ตอนที่ 2 สยายปีก
“สวัสดีครับคุณลีมุนโฮ" ผมกล่าวทักทายเขาเป็นภาษาเกาหลี ซึ่งตัวผมนั้นพูดได้ 5 ภาษานั่นก็คือภาษาไทย จีน เกาหลี อังกฤษและญี่ปุ่น และผมมีแผนที่จะเรียนภาษาฝรั่งเศสอีกด้วย แต่ผมไม่ได้เรียนจากคาบเรียนหรือคอร์สเรียน ผมศึกษาภาษาผ่านยูทูปและคำศัพท์ในเน็ตเอานี่แหละ ที่เหลือแค่ต้องฝึกบ่อยๆ พูดเยอะๆก็ได้สำเนียงแล้ว
“พูดภาษาไทยก็ได้” ลีมุนโฮกล่าว เขาอายุเกือบสี่สิบปี ซึ่งในหนึ่งเดือนเราจะนัดไปต่างประเทศกันหนึ่งครั้งเพื่อพูดคุยธุรกิจ และถ้าถามว่าผมไปรู้จักเขาได้ยังไง ส่วนนึงก็จีน่านี่แหละ ครั้งนึงที่จีน่าไม่มั่นใจเกี่ยวกับแผนงานบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลี เธอก็เลยมาปรึกษาผม และผมก็ได้เห็นสิ่งผิดปรกติบางอย่างและเล่าให้จีน่าฟัง ซึ่งแม้แต่จีน่าเองก็ยังไม่มั่นใจเหมือนเดิม เธอก็เลยขอให้ผมเข้าร่วมประชุมด้วย และลีมุนโฮเขาก็สนใจในตัวผม ความคิดของผม ไอเดียของผม วิสัยทัศน์ของผม หลังจากนั้นผมก็เสมือนเลขาของเขาเลย อะไรที่ลีมุนโฮไม่มั่นใจเขาก็จะมาหาผมและพูดคุยกันจนเขาได้แนวคิดใหม่ๆกลับไป
“นี่ไวน์ปี 1980 พี่ให้เป็นของขวัญวันเกิด” ลีมุนโฮกล่าว ถึงแม้การพูดของเขาจะดูเย็นชา แต่ในใจของเขาแล้วเขาดูเหมือนจะยิ้มมีความสุขที่ได้สนับสนุนผม
“ขอบคุณมากเลยครับ/ค่ะ” ผมและเพื่อนๆลุกขึ้นยืนกล่าวขอบคุณเขา ซึ่งเขาก็ได้มองเพื่อนๆของผมแต่ละคน แต่สายตานี้ไม่ได้มองแบบข่ม กดขี่ หรือมองด้วยสายตาลามก แต่มองราวกับกำลังประเมิณพวกเพื่อนๆของผม
“พี่ลีมุนโฮคงจะเหนื่อยเพิ่งลงจากเครื่องบินมา”
“นั่งก่อนครับ” ผมกล่าวก่อนจะเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้กับลีมุนโฮเพื่อขัดจังหวะไม่ให้เพื่อนๆของผมอึดอัด เพราะโดยปกติแล้วก็มีผู้ใหญ่หลายคนที่ผมพามารู้จักเพื่อนๆ ทุกคนล้วนมองเพื่อนๆของผมด้วยสายตาพวกนั้น แต่แตกต่างจากลีมุนโฮ ถ้าหากตาของผมคล้ายกับสีของฟินิกซ์ ตาของเขาก็เหมือนเหยี่ยวที่ดูน่ากลัว น่าเกรงขราม มองทะลุปรุโปร่งไปหมด
และมันก็คือเรื่องจริงนะที่ผมไม่ได้ทำงาน แต่ผมแค่พูดก็ทำเงินหาคอนแนคชั่นได้แล้ว แต่ที่ผมมุ่งมั่นไม่ใช่เงิน แต่เป็นคอนแนคชั่นซะส่วนใหญ่ ผมต้องการคนที่มีความสามารถมาช่วยงานบริษัทของผม และมันก็มีเข้ามาบ้างแหละ แต่ก็ต้องดูนิสัยด้วย รวมถึงความเข้ากันได้กับเพื่อนๆของผม
“สบายดีไหมจีน่า”
“ฉันยังสนใจรับเธอเข้าทำงานอยู่นะ” ลีมุนโฮกล่าว ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตัวผมเข้าบริษัท แต่ถ้าได้จีน่ามามันก็คุ้ม ซึ่งเขาพูดเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าการทดสอบยังไม่จบ เขาต้องการทดสอบเพื่อนๆของผมว่ามีความสามารถด้านภาษาและการพูดคุยขนาดไหน
“ขอบคุณค่ะแต่ว่าพรุ่งนี้ฉันก็เข้าบริษัทของนิกซ์แล้วค่ะ” จีน่ากล่าวทำให้เพื่อนๆของผมเข้าใจทันทีว่าชายคนนี้คงจะเป็นคนที่ผมพูดถึง “นายทุน” เพราะแน่นอนว่าการเปิดบริษัทของเรามันยิ่งใหญ่มากๆ และเราต้องมีเงินทุนจำนวนมากเช่นกัน และผมก็หาคนคนนั้นตลอดมา จนในวันนี้แสดงว่าผมหาเจอแล้ว ผู้ใหญ่คนนี้แหละจะเป็นนายทุนให้กับพวกเรา ทำให้เพื่อนๆของผมทักทายลีมุนโฮอย่างเคารพและเป็นภาษาอังกฤษจนทำให้ลีมุนโฮพอใจมาก
“พี่รอดูการเติบโตของนายอยู่นะนิกซ์” ลีมุนโฮกล่าวเมื่อทุกคนแนะนำตัวเสร็จ
“เพราะฉะนั้นอย่างที่พี่เคยพูดไว้”
“ถ้าหากเราจะทำอะไรพี่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่” ลีมุนโฮกล่าวก่อนจะหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทและมอบมันให้ผม
“สยายปีกของฟินิกซ์ให้พี่-ไม่สิ ให้โลกนี้ดูหน่อย” ลีมุนโฮกล่าว..พร้อมกับผมที่กำลังมองเลขศูนย์บนกระดาษที่มากมาย ซึ่งสกุลเงินมันคือบาทไม่ใช่วอน ผมสามารถนำเช็คนี้ไปขึ้นเงินเลยก็ได้ และเงินทั้งหมดนี้ที่ผมได้รับมาก็คือ 50,000,000 บาท ถ้าให้เขียนเป็นตัวหนังสือก็คือ ห้าสิบล้านบาทถ้วน
“พี่ขอแค่อย่างเดียว หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์” ลีมุนโฮกล่าว ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนไม่ได้ติดใจอะไร เพราะทุกคนรู้ค่าเงินกันดี แล้วยิ่งเงินจำนวนนี้มันเยอะมากจนคิดว่าเขาไม่สมควรได้หุ้นแค่ 10%
“อย่าลืมสิว่านิกซ์ทำเงินให้พี่ได้มากขนาดไหนในห้าเดือนที่ผ่านมา”
“ให้พี่ได้มอบอะไรให้บ้างนอกจากของกินเถอะนะ” ลีมุนโฮกล่าว เพราะที่ผ่านมาผมปฏิเสธที่จะรับเงินจำนวนมาก แต่เป็นการเลี้ยงข้าวผมแค่มื้อเดียวก็พอ แต่มื้อนั้นก็หมดเป็นหมื่นเป็นแสนเหมือนกัน เขาพาผมไปกินอะไรดีๆตลอด เรียกได้ว่าจ่ายไม่อั้น แต่ก็นั่นแหละ ในห้าเดือนนั้นผมช่วยงานเขาจนเขาสำเร็จโปรเจคไปกว่ายี่สิบงาน ได้รายได้รวมๆเกือบพันล้านด้วยซ้ำ ที่จริงผมคิดว่าพี่ลีมุนโฮเขาจะให้ทุนจดบริษัทและขอหุ้นเท่านั้น แต่นี้มันเกินไปมาก
“แล้วก็วันนี้เป็นวันตรุษจีนอะไรสักอย่างใช่ไหม?”
“อันนี้พี่ให้เป็นทุนชีวิตสำหรับทุกคน” พี่ลีมุนโฮกล่าวก่อนจะหยิบซองแดงออกมาจากกระเป๋าสูทอีกข้าง และบนซองอั่งเปาก็มีชื่อของพวกเราเขียนไว้แล้วด้วย แสดงว่าเขาได้ตรวจสอบพวกเรามาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ผมกับเพื่อนๆกล่าวและรับอั่งเป่านั้นไปด้วยมือที่สั่นๆ
“ไม่ต้องเกร็งหรอก ดื่มและกินให้เต็มที่เลย”
“พี่ต้องไปอีกงานนึงต่อ..ต้องขอตัวก่อนนะ” ลีมุนโฮกล่าวก่อนที่เจ้าของร้านจะเดินมาที่โต๊ะของเรา
“บิลโต๊ะนี้ไม่ต้องเก็บ” เขากล่าวเพียงประโยคเดียว เจ้าของร้านก็พยักหน้ารัวๆและก้มหัวให้เขาก่อนที่ลีมุนโฮจะหันมายิ้มให้ผมและเดินออกจากร้านไป
“มึงบอกกูมาว่าเลขศูนย์กี่ตัว” พิมพลอยกล่าว ซึ่งผมก็ได้ยื่นเช็คใบนั้นให้เธอดูกับตาเองเลยแล้วกัน เพราะถึงยังไงพิมพลอยมันก็จะเป็นฝ่ายบัญชีให้กับบริษัทของเราอยู่ล่ะ
“ไอเชี้ย!?” พิมพลอยส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจก่อนจะเอามือปิดปากตัวเองตามด้วยจีน่าที่ลุกขึ้นและก้มหัวขอโทษให้กับคนทั้งร้าน แต่เจ้าของร้านก็บอกว่าไม่เป็นไรถ้ามีอะไรเดี๋ยวเขาจัดการเอง
“จดบริษัทหนึ่งล้าน แต่เป้าหมายที่เราตั้งไว้คือจดเครือบริษัทที่สิบล้าน”
“เราต่างก็หาเงินกันเหนื่อยมากและตามด้วยฉันกับพิมพลอยเอาเงินพวกนั้นไปลงหุ้นต่อ”
“ก็ได้มาสิบเอ็ดล้าน”
“ให้ตายเถอะ” ผมกล่าวก่อนจะปาดเหงื่อที่หน้าผาก
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะนัดคุยกันอีกทีนึง”
“ตอนนี้มาฉลองกันก่อนเถอะ" ผมกล่าวจบทุกคนก็วางเรื่องงานลงและดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน จนในปีนี้ไอ้โอเป็นคนถือเค้กมาเซอไพรส์ผม และเหล่าคนที่ผมรู้จักในร้านก็ต่างเลี้ยงไวน์ให้โต๊ะเราด้วย มาเป็นสิบขวดเลยทีเดียว จะกินยังไงให้หมดละทีนี้
01 : 34
“หมดสภาพกันหมดเลยว่ะ…อึก” ผมกล่าวก่อนจะเดินเซไปเซมาและวางร่างของจีน่าไว้บนเตียง สามสาวเมาแบบปล่อยตัวมาก ที่จริงพวกเธอพลูฟกันจะมอมผม แต่สุดท้ายแล้วก็เล่นกันเองจนเละ และที่ที่เราอยู่นี่ก็คือออฟฟิศที่ผมเคยเช่าไว้เมื่อห้าเดือนที่แล้ว เพราะเห็นว่าทุกคนเริ่มมีงานเป็นของตัวเองและอาจจะต้องใช้ แต่ผ่านไปเดือนนึงก็ทะเลาะกันเพราะงานที่พวกเราทำต่างไม่มีเวลาให้ทำงานหลัก แต่ผมก็เป็นคนไปนั่งพูดคุยแต่ละคนจนเรียกมาปรับความเข้าใจกันครบทุกคนได้
“สุดท้ายก็เหลือมึงกับกู”
“ไอ้โอ” ผมกล่าวก่อนจะกอดคอโอออกไปจากห้องนอน ออฟฟิศเรานี่มีครบเลยนะที่จริง ห้องนอนสามห้อง ห้องนั่งเล่นห้องใหญ่หนึ่งห้อง ห้องทำงานอีกสามห้อง ถือว่าใหญ่มาก ซึ่งมันก็เป็นของพวกเราแล้ว เพราะหลังจากปรับความเข้าใจกันได้ผมก็ให้ลงคะแนนเสียงซื้อออฟฟิศนี้ไว้เลย และทุกคนก็เห็นด้วย
“ไม่ใช่มึงกับกู เหลือแค่กู” โอกล่าวก่อนจะผลักผม และผมที่ร่างกายอ่อนแอเพราะมึนเมาทำให้ผมล้มลงไปนอนกองบนเตียงกับสามสาว จะว่าไปโอมันก็ไม่ได้ไม่เมา มันดื่มไปเยอะกว่าพวกผมด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะมันคอแข็งมากๆทำให้มันไม่เมา แต่วันนี้ก็คงกรึ่มๆบ้างแหละ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หน้ามันเริ่มแดง
“แม่งเอ้ย…ผลักกู…ทำ…เชี่ย…ไร….” ผมกล่าวก่อนที่จะวูบหลับไป
“หึ” ส่วนไอโอมันก็น่าจะทำแบบเดิมก็คือถ่ายรูปพวกเราตอนเมาเก็บไว้ และตัวมันเองก็ไปนอนอีกห้องสบายๆคนเดียวปล่อยผมนอนก่ายพันซ์ ส่วนเท้าจีน่าก็มาพาดหน้าท้องผมอีกที งั้นก็คงจะมีแต่พิมพลอยแล้วแหละที่นอนแบบไม่มีใครกวน แต่ก็ดีนะที่วันถัดไปเป็นวันเสาร์พอดี ไม่มีใครมีเรียน ส่วนเรื่องงานก็เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว ทำให้เมื่อคืนกว่าจะมากันครบก็ดึกเลย
เช้าวันถัดไป
“โอ้ย แม่งเอ้ย” เสียงพิมพลอยนางปากแซ่บตะโกนโวยวายทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา และเดาว่าคงไม่ใช่ผมคนเดียว ทุกคนงัวเงียตื่นขึ้นมากันหมด และภาพที่ผมเห็นก็คือทุกคนโดนเขียนหน้า
“ไอโอไอเวร"
“สัส” พิมพลอยด่าโอเป็นชุดเมื่อได้เห็นโน๊ตข้างเตียงว่ามันต้องไปงานด่วนแต่เช้า น่าจะเป็นงานที่มันถูกตามตัว และมันก็เขียนไว้แล้วด้วยว่าซื้อโจ๊กมาให้ทุกคนแล้วติดที่ตรงโซฟา
“แม่งมันวาดหน้าพวกมึงเป็นสัตว์น่ารักๆทำไมหน้ากูเหมือนป้าวะสัส” พิมพลอยโวยวายเมื่อส่องดูหน้าตัวเองในกระจก ทำให้มันโมโหมากและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพพวกเราในสภาพโทรมๆลงไอจีพร้อมกับแท็กไอโอว่าเดี๋ยวมึงจะโดน
“อีโอ อย่าให้กูเจอนะมึง” พันซ์กำหมัดแน่นส่วนจีน่าก็ไปนั่งลบหน้าตัวเองในห้องน้ำแล้ว ซึ่งพวกเราก็ตามจีน่าไปลบหน้าตัวเองด้วย พร้อมกับยืนแปรงฟันเรียงกันสี่คน แต่ละคนนี่หัวฟูปากเลอะหน้าเลอะไปหมด
“เออไอนิกซ์คลิปที่กูทาเล็บให้มึงเป็นของขวัญวันเกิดคนดูเกือบล้านล่ะ” พิมพลอยกล่าวก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู ซึ่งพวกเราก็ได้คุยกันแล้วว่าจะทำช่องติ๊กต๊อกกันด้วยเพื่อเป็นเครือข่ายในการสร้างฐานแฟนคลับและคนดูด้วยกัน มีช่องหลักเป็นฟินิกซ์ที่จะไปเที่ยวเสพบรรยากาศนานๆครั้ง ส่วนช่องของเราเองก็จะถ่ายคอนเทนต์ทั่วไปนี่แหละ และก็เหมือนเดิมช่องนางพันซ์ยอดคนดูเยอะที่สุด มีแต่คนชวนไปถ่ายคลิปด้วยเยอะมาก
“คนดูเพราะกูหล่อแหละ” ผมกล่าวทำให้พิมพลอยมันมองบนก่อนที่เราจะแยกกันไปอาบน้ำแต่ละห้อง ซึ่งเสื้อผ้าเราก็มีกันอยู่ในตู้แล้วด้วย ของใช้พร้อมเสมือนบ้านหลังนึงที่อยู่รวมกัน ต่อมาก็มากินโจ๊กที่โอมันซื้อมาให้ นั่งกินกันไปคุยกันไป ซึ่งทุกคนเปิดซองอั่งเป่าดูแล้วมันคือกระดาษใบนึง ก็คือเช็คนั่นแหละ คนละหมื่น ส่วนผมได้มาแสนนึง
“โอมันบอกว่าว่างบ่ายๆ”
“งั้นเราไปจดทะเบียนบริษัทกันตอนบ่าย”
“หือ อะไร?” ผมกล่าวเมื่อพันซ์มันยื่นกล่องของขวัญให้ผม ผมก็เลยเปิดดูปรากฏว่าเป็นเสื้อยืดสีขาวที่มีงานปักเป็นขนของฟินิกซ์บริเวณอกข้างซ้าย ตามด้วยป้ายแบรนด์ฟินิกซ์ตรงคอเสื้อ
“ของขวัญวันเกิดของมึงไง นี่กูทำเองกับมือ” พันซ์กล่าวด้วยความภูมิใจ ซึ่งผมเองก็อึ้งมาก นี่มันสวยสุดๆ ทั้งดีเทล ลายละเอียดพันซ์มันเก็บเนี๊ยบมาก ไม่มีที่ติเลยทีเดียว
“และเสื้อตัวนี้จะเป็นต้นแบบสินค้าชิ้นแรกของบริษัทเรา" พันซ์กล่าว ซึ่งทุกคนก็ต่างชมว่ามันสวยมาก
“ขายได้แน่ แต่เดี๋ยวเราต้องมาคุยเรื่องราคาและปัจจัยอื่นๆกันทีหลัง”
“ตอนนี้ยังไม่ได้จดบริษัทเลยผู้ถือหุ้นขอกูก็ทำงานซะละ” ผมกล่าวก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ถ้าเป็นงานที่พันซ์ออกแบบเองและคิดเองผมไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย เธอจะทำมันออกมาดีเสมอ ดีแบบไม่มีที่ติ หรือต่อให้จะติก็ต้องกลับเป็นคำชมซะแทน
“ไม่ใช่แค่พันซ์นะ” จีน่ากล่าวก่อนจะมอบเอกสารให้ผม และผมก็นำมันมาอ่าน ซึ่งในเอกสารนี้ก็คือเอกสารโอนหุ้น เหลือเพียงแค่ว่ามันจะโอนไปที่ไหน
“เหลือแค่มึงเซ็นโอนเข้าบริษัทฟินิกซ์นี่แหละ” จีน่ากล่าว ซึ่งหุ้นพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตราสารหนี้ และเป็นตราสารหนี้ของอเมริกา
“มึงไปทำตอนไหนวะ?” ผมกล่าวเพราะโดยปกติแล้วจีน่างานมันก็ยุ่งอยู่ตลอด เอาเวลาไหนไปซื้อหุ้นกันนะ?
“แล้วทำไมกูไม่รู้” ผมกล่าวอีกคำถาม
“ก็กูไม่ได้บอกไง” พิมพลอยกล่าว เพราะเงินของบริษัทพิมพลอยจะเป็นคนดูแล ใครจะเอาไปทำอะไรต้องผ่านนางตลอด และนางก็จะมาบอกผมอีกทีนึง
“ทำอะไรไม่ปรึกษากูสักนิด นางตัวดีทั้งหลาย” ผมกล่าวทำให้สามสาวหัวเราะออกมา