิงสาวไม่อยากจะลุกกายจากไปไหน
สาวใช้ด้านนอกที่ได้ยินเสียงขยับกายด้านใน จึงได้ส่งเสียงเรียกขึ้นมา
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวขอเข้าไปนะเจ้าคะ”
“อืม”
น้ำเสียงอ่อนแรงเอ่ยตอบรับ ขณะที่รีบหยิบเม็ดยาสีดำใส่เข้าไปในปาก
เสียงประตูถูกผลักออกมา พร้อมกับสาวใช้กว่าสิบนางที่เดินเข้ามายังห้องแห่งนี้ พวกนางถูกพ่อบ้านประจำจวนโหวให้เข้ามาดูแลฮูหยินน้อยคนใหม่ของท่านโหว
สาวใช้ทั้งสิบล้วนเป็นหญิงสาวที่อายุไม่เกินยี่สิบปี เมื่อพวกนางเข้ามาเห็นห้องหอที่ราวกับเพิ่งถูกพายุพัดผ่าน ต่างก็พากันใบหน้าแดงก่ำกันเป็นแถบ
ท่านโหวของพวกนางช่างดุดันนัก ขณะตอนนี้ฮูหยินน้อยยังไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกเดินด้วยตัวเองเลย ร่องรอยฝากรักที่ท่านโหวทิ้งไว้ที่เรือนร่างของฮูหยินน้อย ล้วนมีทุกพื้นที่ จนพวกนางยังรู้สึกเขินอายแทนเจ้านายสาว
ข่าวลือที่บอกว่าฮูหยินน้อยไม่เป็นที่ต้องการของท่านโหว ดูท่าจะไม่จริงเสียแล้ว
“ให้บ่าวอาบน้ำให้นะเจ้าคะฮูหยินน้อย”
“ขอบใจเจ้ามาก”
‘เพ่ยเพ่ย’ คือหัวหน้าสาวใช้ทั้งเก้านาง นางได้รับการไหว้วานให้มาเป็นสาวใช้ประจำตัวของฮูหยินน้อย โดยมีหน้าที่ช่วยจัดการดูแลงานต่าง ๆ ให้กับฮูหยินน้อย
เรือนหอของห่าวเยว่เล่อคือเรือนหลักของท่านโหวทางห้องปีกซ้าย ที่เรือนหลักนี้มีห้องทั้งหมดสี่ห้อง ห้องนอนทางปีกขวาคือของท่านโหว ห้องหนังสือ ห้องรับแขก และห้องหอซึ่งอยู่ทางห้องปีกซ้าย
ในอาณาเขตกว้างใหญ่ของจวนโหวมีเรือนน้อยใหญ่ตั้งอยู่กันเรียงราย เย่เจียวหั่วผู้เป็นประมุขของตระกูลพักที่เรือนหลัก เรือนถัดไปทางทิศตะวันออกคือเรือนของหลิวเถียนผู้เป็นมารดา ส่วนทางด้านหลังยังมีเรือนเล็ก และเรือนรับแขกอีกสองเรือน ถัดไปทางด้านหลังจะเป็นโรงครัว และเรือนคนใช้ของจวนโหวทั้งหมด
แต่นอกจากนี้ทางฝั่งทิศตะวันตกที่ติดกับชายป่า คือสนามประลองที่มีไว้สำหรับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มาฝึกซ้อมในทุก ๆ เจ็ดวัน โดยท่านโหวจะเป็นผู้ดูแลการฝึกซ้อมด้วยตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าคนของตนนั้นมิได้หละหลวมต่อการฝึกซ้อม
ในทุกเช้าเย่เจียวหั่วจะออกไปยังค่ายทหาร ที่อยู่ถัดไปจากจวนโหวราวสองเค่อ เขาเดินทางโดยการขี่ม้าสีขาวตัวโปรดโดยมีทหารคุ้มกันอีกหกคน แต่เพราะเขาเพิ่งจะแต่งงานจึงได้ลาราชการเจ็ดวัน เพื่อจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับฮูหยินของตนเอง
เย่เจียวหั่วกลับมาที่ห้องอีกครั้งในสภาพที่เหงื่อโทรมกาย เขาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อไปฝึกฝนร่างกายในทุก ๆ เช้า วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ร่างสูงเดินผ่านเลยห่าวเยว่เล่อแล้วหายเข้าไปยังห้องอาบน้ำ
ห่าวเยว่เล่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้เป็นสามี เมื่อคืนนี้นางกับเขาดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี แต่พอวันใหม่เขาก็ทำราวกับนางเป็นอากาศธาตุเสียอย่างนั้น
หรือแท้จริงแล้วเขามองเห็นนางเป็นเพียงสิ่งของมีชีวิต ที่คอยบำบัดอารมณ์กำหนัดของตนเอง เมื่อเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องพูดคุยหรือทำดีกับนางอีก
เรื่องราวเมื่อคืนนี้ก็คือความฝันตื่นหนึ่งใช่หรือไม่! ใจของห่าวเยว่เล่อพลันปวดแปลบขึ้นมา ใบหน้าของหญิงสาวดูซีดเผือดลง
“ฮูหยินน้อยไม่สบายหรือเจ้าคะ สีหน้าดูไม่ดีเลย”
เพ่ยเพ่ยเอ่ยถามด้วยความห่วงใย หรือฮูหยินน้อยจะเจ็บตรงส่วนนั้นมาก
ไม่ได้การ นางจะต้องไปให้ท่านหมอจัดยาให้กับฮูหยินน้อย
“ไปได้หรือยัง”
เย่เจียวหั่วที่เดินออกมานั้นเอ่ยถามเสียงเข้ม ร่างสูงสวมอาภรณ์สีน้ำเงินขลิบทอง ผมสีน้ำหมึกของเขารวบไว้กลางศีรษะ และสวมกวานเงินที่ประดับอัญมณีสีอำพัน
รูปลักษณ์ของท่านโหวดูคล้ายกับคุณชายสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ที่ห่าวเยว่เล่อเคยเห็นยามที่ไปเยือนเมืองหลวงของแคว้นเป่ย ใจของสตรีพลันกระตุกวูบ ยิ่งสบตาคมกริบของเขาที่มองมา มือไม้ของนางก็รู้สึกเกะกะไปหมด
“รีบไปเถอะเจ้าค่ะ”
ร่างระหงหยัดกายลุกขึ้นยืน ใบหน้าคมหวานเหยเกเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด
เย่เจียวหั่วออกเดินไปด้านหน้าโดยไม่ได้สนใจสตรีด้านหลังเลย เขายังคงก้าวเดินด้วยฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง สายตาคมกริบทอดมองไปเบื้องหน้า รู้ตัวอีกทีพอหันหลังกลับมากลับไม่เห็นเงาของห่าวเยว่เล่อ
สีหน้าของชายหนุ่มดูหงุดหงิด กายสูงหมุนกลับไปทางเดิม เพียงไม่นานหลังจากพ้นพุ่มไม้สูง ก็เห็นห่าวเยว่เล่อเดินมาด้วยการประคองของเพ่ยเพ่ย
ใบหน้าของนางดูซีดเผือดลงเล็กน้อย การก้าวย่างของนางก็เชื่องช้ามาก กว่าจะก้าวได้แต่ละก้าวช่างดูยากเย็นนัก เขายืนกอดอกมองอยู่นานก็คิดว่ากว่าจะเดินไปถึงเรือนของท่านแม่คงสายกันพอดี
“เมื่อไหร่จะไปถึงเสียที ถ้าเจ้ายังเดินช้าอยู่เช่นนี้อีก”
ห่าเยว่เล่อเงยหน้ามองร่างสูงด้วยความขุ่นเคืองใจ เป็นเพราะเขามิใช่หรือนางถึงได้มีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้
“ขออภัยท่านโหวเจ้าค่ะ ข้าจะพยายามเดินให้เร็วกว่านี้”
นางก้าวเดินเร็วขึ้น แต่นั่นกลับสร้างความปวดแปลบเข้าสู่ใจกลางกายสาว สองขาสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด แข็งขาพลันดูอ่อนแรงลง
เย่เจียวหั่วพ่นลมหายใจด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะตรงเข้ามาช้อนร่างระหงเข้ามาในอ้อมแขน ขายาว ๆ ของเขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็มาถึงยังเรือนของหลิวเถียน ฮูหยินใหญ่ของจวนโหว มารดาผู้ให้กำเนิดของท่านโหวคนปัจจุบัน
ร่างสูงวางร่างของห่าวเยว่เล่อลงกับพื้น พร้อมกับประคองแขนเล็กพากันเดินเข้าไปยังห้องโถง ที่ซึ่งมีหลิวเถียนกำลังนั่งรอทั้งสองคนอยู่ก่อนแล้ว
“กว่าจะมากันได้ น้ำชาที่เตรียมเอาไว้เย็นชืดไปเสียแล้ว”
สตรีวัยกลางคนบนเก้าอี้ไม้เนื้อหอมเอ่ยตำหนิซึ่งหน้า แต่สายตาของนางกลับทอดมองห่าวเยว่เล่อ ราวกับจะประกาศว่าเป็นความผิดของนาง
“ขออภัยฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
ปัง!!
ฝ่ามือเรียวตบที่โต๊ะอย่างมีโทสะ ดวงตาของหลิวเถียนมองมาทางสะใภ้ด้วยความกรุ่นโกรธ
“เจ้ากำลังผายลมอะไรกัน ถึงเจ้าจะไม่คิดว่าตนคือคนของจวนโหว แต่ข้าก็เป็นแม่สามีของเจ้า เจ้าควรเรียกขานว่าท่านแม่ด้วยความนอบน้อม หากเรื่องที่เจ้าเรียกข้าด้วยถ้อยคำที่ห่างเหินเช่นนี้แพร่ออกไป จวนโหวของเราจะมิอับอายหรือ”
ร่างระหงทรุดกายโขกศีรษะลงกับพื้นไม้เย็นเยียบเสียงดัง
ตุ๊บ!
“สะ สะใภ้โง่เขลาเจ้าค่ะ สะใภ้ไม่เคยคิดเช่นนั้น เพียงแต่เกรงว่าถ้าไม่ได้รับคำอนุญาตจากท่านแม่เสียก่อน สะใภ้ก็มิบังอาจเอ่ยเรียกท่านแม่เจ้าค่ะ ขอท่านแม่ได้โปรดอย่ามีโทสะเพราะสะใภ้ผู้นี้เลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงแว่วหวานสั่นเทาด้วยความสำนึกผิด
หลิวเถียนเองก็พยักหน้าพึงพอใจ อย่างน้อยนางก็รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
“เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ คราวหน้าก็อย่าทำเช่นนี้อีก ถึงเจ้าจะเป็นสตรีบรรณาการแต่ตอนนี้เจ้าก็คือคนของจวนโหว พึงระลึกไว้เสมอว่าหน้าที่ของเจ้าคือสิ่งใด”
“ขอบคุณท่านแม่ที่สั่งสอนเจ้าค่ะ”
มามาผู้อาวุโสเดินเข้าไปประคองห่าวเยว่เล่อ จากนั้นคู่สามีภรรยาจึงได้ยกน้ำชาให้แก่หลิวเถียน นางเองก็เตรียมของขวัญรับขวัญทั้งคู่เช่นเดียวกัน
กล่องไม้ใบใหญ่ถูกนำมามอบให้กับห่าวเยว่เล่อ ภายในบรรจุเครื่องประดับทองที่ฝังอัญมณีสีอำพัน ดูงดงามและหรูหราควรค่าแก่เมืองเจียว เครื่องประดับชุดนี้คือของตกทอดจากฮูหยินเอกของจวนโหวที่จะส่งมอบให้แก่สะใภ้เอก
“เจ้าเป็นคนของจวนโหวโดยสมบูรณ์แล้ว พรุ่งนี้ยามเฉินมาที่เรือนของข้า ข้าจะให้มามาอาวุโสคอยสอนงานของจวนโหวให้แก่เจ้า”
“สะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“อาหั่วเจ้าเองก็ดูแลนางให้ดีเล่า แล้วรีบมีหลานให้แม่จะดีที่สุด แม่อยากฟังข่าวดีก่อนงานวันไหว้บรรพชน”
“ลูกจะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ”
“แม่เหนื่อยแล้ว พวกเจ้าทั้งสองออกไปเถอะ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
ทั้งสองยอบกายคารวะ แล้วจึงเดินจากไปโดยเย่เจียวหั่วยังคอยประคองฮูหยินของเขาตลอดเวลา
คล้อยหลังของหนุ่มสาว มามาผู้อาวุโสอดจะเอ่ยถามเจ้านายของตนไม่ได้ นางอยู่รับใช้หลิวเถียนตั้งแต่เด็กจึงพอรู้ใจมาอยู่บ้าง แต่การกระทำครั้งนี้ของเจ้านายกลับแปลกไปจนนางประหลาดใจ
“ฮูหยินใหญ่ยอมรับฮูหยินน้อยแล้วหรือเจ้าคะ”
“เปล่า ข้าแค่กำลังให้โอกาสนาง เด็กคนนี้ไม่ได้โง่เขลาอย่างที่นางแสดงหรอกนะ นางรู้จักอ่านสถานการณ์และยังสามารถโอนอ่อนได้เป็นอย่างดี นางดูคล้ายนางจิ้งจอกที่กำลังห่มหนังแกะเสียมากกว่า”
“จะให้บ่าวตามดูฮูหยินน้อยไหมเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก อาหั่วส่งคนของเขาไปแล้ว บุตรชายของข้าเขาโชคดีที่ได้รับการสั่งสอนจากท่านปู่และท่านย่าของเขา หากเขาเหมือนกับบิดา ข้าคงปวดใจมากกว่านี้”
หลิวเถียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อนึกถึงสามีผู้ล่วงลับของตนเอง หากว่าเขาหนักแน่นและฉลาดมากกว่านี้ คงจะไม่ต้องมาจบชีวิตเช่นนี้เป็นแน่
“คุณหนูหลิวมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้หน้าห้องเดินเข้ามารายงาน
“ให้นางเข้ามาเร็วเข้า”
น้ำเสียงของหลิวเถียนกระตือรือร้นยิ่งนัก สีหน้าที่เคยเศร้าหมองพลันยิ้มแย้มขึ้นมาทันใด
ไม่นานสตรีนางหนึ่งก็ย่างกรายเข้ามายังในห้องโถงหลัก ท่วงท่าการเดินเหินของนางดั่งคุณหนูในห้องหอที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ฝีเท้าเงียบกริบ แผ่นหลังเล็กยืดตรง ใบหน้าหวานเชิดขึ้นแต่ก็ยังคงความอ่อนน้อม สองมือประสานกันที่ระดับเอว ทุกก้าวย่างชายกระโปรงของนางแทบไม่ขยับเลย
“คารวะท่านป้าเจ้าค่ะ”
สตรีสะคราญโฉมที่มีใบหน้างดงามหมดจด ยอบกายคารวะฮูหยินใหญ่หลิวเถียนด้วยความนอบน้อม ใบหน้าที่ตกแต่งด้วยเครื่องประทินโฉมแย้มยิ้มบางเบา
“เหตุใดถึงมาเช้านักเล่า วันนี้เจ้าไม่ได้มีเรียนพิณหรือ”
หลิวเถียนทอดมองสตรีรุ่นลูกด้วยความเอ็นดู น้ำเสียงของนางที่เอ่ยถามมีความเอื้ออาทรต่อ ‘หลิวหนิงอัน’ บุตรสาวของน้องชายต่างมารดาแห่งจวนตระกูลหลิว
“ท่านอาจารย์ขอลาหยุดหนึ่งวันเจ้าค่ะ วันนี้ข้าจึงถือโอกาสทำน้ำแกงปลามาฝากท่านป้า และอยากให้ท่านพี่เจียวหั่วชิมด้วยเจ้าค่ะ”
“อาหั่วเพิ่งกลับออกไปไม่นาน เจ้าเอาไปให้เขาที่เรือนเถอะ”
“เจ้าค่ะท่านป้า”
เมื่อเป้าหมายสำเร็จผล หลิวหนิงอันจึงฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดี นางรีบหมุนกายเดินไปทางเรือนหลักทันที