บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 นัยน์ตาของฟินิกซ์

2 วันถัดไป

หลังจากที่เราได้ทำการจดทะเบียนบริษัทเป็นที่เรียบร้อย ก็มีนักลงทุนส่วนใหญ่ติดต่อหาจีน่าทันที พวกเขาพร้อมยัดเงินทุนให้เราแลกกับหุ้น แต่แน่นอนว่าพวกเราคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว และเราก็หาคนที่ถูกเลือกไว้แล้วด้วย เขาไม่ได้เลือกเราอย่างเดียว เราต่างหากที่จะเป็นฝ่ายเลือกเขา และพวกเขานั้นจะต้องมีผลประโยชน์กับบริษัทพวกเราในอนาคตด้วย

“พวกมึงมายืนเต้นอะไรกันหน้าทางเข้าออฟฟิศ?” ผมกล่าวถามเมื่อเห็นสามสาวนางตัวดีเต้นเพลงฮิตในติ๊กต๊อกกันอยู่ ส่วนโอมันเหมือนกับพร็อบประกอบฉากนั่งอยู่ตรงกลางพวกนาง ซึ่งวันนี้ผมเข้าบริษัทสายหน่อยเพราะเมื่อคืนต้องไปทานข้าวกับนักลงทุนจากจีน แต่เขาสายดำไปหน่อยผมก็เลยต้องปฏิเสธอ้อมๆ กว่าจะออกมาจากปาร์ตี้ได้ก็โดนมอมไปพอสมควรเลยทีเดียว

“เต้นฉลองอินฟลูในเอเจนซี่ครบหนึ่งพันคน” โอกล่าวพลางอ่านเอกสารไปด้วย ส่วนพวกนางยังคงเต้นกันต่อโดยไม่สนใจผม ผมถึงกับถอนหายใจและมองไปรอบๆออฟฟิศ ตอนนี้คนทำงานในออฟฟิศก็มีกันหลักสิบคนแล้ว ซึ่งพวกเขาก็คือคนที่เพื่อนผมพามาแนะนำตามด้วยผมที่คัดมาอีกทีนึง และที่สำคัญผมได้ HR ที่ดีมาด้วย ที่จริงเขาเป็นแค่เด็กฝึกงานนั่นแหละ แต่ผมตั้งใจจะรับเข้าทำงานเลย และด้วยความคิดของเราที่ตรงกัน เขาเองก็ยอมรับเช่นกัน ผมก็เลยเตรียมใส่ชื่อเขาเข้าบริษัททันทีที่เขาจบการศึกษา

“เต้นเสร็จแล้วเข้าห้องประชุมหน่อย” ผมกล่าวพลางเดินไปรอที่ห้องประชุม ส่วนโอมันก็จะเดินตามผมมาด้วยแต่ก็โดนนังพิมพลอยกดไหล่ให้นั่งเหมือนเดิม

“อาร์ ทางมหาลัยว่ายังไงบ้าง?” ผมกล่าวถามอาร์ซึ่งเขาก็คือ HR ที่ผมบอกนี่แหละ ชายคนนี้นอกจากจะเป็น HR ได้แล้ว ก็ยังเป็นเลขาได้ด้วย มีความสามารถพูดภาษาได้สองภาษา จีนและอังกฤษ มีความรอบครอบและจัดลำดับความสำคัญของงานได้เป็นอย่างดี ทั้งยังทำอะไรโดยที่ผมไม่ต้องสั่งได้ด้วยในบางครั้ง อย่างเช่นเรื่องที่ผมกำลังจะประชุมเขาก็เป็นคนนำเสนอขึ้นมาเอง

“นั่งๆ” ผมกล่าว ซึ่งที่นั่งของแต่ละคนก็มีทั้งชาและกาแฟตั้งไว้อยู่แล้ว และคนที่ซื้อมาก็คืออาร์ อาร์ได้จัดการซื้อชาหรือกาแฟของโปรดแต่ละคนมาเตรียมไว้ให้ช่วงประชุม

“ขอบคุณนะคะอาร์” จีน่ากล่าว ซึ่งเธอน่าจะรู้ว่าชาพวกนี้อาร์เป็นคนจัดเตรียมไว้ให้ และอาร์ก็ได้ยิ้มตอบรับกลับไป

“ตอนนี้พวกมึงยังตัดต่อคลิปกันเองใช่ไหม?” ผมกล่าวถึงคลิปบนติ๊กต๊อก ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าระหว่างดื่มชาและกาแฟตรงหน้า

“พรุ่งนี้กูจะไปที่มหาลัยเทคโนโลยีD กูจะไปหาคนมาทำงานแทนให้แล้วก็หาคนมาทำเรื่องระบบหลังบ้านของบริษัท”

“ใครว่างไปกับกูบ้าง?” ผมกล่าวถาม ที่จริงผมก็รู้อยู่แล้วแหละว่าใครไปได้ใครไปไม่ได้ อย่างไอ้โอนี่ตัดทิ้งไปได้เลยงานมันเยอะมาก แถมยังต้องคอยติวเด็กใหม่อีกด้วย ส่วนนางพิมพลอยยิ่งแล้วใหญ่ มันวีนตลอดที่เอกสารผิดพลาด ถึงจะผิดนิดเดียวก็คือผิด ซึ่งมันก็คือเรื่องจริงนั่นแหละ แต่คนในทีมมันก็ยังคงอยู่เพราะได้ซึมซับการทำงานของมัน รวมถึงได้ทำเล็บฟรีด้วย

แต่เดี๋ยวก่อน นั่นไม่ใช่ประเด็น

“กู” จีน่ากล่าวตอบ ส่วนพันซ์มันเองก็งานเยอะสุดเพราะเป็นคนดูแลเอเจนซี่ แถมยังมีงานถ่าย MV เพลงเข้ามาเยอะมาก งานละครก็มีจนมันต้องจ้างผู้จัดการส่วนตัว ถึงอย่างนั้นงานมันก็ยังหนักอยู่ดีเพราะมันต้องเก็บดีเทลเสื้อแบรนด์บริษัท และคอแลปกับ XOLEX เพราะฉะนั้นก็คงจะมีแต่จีน่าที่ยังว่าง และอาร์มันก็ไปกับผมอยู่แล้วเพราะการไปของเราครั้งนี้คือหาเด็กมาทำงาน และต้องหามาให้ได้เลยเพื่อลดภาระงานของไอ้สี่ตัวนี้ลง

“ตกลงตามนั้น”

“แผนเหมือนเดิมนะอาร์ แล้วจะไปกันรึยัง?” ผมหันไปกล่าวถามอาร์หลังจากมองเวลาในนาฬิกา ซึ่งเรามีนัดสัมภาษณ์กับช่อง 99 เป็นการเปิดตัวฟินิกซ์กรุ๊ป พวกเขาจะช่วยผลักดันเรา

“เรียบร้อยแล้วครับ อีกสิบนาทีรถตู้จะมาถึงครับ” อาร์กล่าวพร้อมกับดูข้อความในโทรศัพท์ ซึ่งผมก็ได้ใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะสองครั้งเป็นอันว่าเลิกประชุมได้ ทุกคนก็ไปหาทีมตัวเอง สั่งงานอะไรเพิ่มนิดหน่อยแล้วก็มาเจอกันที่ชั้นล่าง

ณ สำนักงานข่าวช่อง 99

“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายนักข่าวสองคนที่ยืนรอผมอยู่ตรงทางเข้าห้องถ่ายทอดสด

“ขอบคุณนะคะที่มาให้สัมภาษณ์” นักข่าวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เลยครับ เป็นฝ่ายเราต่างหากที่ต้องขอบคุณ” ผมกล่าวและยิ้มตอบกลับไปก่อนจะเหลือบไปเห็นผู้บริหารของช่อง 99 ผมก็เลยหันไปมองโอ โอมันก็เดินเอาไวน์ฟินิกซ์ไปให้เขาและทักทายกันเล็กน้อยก่อนจะมานั่งเตรียมตัวถ่ายทอดสดกัน

“……” ซึ่งเมื่อการถ่ายทอดสดเริ่มขึ้น ก็เดิมๆ กล่าวเปิดรายการ แนะนำตัวนักข่าว และแนะนำตัวพวกเราเอง

“ก่อนอื่นเลยพวกเราอยากทราบเกี่ยวกับการตั้งชื่อบริษัทค่ะ ว่ามีที่มายังไงคะ?” นักข่าวกล่าวถาม และแน่นอนว่าผมต้องเป็นคนตอบ

“เพราะฟินิกซ์คือตำนานครับ และเราอยากเป็นตำนาน” ผมกล่าวอย่างมั่นใจ ถึงแม้มันจะดูอวดดี แต่ถ้าคนที่รู้จักผมจริงๆจะมั่นใจว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ได้เป็นคำโกหกหรือล้อเล่นแต่อย่างใด พวกผมสามารถทำได้จริงๆตั้งแต่ก่อนก่อตั้งบริษัทแล้วล่ะ ก็ดูแต่ละคนสิ จีน่าอย่างเนี่ยที่ไปให้คำปรึกษากับบริษัทใหญ่เรื่องโปรเจคและงบประมาณ โอที่เป็นทนายความตั้งแต่ปีหนึ่ง พันซ์ผู้สร้างฟินิกซ์เอเจนซี่ และพิมพลอยที่เปิดร้านทำเล็บได้สองสาขาแล้ว อีกทั้งสาขาที่สองยังตั้งอยู่ในโซนทองคำอีกด้วย หรือก็คือแถวสุขุมวิทที่มีแต่คนมีตังค์อยู่กัน ส่วนตัวผมคือเป็นคนสร้างทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง ซัพพอร์ต และหาทางแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้เวลาที่พวกเขาแก้ไม่ได้

“มันเกี่ยวกับการที่พวกคุณชอบสีส้มหรือแดงหรือเปล่าคะ?”

“อย่างเช่นปานที่มีมาตั้งแต่เกิดของคุณโอ และสีผมของคุณพันซ์” นักข่าวกล่าวถาม

“นั่นก็เป็นอีกเหตุผลนึงครับ จีน่าจะชอบแต่งตัวโทนสีนั้นด้วย”

“ส่วนพิมพลอยเองก็ชอบทำเล็บสีแซ่บๆ” ผมกล่าวและทำให้พวกนักข่าวหันมามองผมเป็นตาเดียว

“อ๋อ ส่วนผม” ผมกล่าวเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้พูดถึงตัวเอง ที่จริงแล้วสีตาของผม ผมไม่ได้เปิดเผยมันตั้งแต่มัธยมต้นแล้วล่ะ ผมใส่คอนแทคเลนส์เอาไว้ให้ตาของผมเป็นสีดำ แต่ในวันนี้คงไม่ต้องใช้มันแล้ว ผมก็เลยถอดมันออกมาและบี้ทิ้งให้ดูเลย

“ช่าง…น่ากลัว” นักข่าวสาวกล่าวเมื่อได้จ้องมาที่นัยน์ตาของผม เพราะถ้าหากผมเปิดเผยมาตั้งแต่ตอนนั้น สภาพของผมก็คงจะถูกจับตามองแบบพันซ์นี่แหละ

“ผมของฟินิกซ์ ขนของฟินิกซ์ และนัยน์ตาของฟินิกซ์…” นักข่าวกล่าวด้วยความเหลือเชื่อ และแน่นอนว่าคนที่รู้เรื่องตาของผมก็มีเพียงไอ้เพื่อนรักสี่คนนี้นี่แหละ

“ผมไม่อยากเป็นที่สนใจน่ะครับก็เลยปิดบังไว้”

“แต่ตอนนี้ผมพร้อมที่จะเป็นจุดสนใจแล้ว” ผมกล่าว ซึ่งถ้าหากคิดต่อไป จีน่าก็เปรียบเสมือนปีกของฟินิกซ์ที่ชอบแต่งตัวชุดโทนแดง ส่วนพิมพลอยก็เหมือนเท้าของฟินิกซ์นั่นเอง ปีกที่คอยกำหนดทิศทางการบิน เท้าที่เป็นที่มั่นของร่างกาย ส่วนผมก็คือตาที่สอดส่องหาโอกาสอย่างเด็ดขาด

ครบครันจริงๆ

“อ่า…เราได้ยินมาว่าพวกคุณได้รับการสนับสนุนจากแชโบลแห่งเกาหลีใต้จริงหรือเปล่าครับ?” นักข่าวชายกล่าวเมื่อได้สติ ซึ่งก็เป็นกองถ่ายที่พยายามโบกไม้โบกมือเรียกสติพวกเขานั่นเอง

“ใช่ครับ และเร็วๆนี้เรายังมีโปรเจคเกี่ยวกับนาฬิกาด้วยครับ” ผมกล่าวพร้อมกับชูแขนข้างที่สวมนาฬิกา XOLEX ขึ้นมา มันมีสัญลักษณ์ของนกฟินิกซ์จริงๆ ทำให้กล้องได้ซูมเข้ามาที่นาฬิกาของผมและได้เห็นชื่อแบรนด์นาฬิกาดังระดับโลก ทุกคนล้วนตกใจกันไปหมด นี่มันจะเกินไปไหม เพิ่งจะจดจัดตั้งบริษัทก็มีแบรนด์นาฬิกายักษ์ใหญ่มาคอแลปด้วยแล้ว

และหลังจากนั้นพวกเราก็พูดคุยกันเยอะพอสมควรเกี่ยวกับบริษัทภายในเครือ ซึ่งแน่นอนว่ามันยังมีบริษัทที่ตำแหน่งว่างอยู่ และพวกเราทั้งห้ากำลังเสาะหาผู้มีความสามารถมารับตำแหน่งผู้บริหารและผู้จัดการ ถือเป็นการโฆษณาไปในตัวทีเดียวเลย

18 : 09

“ป่ะมึง ไปกินของแซ่บๆกัน” พิมพลอยกล่าวเมื่อถึงเวลาเลิกงาน และนางก็ได้ชวนคนในทีมไปแล้ว แต่ในทีมต่างกลัวนางทั้งนั้นก็เลยไม่มีใครกล้าไปด้วย ก็เหลือแต่พวกเราที่เป็นเพื่อนกันนี่แหละ

“ทำไมต้องของแซ่บวะ?” ผมกล่าวเพราะเมื่อคืนผมดื่มมาหนัก ยังไม่อยากปวดท้องกับของแซ่บๆ

“ก็มึงพูดตอนสัมภาษณ์เกี่ยวกับอะไรแซ่บๆ ส้มตำเลยลอยเข้ามาในหัวกูเลย” พิมพลอยกล่าวทำให้ผมยิ้มและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“งั้นกูกินแค่ข้าวผัดได้ปะ” ผมกล่าว

“มึงจะนั่งดื่มน้ำเปล่ากูก็ไม่ว่า” พิมพลอยกล่าวก่อนจะกอดคอผมและพวกเราก็ได้เรียกแท็กซี่ไปร้านส้มตำใกล้ๆออกฟิศ

ณ ร้านแซ่บถึงใจ

“มึง เผ็ดมาก” พิมพลอยกล่าวเมื่อได้ชิมส้มตำไปคำแรก

“ก็มึงบอกอยากกินของแซ่บๆเอง รับผิดชอบเลย” ผมกล่าวพลางนั่งกินข้าวผัดปูสบายๆ

“กูไม่เหลืออะไรแล้วมึงเข้าใจความหมายกูไหม?” ชายคนที่นั่งข้างหลังผมกล่าว ผมจึงเหลือบไปดูปรากฏชายคนนั้นนั่งอยู่กับเพื่อนและกำลังดื่มเบียร์แบบเอาเป็นเอาตายราวกับกำลังปรับทุกข์กับเพื่อน

“กูช่วยมึงไม่ได้เหมือนกัน เงินขนาดนั้นกูหาไม่ได้ว่ะ” เพื่อนของชายคนนั้นกล่าว ดูเหมือนสองคนนี้จะเป็นทุกข์มาก และการพูดคุยของทั้งสองคน พวกเราทั้งห้าก็ได้ยินมันทั้งหมด

“มึงระวังเขาหยิบขวดมาตีหัวมึงนะนิกซ์” พิมพลอยกล่าวแหย่ผม เพราะดูเหมือนสองคนนั้นจะเริ่มเมาแล้ว ซึ่งมันก็รู้อยู่ว่าถ้าหยิบขึ้นมาผมสวนแน่นอน

“มึงคิดดู มันไม่จ่ายเงินให้กับช่าง แล้วช่างจะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าที่พักกับค่าเรียนลูก?”

“กูมีอยู่แปดพันกูให้ช่างเลยเจ็ดพันกูเหลือติดตัวอยู่พันเดียว”

“แล้วยังมีช่างอีกตั้งกี่คนที่รอกินหัวแม่งอยู่”

“กูเป็นคนพาช่างเข้ามาช่วยค้ำโครงการนี้ไว้แต่ดูมันสิ”

“ตอนแรกกราบกู ไหว้กู ตอนนี้กางล่มเข้าไซต์งานเหมือนลูกคุณหนูเลย” เขากล่าวออกมาก่อนจะกระดกเบียร์ไปหมดแล้ว ซึ่งดูแล้วชายคนนี้น่าจะทำงานเป็นผู้รับเหมา

“นายทุนที่กูพาเข้ามาช่วยยื้อโครงการ มึงรู้ไหมมันบอกกับกูว่าอะไร”

“มันจะดึงพี่เขาให้จมไปกับมันในโครงการนี้”

“กูเครียดมากเลยว่ะ” เขากล่าวอย่างท้อแท้ ก็แน่ล่ะ ตัวเองพาคนมาช่วย แล้วคนที่พามากลับโดนเอาเปรียบโดยที่ตนเองไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

“มึงเก่งจะตายเพื่อน ลองแกะแบบงานให้โครงการอื่นดูไหม”

“น่าจะได้เป็นหมื่นอยู่นะ” ชายอีกคนกล่าวเสนอความคิด

“แล้วกูต้องทำสักกี่โครงการถึงจะเอาเงินล้านมาได้วะ?” ชายที่เป็นทุกข์กล่าว เขาดูไม่เหมือนผู้รับเหมาเลย ดูเหมือนช่างที่ทำงานอย่างหนักมาซะมากกว่าอีก

“แล้วมึงถอนตัวออกมาไม่ได้เหรอวะ มึงถอนได้นะเว้ย”

“มึงเริ่มต้นใหม่ได้ งานของมึงเองก็ยังมี มึงไปทำตรงนั้นเขาให้ค่าน้ำมันมึงไหม?” ชายอีกคนกล่าวตอกย้ำ

“กูรับปากไปแล้ว กูต้องทำให้ได้”

“กูต้องทำให้เสร็จ กูไม่อยากผิดคำพูด" ชายที่กำลังเมากล่าว และคำกล่าวทั้งหมดของเขามันทำให้ผมเม้มปากเลยทีเดียว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel