SET ทะลุมิติมาสยบรักสามี (ภรรยาแสนชังของท่านโหว - จางเฟินเยว่ ยอดอนุภรรยา)
บทย่อ
SET ทะลุมิติมาสยบรักสามี มีทั้งหมด 2 เรื่องจบ เป็นนิยายสั้น ประกอบด้วย 1. เรื่องภรรยาแสนชังของท่านโหว ห่าวเย่วเล่อ ภรรยาผู้ไม่เป็นที่รักของสามี นางยอมเป็นสตรีบรรณาการเพื่อแลกกับความอยู่รอดของชนเผ่าห่าวอู๋ แม้ตัวตายหรือถูกทำร้ายจิตใจเพียงใด นางก็ยอม!! 2. จางเฟินเยว่ ยอดอนุภรรยา จากดาราสาวตกตายแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของอนุท้ายจวน เมื่อนางเสียโฉมอดีตสามีก็นำนางมาเป็นของเดิมพัน สุดท้ายต้องไปเป็นอนุของผู้อื่น ชีวิตนี้ของนางช่างน่าอดสูนัก!!
เรื่องภรรยาแสนชังของท่านโหว บทที่ 1 เจ้าสาวแห่งเผ่าห่าวอู๋
บทที่ 1
เจ้าสาวแห่งเผ่าห่าวอู๋
หิมะสีขาวพิสุทธิ์โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย มีบางส่วนตกลงมาบนเกี้ยวเจ้าสาวที่ตกแต่งด้วยผ้ามงคลสีแดงสด แม้จะมีหิมะตกลงมาไม่หยุดหย่อน จนพื้นดินกลายเป็นสีขาวโพลนที่เต็มไปด้วยหิมะ แต่ก็มิอาจจะหยุดงานรื่นเริงมงคลแห่งแดนเหนือได้
เกี้ยวเจ้าสาวแปดคนหามกำลังมุ่งหน้าไปยังจวนเจียวหย่งโหวแห่งแดนเหนือ ตลอดสองฝั่งถนนมีผู้คนในเมืองเจียวออกมายืนดูเกี้ยวเจ้าสาวกันอย่างเนืองแน่น
ข่าวลือว่าเจ้าสาวคือบุตรีของหัวหน้าเผ่าห่าวอู๋ที่อยู่เหนือขึ้นไปจากเมืองเจียว เพราะเผ่าห่าวอู๋ประสบปัญหาขาดแคลนเสบียงเนื่องจากภัยหนาว และจากการรุกรานของชนเผ่าทุ่งหญ้า ทำให้หัวหน้าเผ่าตัดสินใจมอบบุตรีที่รักยิ่งมาเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่ฮ่องเต้แคว้นเป่ย เพื่อแลกกับความคุ้มครองและเสบียงอาหาร
ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะลดทอนอำนาจของแดนเหนือ จึงพระราชทานงานมงคลสมรสให้แก่ ‘เย่เจียวหั่ว’ ผู้ปกครองแดนเหนือ โดยเจ้าสาวคือสตรีที่ได้รับบรรณาการจากเผ่าห่าวอู๋
ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่นักมุ่งหน้าสู่จวนเจียวหย่งโหว ด้านข้างมีขันทีหนุ่มผู้เป็นมือขวาของขันทีผู้รับใช้ข้างกายฮ่องเต้ สายตาของเขากวาดตามองทุกอย่างโดยรอบ ตัวเขาถูกส่งตัวมาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของงานมงคล และเพื่อจะแน่ใจว่าทางแดนเหนือจะไม่บิดพลิ้ว เขาจึงต้องมาดูด้วยตาตัวเอง
เกี้ยวเจ้าสาวสีแดงถูกวางอยู่ด้านหน้าจวนเจียวหย่งโหว บุรุษในอาภรณ์สีแดงยืนหน้านิ่งอยู่ด้านหน้า ทางด้านหลังของเขามีแขกเหรื่อที่เมียงมองกันออกมาเพื่อดูหน้าเจ้าสาว
มือขาวผ่องที่โผล่พ้นชายอาภรณ์สีแดงสดยื่นออกมาจากตัวเกี้ยว เย่เจียวหั่วจึงเดินเข้าไปรับนางด้วยสีหน้าที่ดูบึ้งตึง ทันทีที่สัมผัสกับมือเล็ก คิ้วเข้มพลันขมวดมุ่น มือคู่นี้แม้จะขาวผ่องแต่ความรู้สึกที่หยาบกระด้างเล็กน้อยนั้น ทำให้เขารู้ว่าข่าวลือที่ได้ยินมานั้นไม่เกินจริงเลย
เสียงเครื่องดนตรีประเภทเป่าดังสนั่นกึกก้องไปทั่วหน้าจวนโหว เมื่อเจ้าบ่าวประคองเจ้าสาวเข้ามาด้านใน ทั้งสองก็ได้เข้าสู่พิธีมงคล ตรงตำแหน่งฝ่ายญาติเจ้าบ่าวคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นมารดาของท่านโหว นามของนางคือ ‘หลิวเถียน’
หลิวเถียนทอดสายตามองหญิงสาวในชุดมงคลอย่างพิจารณา แววตาคมกริบจับจ้องร่างระหงไม่วางตา ท่วงท่าการเดินเหินดูสง่างามผิดแปลกจากสตรีในห้องหอ แผ่นหลังเล็กยืดตรงทระนงในตนเอง ในสายตาของนางมีความไม่พอใจอยู่เปี่ยมล้น
ด้วยนางผู้เป็นมารดาได้มองหาผู้เป็นสะใภ้ไว้อยู่แล้ว ช่างน่าเสียดายที่มีราชโองการสมรสมาเสียก่อน ภายในใจของหลิวเถียนจึงค่อนข้างจะไม่ชอบใจสะใภ้จากชนเผ่าห่าวอู๋นัก ยิ่งนึกถึงสตรีผู้หนึ่งของชนเผ่าห่าวอู๋ นางก็ยิ่งไม่พอใจ และแน่นอนว่าบุตรชายของนางจะต้องคิดเช่นเดียวกับนางเป็นแน่
สตรีจากเผ่าห่าวอู๋ย่อมไม่มีดีสักคน!!
คู่บ่าวสาวเดินเข้ามายังแท่นพิธี ผู้ใหญ่ฝั่งเจ้าบ่าวคือหลิวเถียนผู้เป็นมารดา ส่วนฝั่งเจ้าสาวเป็นขันทีผู้ที่ฮ่องเต้ส่งตัวมา เจ้าบ่าวเจ้าสาวมอบน้ำชาให้แก่ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย จากนั้นแม่สื่อก็กล่าวคำนำหน้าเพื่อให้ทั้งคู่โค้งคำนับตามลำดับพิธีการ
“หนึ่ง...คำนับฟ้าดิน
สอง...คำนับพ่อแม่
สาม...คำนับกันและกัน
ส่งตัวเข้าห้องหอ!!”
เมื่อพิธีการเสร็จสมบูรณ์ แม่สื่อก็มาพาตัวเจ้าสาวไปรอยังห้องหอที่ทางจวนโหวจัดเตรียมไว้ให้ ส่วนเจ้าบ่าวก็ร่ำสุรากับแขกเหรื่อที่ห้องโถงจัดงานเลี้ยง
ห่าวเยว่เล่อผู้เป็นเจ้าสาวถูกทิ้งไว้ในห้องหอเพียงลำพัง ฝ่ามือเล็กกำเข้าหากันแน่นด้วยความประหม่า ถึงภายนอกนางจะทำตัวเข้มแข็งและไม่รู้สึกรู้สา แต่ภายในใจก็อดจะหวั่นเกรงไม่ได้
เจ้าบ่าวของนางคือเทพสงครามแห่งแดนเหนือเลยนะ!
เมืองเจียวกับเผ่าห่าวอู๋อยู่ติดกัน มีเพียงภูเขาสูงที่ขวางกั้นเอาไว้เท่านั้น คนในเผ่าต่างร่ำลือถึงความโหดเหี้ยมของท่านโหวผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ว่าเขาคือเทพสงครามกลับชาติมาเกิด ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนที่เกิดเหตุการณ์นองเลือดในครั้งนั้น
ฉายาเทพสงครามของเย่เจียวหั่วขจรขจายไปไกล เขาออกรบกรีธาทัพกวาดล้อมชนเผ่าโดยรอบทั้งหมด ทำให้แดนเหนือเหลือแค่สองชนเผ่าใหญ่ที่เขายังไม่สามารถตีแตกได้ อนึ่งเพราะทั้งสองฝ่ายต่างเข้ามาสวามิภักดิ์เสียก่อน
เวลาล่วงเลยผ่านไปราวค่อนคืน ห่าวเยว่เล่อจึงแน่ใจว่าเจ้าบ่าวคงจะชิงชังนางมากจึงไม่คิดอยากจะเข้าห้องหอ เช่นนี้ก็ดีนางจะได้ไม่ต้องทนฝืนใจตนเอง มือเล็กเปิดผ้าคลุมหน้าออกอย่างไม่ไยดี
ช่างน่าเสียดายที่เจ้าบ่าวไม่ได้มายลโฉมเจ้าสาว ห่าวเยว่เล่อขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งของเผ่า ด้วยใบหน้าเรียวยาวรูปไข่ ดวงตาหงส์ที่มองดูมีอำนาจแผ่ออกมา รับกับจมูกโด่งสวย และริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ
ฝ่ามือขาวผ่องราวกับน้ำนมถอดเครื่องประดับที่แสนหนักอึ้งบนศีรษะออกไป มวยผมที่ถูกรวบเป็นอย่างดีถูกปล่อยสยายเต็มแผ่นหลังเล็ก กลุ่มผมสีดำเงางามทิ้งตัวลงคล้ายกับผ้าแพรไหม
ร่างระหงเดินหายเข้าไปยังห้องอาบน้ำ จัดการปลดอาภรณ์สีแดงอันหนักอึ้งออกจากร่างกายขาวผ่อง หากว่าชาวเมืองเจียวมีผิวกายที่ขาวผ่องแล้ว ห่าเยว่เล่อกลับมีผิวกายที่เนียนละเอียดมากกว่า ผิวกายของนางยามต้องแสงจันทร์ที่สาดแสงเข้ามานั้นดูระยิบระยับเสียจนตาพร่า
หญิงสาวเดินลงไปแช่ตัวในถังอาบน้ำใบใหญ่ แม้น้ำจะเริ่มเย็นลงแต่นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ยังคงอาบน้ำชะล้างกลิ่นกายอยู่เช่นนั้น ความรู้สึกหนักอึ้งตลอดหลายวันที่ผ่านมาพลันเบาบางลง
ยามที่นางได้อาบน้ำแช่ตัวจะทำให้หัวสมองปลอดโปร่งขึ้นมาชั่วขณะ ทำให้จิตใจที่สับสนคล้ายกับมีเวลาขบคิดเรื่องราวที่ผ่านมา
ในเมื่อนางไม่เป็นที่ต้องการของจวนโหว สิ่งที่นางทำได้ในเวลานี้ก็คือการวางตัวนิ่งเฉย ถึงจวนโหวจะไม่ชมชอบนาง แต่เขาก็มิอาจจะกระทำการหยามหมิ่นเกียรติของนางได้ เพราะนางคือสตรีที่ฝ่าบาททรงพระราชทาน ถึงอย่างไรจวนโหวก็ต้องหวั่นเกรงในอำนาจของฝ่าบาท
ดวงตาเรียวหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องตื่นแต่เช้า และความเครียดที่ก่อตัวขึ้นมาหลายวันนี้ จึงทำให้นางผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น
เย่เจียวหั่วกำลังร่ำสุรากับสหายสนิทผู้เป็นกุนซือด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ใบหน้าคมเข้มถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ยิ่งสายตาคมหันมองไปทางด้านหลังจะเห็นว่าขันทีที่ฮ่องเต้ส่งตัวมานั้น ยังคงจับจ้องมองเขาไม่วางตา คงกำลังจะรอดูว่าเขาจะเข้าห้องหอกับเจ้าสาวหรือไม่
หึ...ช่างลงทุนลงแรงเสียจริง คงกลัวว่าเขาจะทอดทิ้งเจ้าสาวใช่หรือไม่ เช่นนั้นเขาจะกระทำการทุกอย่างให้คนจากเมืองหลวงไม่ผิดหวังเลย
ในเมื่ออยากให้เขาแต่งงานเขาก็จะแต่ง แต่สตรีผู้นั้นจะเป็นได้เพียงหญิงที่คอยปรนนิบัติเขาอยู่บนเตียงเท่านั้น นางจะเป็นเหมือนกับหญิงคณิกาในหอโคมแดงที่เขาไปเยือนบ่อยครั้ง ดูสิว่าสตรีผู้นั้นจะทนไปได้กี่น้ำ เขาจะทำให้นางออกไปจากจวนโหว โดยที่นางเป็นผู้ร่ำร้องด้วยตัวเอง!!
“เจ้ากำลังคิดอะไรแปลก ๆ อยู่ใช่หรือไม่”
หลี่เฉินเจาผู้เป็นทั้งสหายคนสนิทและกุนซือของกองทัพแดนเหนืออดจะเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ สหายของเขาผู้นี้เป็นคนที่รักแรงเกลียดแรง เมื่อปักใจสิ่งใดไปแล้วก็ยากจะทำให้คล้อยตามได้ง่าย
“เจ้าเข้ามานั่งในใจของข้าหรือ” ร่างสูงรับจอกสุราขึ้นมากระดกกินหมดจอก
“แค่เห็นสายตาของเจ้า ข้าก็รู้แล้ว ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี เจ้าสาวของเจ้านางก็ถูกบังคับให้แต่งงานกับเจ้าเช่นกัน แม้เจ้าจะไม่พอใจแค่ไหนก็อย่าได้เอาไปลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องด้วย เจ้าเป็นถึงท่านโหวควรจะดูแลนางเป็นอย่างดี บิดาของนางจะได้รู้สึกขอบคุณเจ้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมาเป็นกำลังเสริมให้กับเจ้าก็เป็นได้”
“แต่นางเป็นสตรีจากเผ่าห่าวอู๋ ข้ามิคิดจะทำดีกับนางหรอกนะ”
“เฮ้อ...เรื่องก็ผ่านมานานกว่าสามปีแล้ว อีกอย่างนางมิใช่สตรีผู้นั้นเสียหน่อย ไยต้องเอาความโกรธไปลงที่นางด้วยเล่า”
หลี่เฉินเจาปวดหัวกับสหายผู้นี้นัก
ถ้าเป็นเรื่องในสนามรบ สหายของเขาล้วนเก่งกาจยิ่ง แต่ทำไมเรื่องง่าย ๆ เพียงแค่นี้ถึงคิดไม่ได้กันนะ นี่เขามีสหายที่ใจคอคับแคบไปได้อย่างไรกัน?
“ข้าเข้าใจในความหวังดีของเจ้า” เย่เจียวหั่วเอ่ยเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าจะลองตรวจสอบดู หากนางไม่มีพิษมีภัยต่อเมืองเจียว ข้าก็จะทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี แต่ถ้าไม่! มือคู่นี้ของข้าจะบั่นคอนางด้วยตัวเอง”
น้ำเสียงแข็งกร้าวดังขึ้นมาจากร่างสูง แววตาคมเข้มแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาอย่างเข้มข้น
“ดี อย่างน้อยเจ้าก็ยังพอคิดได้บ้าง”
หลี่เฉินเจายังพอยิ้มออก ในสมองพลันคิดถึงคำรายงานที่ถูกส่งกลับมา
‘ห่าวเยว่เล่อ บุตรีคนเล็กเพียงหนึ่งเดียวของหัวหน้าเผ่าห่าวอู๋ นางมีพี่ชายหนึ่งคนผู้ที่จะขึ้นตำแหน่งเป็นหัวหน้าเผ่าในปีหน้า ด้วยความรักและหน้าที่ที่ต้องแบกรับจึงยินยอมเดินทางจากบ้านเกิดเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่แคว้นเป่ย สตรีผู้นี้ขึ้นชื่อว่ามีหน้าตางดงามเป็นที่เลื่องลือในชนเผ่าห่าวอู๋ นางเก่งกาจเรื่องการยิงธนูและการล่าสัตว์ อาจเพราะต้องใช้ชีวิตในภูเขาและภัยจากธรรมชาติ รวมถึงการรุกรานจากชนเผ่าทุ่งหญ้า จึงทำให้นางมีวิชาติดตัวมาไม่น้อย เรื่องการเอาตัวรอดนางสามารถทำได้ดี แต่เรื่องที่สตรีในห้องหอควรพึงกระทำ นางกลับทำได้ไม่ดีเลย’
เรือนกายสูงใหญ่เดินเข้ามายังในห้องหอ กลิ่นสุราที่ดื่มเข้าไปแผ่กำจายไปทั่ว สายตาคมเข้มกวาดตามองทั่วห้องหอก็ไม่พบสตรีผู้นั้น เขาจึงเดินไปทางห้องอาบน้ำไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงลองเอ่ยเรียก
“ห่าวเยว่เล่อ เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่”
เงียบ...ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา
หรือว่านางจะแอบออกไปข้างนอก แต่บ่าวด้านนอกก็กล่าวว่านางรอเขาอยู่ในห้องหอ
เช่นนั้นนางจะไปไหนได้กัน?
เย่เจียวหั่วจึงถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก เหลือเพียงกางเกงสีขาวตัวบาง เผยให้เห็นหน้าอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ทั่วทั้งร่างปรากฏบาดแผลน้อยใหญ่ที่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ นี่คือสัญลักษณ์ของความห้าวหาญ และเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่าร่างกายนี้แลกมาด้วยความสงบสุขของชาวแดนเหนือ
ร่างสูงเดินเข้าไปยังห้องอาบน้ำ หมายใจจะชำระล้างตัว แต่แล้วสายตาคมกลับตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
สตรีตรงหน้าที่นอนหลับตาพริ้มในถังอาบน้ำ ช่างเป็นภาพที่ดูงดงามจับใจนัก แสงจันทร์ที่กระทบผิวกายที่โผล่พ้นน้ำดูระยิบระยับจนตาพร่ามัว ร่างสูงพลันหายใจติดขัดขึ้นมา ลำคอหนาแห้งผากราวกับขาดน้ำ...