Chapter 2 ดูแลคนตาบอด
Chapter 2
ดูแลคนตาบอด
ณ ห้องพักของเอมิกา
ร่างเล็กสวมชุดเดรสสีน้ำตาลแขนตุ๊กตา หลังจากทำงานที่คฤหาสน์ของลูคัสเสร็จตอนนี้ก็เป็นเวลาตีห้าครึ่งเธออาบน้ำแต่งตัวเตรียมนอนเพราะตอนแปดโมงครึ่งต้องตื่นอาบน้ำไปทำงานที่บริษัทการเงินขนาดเล็กในตอนเก้าโมงเช้า
ติ๊ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เอมิกาละสายจากแผ่นเอกสารที่จะต้องเตรียมไปทำงานพรุ่งนี้หันมามองโทรศัพท์แล้วหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าคนที่โทรมาคือผู้เป็นพ่อ
“ค่ะพ่อ มีอะไรรึเปล่าคะโทรมาหาหนูแต่เช้าเลย”
“เอมี่...จำได้ไหมที่พ่อเคยไปยืมเงินสามีของเพียงฟ้า เพื่อนลูกสมัยเด็กน่ะ”
เอมิกาขมวดคิ้วมุ่น เธอพอจะจำได้อยู่กับเหตุการณ์ที่พ่อเล่าให้ฟัง เพียงฟ้าเป็นลูกสาวของเพื่อนห่างๆ ของคุณพ่อ เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจู่จู่พ่อถึงคิดจะไปยืมเงินสามีของเพียงฟ้าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมาเฟียแถมมีอำนาจมืดในนิวยอร์คอีก
“จำได้ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะพ่อ”
เอ่ยถามไปด้วยความคับข้องใจ ไม่เข้าใจว่าพ่อมาบอกเธอเรื่องนี้ทำไม ร่างเล็กนั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับมองไปนอกหน้าต่างด้วยจิตใจอันหวิวไหว
“เขาต้องการให้ลูกไปทำงานดูแลผู้ป่วยในช่วงเช้าจนถึงเย็น”
“อะไรนะคะ...ไม่ได้หรอกค่ะพ่อ พ่อก็รู้ว่าช่วงเช้าหนูทำงานอยู่ที่บริษัทการเงินจะไปดูแลคนป่วยได้ยังไงกัน”
“เอมี่...ลาออกได้ไหมลูก”
“อะไรนะคะพ่อ! นี่มันเป็นบริษัทที่เป็นรายได้หลักของหนูเลยนะคะ ถึงตอนนี้จะรับงานเป็นแม่บ้านช่วงกลางคืนแต่ถ้าขาดรายได้ช่วงกลางวันไปหนูจะพอส่งพ่อได้ยังไงไหนจะค่าใช้จ่ายที่นี่อีก”
“พ่อจะกลับมาใช้เงินอย่างประหยัดที่บ้านสวน เงินที่ลูกส่งให้แต่ละเดือนมันเพียงพอที่พ่อจะใช้ชีวิต แต่ถ้าเอมี่ไม่ไปทำงานกับคนบ้านนั้น สามีของเพียงฟ้าอาจจะเอาพ่อถึงตายเลย”
น้ำเสียงเป็นกังวลจากชายหนุ่มวัยกลางคนผู้เป็นพ่อทำเอาร่างเล็กของเอมิการู้สึกสั่นเทาไปทั้งตัว งานที่เธอรักกับคณะที่เธอเรียนจบมาตอนนี้ ต้องลาออกไปดูแลผู้ป่วยอย่างนั้นเหรอ
“หนูไม่เข้าใจเลย...”
ทำไมจะต้องอยากได้ตัวเธอไปด้วย เงินตั้งสิบล้านบาทจะเอาตัวเธอไปทดแทนอะไรได้ล่ะ
“พ่อก็ไม่ได้อยากให้ลูกทำแบบนี้...แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้เขาอาจจะเอาพ่อถึงตายก็ได้ ลูกก็รู้ว่ามาเฟียมันน่ากลัวขนาดไหน”
เอมิกาเข้าใจดีเพราะตอนนี้เธอก็เป็นแม่บ้านของมาเฟียอยู่ มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องทำใจอยู่ร่วมกับอำนาจมืดและต้องเก็บทุกอย่างเป็นความลับ
“โถพ่อคะ....ก็ได้ค่ะ”
เอมี่ได้แต่น้ำตาซึมอยู่กับตัวเอง เธอจะต้องลาออกจากงานที่รักที่ลงทุนเรียนปริญญาตรีมาถึงสี่ปีเพื่อที่จะไปทำงานใช้หนี้ดูแลผู้ป่วยให้กับเจ้าหนี้ของพ่องั้นเหรอ
แล้วอย่างนี้งานที่เธอเพิ่งจะได้ที่คฤหาสน์ล่ะจะกระทบกับงานตอนกลางวันไหมนะ
หนึ่งเดือนต่อมา
หลังจากยื่นเรื่องลาออกล่วงหน้าหนึ่งเดือนวันนี้เอมิกาลาออกอย่างเป็นทางการและเดินทางมายังคฤหาสน์หลังโตซึ่งใหญ่โตไม่แพ้คฤหาสน์ของลูคัสที่เธอทำงานเป็นแม่บ้านตอนกลางคืนเลยสักนิด
ลูคัสไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเธอนัก รู้แค่ว่าทำงานสถาบันการเงินและตอนนี้กำลังโยกย้ายงานตอนช่วงกลางวันแต่เขาไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มเติม
แถมช่วงนี้ลูคัสยังพูดจาดีกับเธอแปลกๆ แต่เอมิกาก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะเป็นพี่ชายเพื่อนและเธอตั้งใจแค่จะมาทำงาน
“คุณเอมี่ใช่ไหมครับ...ผมเจเรมี่เป็นบอดี้การ์ดที่คอยดูแลคุณไบรอันอยู่ เดี๋ยวขอเชิญไปด้านในนะครับ”
“ค่ะ...”
ร่างเล็กในชุดเดรสสีขาวสะอาดตากับรองเท้าส้นสูงสีขาวสะพายกระเป๋าสีดำพร้อมกับปล่อยผมยาวสลวยเต็มแผ่นหลัง วันนี้แล้วสินะที่เธอจะได้มาเจอกับผู้ป่วยที่เจ้าหนี้ของพ่ออยากให้มาดูแล
รองเท้าส้นสูงสีขาวเดินเหยียบพื้นบ้านหรูหราขึ้นมาจนถึงชั้นสอง บริเวณหน้าห้องนอนมีประตูขนาดใหญ่มีลายสลักโลมันราคาแพง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อืม...เข้ามาได้”
น้ำเสียงแหบแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่เธอต้องมาดูแลนั้นเป็นผู้ชาย ใจดวงน้อยก็เริ่มหวั่น...ดูท่าแล้วบ้านหลังนี้ใหญ่โตขนาดนี้คนที่อยู่ด้านในก็คงจะไม่ธรรมดา
“ตามผมมาครับ”
เจเรมี่เอ่ยบอกกับเอมิกาก่อนที่ร่างเล็กจะเดินตามเขาเข้าไป แล้วก็พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งเหม่อลอยไปข้างหน้า เขาสวมใส่ชุดนอนแขนยาวขายาวสีน้ำเงิน
ร่างสูงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรนั่งอยู่บนเตียงหนานุ่มขนาดใหญ่ ดวงหน้าหล่อของลูกครึ่งไทยอเมริกันไม่สบตากับใครทั้งนั้น
“นายครับ...ตอนนี้นายใหญ่หาคนดูแลใหม่ให้ได้แล้วครับ”
“งั้นเหรอ...”
น้ำเสียงแหบเอ่ยออกมาอย่างไม่ยินดียินร้าย ดูไม่ได้สนใจอะไร ไร้ความรู้สึกที่สุด!
“สวัสดีค่ะ ฉันเอมิกาจะมารับหน้าที่ดูแลคุณค่ะ”
ร่างเล็กเอ่ยทักทายเป็นภาษาอังกฤษ แม้จะได้ข้อมูลมาว่าเขาเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน แต่ในเมื่ออยู่ที่นี่เธอก็เลือกที่จะใช้ภาษากลางในการสื่อสาร
“...”
ไม่มีถ้อยคำใดเอื้อนเอยออกมาจากปากของคนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่บนเตียง เขาหันหน้ามองออกไปทางหน้าต่างแม้ว่าจะมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม...มีเพียงความเลือนรางเท่านั้น
“เจ้านายของผมชื่อไบรอัน...เป็นน้องชายของคุณบริกซ์ตั้นสามีของคุณเพียงฟ้า ยังไงขอฝากคุณเอมิกาดูแลคุณไบรอันด้วยนะครับ”
เจเรมี่เอ่ยฝากเนื้อฝากตัวกับหญิงสาวอีกครั้ง รอยยิ้มคลี่ขึ้นบนใบหน้าสวยเพื่อตอบรับ ยังไงเธอก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ...ฉันจะดูแลคุณไบรอันให้ดีที่สุดค่ะ”
ฝากฝังกันเป็นที่เรียบร้อยเจเรมี่ก็ออกไปด้านนอกเพื่อทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดเฝ้าประตูต่อไป ส่วนเอมิกาก็หยิบเก้าอี้มานั่งข้างเตียงเผื่อว่าเขาต้องการอะไรเป็นพิเศษ
“ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้”
น้ำเสียงแหบเอ่ยออกมาจากปากสากหนาของชายหนุ่มหน้าฝรั่งที่นั่งอยู่บนเตียงทำเอาเอมิกาตกใจ
“เอ่อ คุณมองไม่เห็นไม่ใช่เหรอคะ...”
เอ่ยถามออกไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเสียมารยาทรึเปล่า แต่มันเป็นความสงสัยจริงๆ ว่ารู้ได้ไงว่าเธอมาอยู่ใกล้ทั้งที่ตามองไม่เห็น
“สัมผัสด้วยเสียง...กับกลิ่น”
“เอ๋...เอ่อ ดีจังเลยนะคะ”
เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรถึงพูดออกไปแบบนั้น แต่รับรู้ได้เลยว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ สัมผัสไวกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน
“...”
แล้วทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบเช่นเคย
เธอถอยเก้าอี้ออกมาให้ห่างกว่าเดิม อย่างน้อยก็จะไม่ทำให้เขาต้องลำบากใจ เธอแจ้งกับบอดี้การ์ดเอาไว้แล้วว่าจะดูแลเขาได้ถึงแค่หกโมงเย็นเพราะหลังจากนั้นต้องขึ้นรถเมล์ไปทำงานที่คฤหาสน์ของลูคัสอีก
สาวไทยตัวเล็กทำงานกับมาเฟียทั้งสองบ้านโดยไม่รู้เลยว่าทั้งคู่เป็นอริที่แสนจะเกลียดชังกันมากแค่ไหน
“หิวน้ำมั้ยคะ?”
เห็นเขานั่งเงียบจ้องหน้าต่างอยู่นานจึงเอ่ยถามเพราะกลัวจะเบื่อ ยังไงก็ขึ้นชื่อว่ามาดูแลก็คงต้องดูแลทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ
“ไม่...”
ไบรอันตอบปัด ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นกับชีวิตในตอนนี้
เฮ้อ เอาใจยากจริ๊งผู้ชายคนนี้ มัวนั่งทำหน้าตึงอยู่ได้ เราเองก็ไม่ได้อยากจะมาทำงานดูแลผู้ป่วยสักหน่อย จบการเงินมานะไม่ได้จบการพยาบาลผู้ป่วย!
คนตัวเล็กได้แต่ก้มหน้ามองพื้นแล้วบ่นกับตัวเองในใจ งานนี้เหนื่อยใจกว่างานด้านการเงินที่เธอลาออกมาซะอีก
นั่งเงียบไปสักพักในที่สุดก็ถึงช่วงเวลากลางวันที่ต้องพาเจ้านายหนุ่มไปทานอาหารที่ห้องอาหาร
“ได้เวลาทานอาหารแล้วนะคะคุณไบรอัน เดี๋ยวเราไปทานอาหารกันดีกว่านะ”
เอมิกาว่าไปอย่างนั้นพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้คนตัวใหญ่แล้วจับแขนเขาประคองให้ลุกขึ้น
“ไม่กิน”
ดื้อ! ได้แค่คิดในใจแต่ไม่พูดตอบโต้ไป ดวงหน้าสวยพยายามข่มอารมณ์
เสียงแหบตอบออกมาอย่างไม่ยินดียินร้ายในสิ่งที่หญิงสาวพูด เขาไม่คิดจะปฏิบัติตัวตามเลยสักนิด
“ไม่กินไม่ได้ค่ะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องไปทานข้าวเที่ยงและทานยาตามที่ฉันได้รับมอบหมายเอาไว้”
คนบ้าอะไรจะดื้อได้ขนาดนี้ เอมิกาเองก็ไม่ได้มีความอดทนสูงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ต้องมาดูแลผู้ป่วย ปกติเธอทำงานออฟฟิศตลอดไม่เคยต้องมาเจอเรื่องจุกจิกงี่เง่าแบบนี้
“เธอกล้าเถียงฉันงั้นเหรอ?”
“ก็สิ่งที่คุณทำมันไม่ถูกทำไมฉันจะเถียงไม่ได้ล่ะค่ะ”
เชิดหน้าสู้แม้จะรู้ว่าคนที่นั่งอยู่บนเตียงตอนนี้มองไม่เห็นดวงหน้าสวยของเธอเลยแม้แต่น้อย
“หึ คิดว่าพี่ชายฉันจ้างเธอมาแล้วฉันจะไม่กล้าไล่ออกเหรอวะ!?”
“จะใครจะไล่ออกฉันไม่สนทั้งนั้น รู้แค่ว่าตอนนี้คุณต้องลงไปทานข้าวเที่ยงและทานยาได้แล้ว”
จะได้หายๆ สักที จะได้หมดพันธะเรื่องหนี้สินที่ผูกมัดตัวเธอให้มาทำงานดูแลผู้ป่วยนี้สักที เสียการเสียงานมาตั้งเท่าไหร่แล้ว
“ฉันไล่เธอออก”
“อะไรนะคะ!?”
แม้จะเป็นสิ่งที่เอมิกาต้องการและปรารถนาใจมากที่สุดแต่มันไม่ได้ทำง่ายอย่างว่าน่ะสิ เพราะเธอเองก็ได้รับคำสั่งมาว่าถ้าหากไบรอันคิดจะไล่เธอออกหรือว่าเธอเอาไบรอันไม่อยู่เธอกับพ่อนั่นแหละที่จะเป็นคนเดือดร้อน
“ก็บอกว่าไล่ออกไง หูหนวกรึไงวะ”
ไบรอันที่แม้ว่าตาจะมองไม่เห็นแต่ปากก็ยังคงคมเป็นกรรไกร เรียกได้ว่าเขาเองก็ไม่เคยโดนขัดใจเหมือนกัน และที่นางพยาบาลคนเก่าถูกไล่ออกก็เพราะว่าไม่สามารถทำตามคำสั่งของผู้เป็นพี่ชายได้ว่าให้บังคับเขาให้กินข้าวและยาตรงเวลา
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะอยู่นักหรอกค่ะ แต่ก็ลาออกไม่ได้เหมือนกัน!”
กระแทกเสียงด้วยความไม่พอใจ เธอเองก็มีศักดิ์ศรีจะมาออกปากไล่กันอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ ปากร้ายขนาดนี้อยากจะรู้นักว่าก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุเขาจะปากร้ายได้มากแค่ไหน
“จำเป็นยังไง? บอกมาทีสิว่าพี่บริกซ์มันให้เงินเดือนเธอเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันจะให้มากกว่านั้นอีกแต่เป็นการจ้างออกนะ”
หยาบคายที่สุด! นี่คือสิ่งที่เอมิกาคิดในใจแต่ก็พยายามเก็บสีหน้าท่าทางถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นแต่เธอก็ต้องควบคุมและคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ภายใน
“อย่าดื้อนักเลยค่ะคุณไบรอัน ลุกขึ้นตามที่ฉันพูดแล้วไปทานข้าวกลางวันกับยาได้แล้ว”
ข่มเสียงต่ำแกมบังคับ ยังไงครั้งนี้เธอจะต้องเป็นฝ่ายชนะ
“บอกว่าไม่ก็ไม่ดิวะ”
แล้วมีเหรอที่คนอย่างไบรอันจะยอมง่าย
“ไปค่ะ ไปกินข้าว”
เมื่อพูดไม่ฟังเธอก็จับแขนกำยำแล้วดึงให้เขาลุกขึ้นแต่คนตัวใหญ่มีแรงมากกว่าดึงให้ร่างเล็กลงมาประชิด
“ว๊าย!”
กลายเป็นว่าเอมมิกาในตอนนี้ล้มลงมาคร่อมตัวของไบรอันเอาไว้โดยที่หน้าเธออยู่ห่างกับเขาเพียงแค่คืบ
ใบหน้าหล่อ ผิวขาวกลมเกลี้ยง จมูกโด่งคมเป็นสันกับผมสีน้ำตาลอ่อนแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนเอเชีย ถ้าหากไม่ได้รับรู้จากคนที่ให้เธอมาทำงานตรงนี้ว่าไบรอันเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เธอก็ไม่คิดเลยว่าเขามีเชื้อเอเชียด้วย
“แต่กลิ่นน้ำหอมเธอนี่...หอมใช้ได้เลยนะ”