ตอนที่ 1 วันที่รอคอย
“สัญญากันแล้วนะเว้ย” พิมพลอยกล่าว เธอเป็นคนที่พูดเก่งที่สุดในกลุ่ม ซึ่งตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนตรงกลางโรงเรียนมัธยม ซึ่งวันนี้เป็นวันที่เราจบการศึกษา วันปัจฉิมวันสุดท้าย
“แน่นอนดิใครทำไม่ได้เป็นหมา” พันซ์กล่าวก่อนที่ทั้งสองสาวจะหันไปมองชายที่อยู่ระหว่างเธอ นั่นก็คือโอ โอเป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในกลุ่มของพวกเรา แต่ก็เป็นคนที่พวกเราต้องปกป้องมากที่สุดในกลุ่ม เป็นคนที่อ่อนโยน นุ่มนิ่ม ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ บางครั้งยังโดนผู้หญิงรังแกเลย และก็เป็นพิมพลอยที่ไปเล่นคืนให้
“เดี๋ยวสิ ทำไมถึงคิดว่าฉันจะทำไม่ได้ล่ะ” โอกล่าวก่อนจะบีบตัวให้เล็กลงเพื่อไม่ให้สองสาวใกล้ชิดเขามากเกินไป ที่จริงแล้วรูปร่างของเขาที่มีปานดำรูปลักษณะราวกับขนของฟินิกซ์ตรงบริเวณไหล่มันดูน่าเกรงขรามมาก แต่กลับกันกับตัวตนที่เขาเป็นมันช่างน่ารักน่าแกล้งซะจริง นี่แหละเทสที่สร้างร่างที่เป็นของแทร้
“ฉันเชื่อในตัวนายนะ” จีน่ากล่าวอย่างเรียบร้อย ถ้าหากพูดถึงความเป็นระเบียบและเรียบร้อยแล้ว เธอน่าจะนิ่งที่สุดในกลุ่ม มีมารยาท ดูมีการศึกษา ลูกคุณหนู และที่ทุกคนมุ่งเป้าไปที่โอ ก็เพราะว่าสิ่งที่เขาต้องไปเรียนมันหนักมากๆ ก็คือกฏหมาย เขาจะกลายเป็นทนายให้กับบริษัทของพวกเราในอนาคต
“ฉัน…เดี๋ยวก่อนถ้าพูดถึงเรื่องเรียนแล้วนิกซ์ก็ไม่ต่างจากฉันสักเท่าไหร่หรอกน่า” โอกล่าวก่อนที่ทุกคนจะหันมามองผมและเบือนหน้าหนี
“ไอ้หมอนี่ ไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก มันเก่งไปซะทุกอย่าง” พิมพลอยกล่าวด้วยความหมั่นไส้ แต่มันก็จริงนั่นแหละ ทุกวิชาผมเรียนได้เกรด 4.00 มันไม่ยากเลยนะเรื่องเรียน แค่ส่งงาน แล้วก็อ่านตามแนวข้อสอบที่อาจารย์ให้ก็ได้เกรดดีๆแล้วล่ะ
“กูเห็นด้วย" พันซ์กล่าวก่อนที่ทุกคนจะนึกถึงเรื่องบางอย่างและถอนหายใจออกมา ถ้าให้ผมเดาก็คือที่ผมไปช่วยโอจากเรื่องเข้าใจผิด ของพวกเด็กเทคนิคมันมาหาเรื่องโอเพราะคิดว่าโอดูมีของ แต่เจอผมเข้าไปก็นอนสลบหมดทุกคน พอตำรวจมาพวกเขาก็จะจับผม แต่ยังดีที่มีโออยู่ โอก็ยกเหตุผลร้อยแปดเหตุผลออกมารวมถึงใช้ทุกวิถีทางทำให้ผมรอดจากคดีทำร้ายร่างกายทั้งที่เราเป็นฝ่ายโดนรุมแท้ๆ
แต่ถ้าหากพูดถึงมีของแล้ว ผมอาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่น่าจับตามอง พันซ์เองก็ด้วย เพราะเราทั้งสองคนมีสิ่งแปลกๆมาตั้งแต่เกิด นั่นก็คือนัยน์ตาของผมที่มีสีแดงส้มมาตั้งแต่เกิด และผมของพันซ์ที่เป็นสีส้มมาตั้งแต่เกิด ทั่วโลกได้ให้ความสนใจกับพวกเราเป็นอย่างมาก มีแบรนด์ดังมากมายชวนเราไปเป็นโมเดล แต่เราก็ปฏิเสธไป เพราะเราจะเป็นโมเดลให้กับแบรนด์ของตัวเองในอนาคตเท่านั้น
“พี่ๆสวัสดีค่าา” อยู่ๆก็มีเสียงใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะมานั่งข้างพิมพลอย
“อันอัน เดี๋ยวไปคาราโอเกะกับพวกพี่ไหมคะ?” พิมพลอยกอดเด็กสาวและกล่าวออกมา ซึ่งอันอันก็คือน้องสาวของโอ เธอเป็นเสมือนกับน้องของทุกคน นอกจากต้องปกป้องและดูแลพี่มันแล้วก็ดูแลน้องมันด้วย แต่น้องมันก็แซ่บเอาเรื่องซะด้วยสิ และสุดท้ายพอเกิดปัญหาผมก็ต้องเป็นคนไปไกล่เกลี่ย แน่นอนว่าผมไม่ได้ใช้กำลังเสมอไป ถ้าหากพูดไม่รู้เรื่องบางครั้งโอก็จะยกกฏหมายขึ้นมาพูด แต่ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ถอยก็ต้องเจอหมัดเจอเข่าผมหน่อยแล้วล่ะ
ผ่านไปเกือบสองปี
ในตอนนี้พวกเราทุกคนน่าจะจบปีหนึ่งกันแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาพวกเราก็มาเจอกันบ้าง พูดคุย นำเสนอไอเดียใหม่ๆ และสร้างงานขึ้นมาเป็นงานเกี่ยวกับเอเจนซี่ที่หางานให้กับพวกไอดอลที่มีผู้ติดตาม IG หรือ Tiktok เกิน 5000 ให้พวกเขาไปโปรโมทหรือรีวิวสิ่งต่างๆ และมันก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเลยทีเดียว จนในวันนี้เป็นวันที่เรานัดรวมตัวกันอีกครั้ง เพราะเป็นวันเกิดของผมที่อายุครบ 20 ปี พร้อมที่จะจดบริษัท เงินก็พร้อม และนอกจากเราจะเป็นเอเจนซี่แล้ว พวกเราก็มีงานเป็นของตัวเองด้วย
แต่ก่อนอื่นก็ต้องมาบอกมหาลัยที่พวกเราเข้าไปศึกษากันก่อนล่ะนะ
พิมพลอยเรียนเกี่ยวกับการเงิน เธอมาเรียนที่มหาลัยรามที่เดียวกับผม ซึ่งที่จริงแล้วพวกเรามาหาคอนแนคชั่นนั่นแหละ เนื่องจากส่วนใหญ่คนมีความมุ่งมั่นและเป้าหมายส่วนใหญ่จะมาเรียนที่นี่ เด็กบางคนก็บ้านรวย นักธุรกิจบางคนยังมาเรียนรู้กันเลยด้วยซ้ำ ซึ่งนางพิมมันก็เปิดร้านทำเล็บซึ่งช่วงแรกก็งานหนักอยู่ แต่พอได้จีน่าเข้าไปวางแผนการจัดการให้ใหม่ ทำให้งานของเธอเบาลง และยิ่งได้ผมเข้าไปช่วยบริหารอีก ทำให้ในตอนนี้พิมพลอยสามารถเปิดสาขาที่สองได้แล้ว
และต่อมาก็คือจีน่าเลยแล้วกัน เธอเรียนที่จุฬา เรียนเกี่ยวกับการตลาดและการจัดการ ที่จริงเธอมีความสามารถในเรื่องการตลาดมากกว่าการจัดการซะอีก แต่เนื่องจากในอนาคตบริษัทของเราต้องมีระเบียบที่ดีมากๆเพื่อให้ทุกคนสามารถเกษียนตัวเองได้ การจัดการจึงสำคัญกว่าการตลาด เพราะการตลาดยังคงมีผมที่คอยซัพพอร์ตได้อยู่ และยังรวมความคิดของคนอื่นอีกด้วย
ถัดไปก็คือพันซ์ หญิงสาวที่หลายๆแบรนด์ต้องการปั้นเธอ ไม่ว่าจะเป็นวงการเสื้อผ้าหรือสื่อบันเทิง ทุกคนต้องการตัวเธอหมด เพราะเธอดูดีไปหมดทุกอย่างจริงๆ แถมข่าวเรื่องสีผมของเธอยังดังไปทั่วโลกอีกด้วย พันซ์เรียนออกแบบและดีไซน์ ที่มหาลัยศิลปากร ซึ่งเธอคือตัวตนที่สำคัญมากในเอเจนซี่เลยทีเดียว เธอไปชักชวนไอดอลคนไหนมาก็มาร่วมด้วยทั้งนั้น เพราะทุกคนอยากจะทำคลิปกับเธอ เพราะนอกจากเอกลักษณ์เรื่องสีผมแล้ว เธอยังมีเอเนอร์จี้ที่สุดยอดมากๆอีกด้วย
“แล้วไอโอไปไหน?” ผมกล่าวซึ่งในตอนนี้พวกเราทั้งสี่คนกำลังนั่งทานข้าวกันอยู่ที่ร้านอาหารสไตล์วินเทจร้านหนึ่ง และในระหว่างรอร้านเขาก็จ้างพันซ์มารีวิวให้ด้วย ซึ่งยอดการติดตามของพวกเราทุกคนใน IG นั้นอยู่ที่หลักหมื่น แต่พันซ์ไปที่หลักแสนเฉียดล้านแล้วทั้งๆที่เธอแค่ลงรูปและอัปเดตชีวิตเฉยๆเท่านั้นเอง เรียกว่าลูกรักพระเจ้าเลยแหละ ทำอะไรก็ดีไปหมด มีคนสนใจ
“ไม่รู้ว่ะ” พิมพลอยกล่าว ซึ่งทุกคนก็น่าจะไม่รู้เหมือนกัน ซึ่งพวกเราได้ขาดการติดต่อกับโอไปเมื่อสามเดือนก่อน โอมันอ่านแชทกลุ่มก็จริงแต่ตอบกลับน้อยมาก ทั้งยังไม่ค่อยรับสายโทรศัพท์จากพวกเราด้วย แต่เราก็คิดว่ามันคงจะไม่ว่างแหละ
“ไม่เป็นไร มันคงจะทำงานหนักจริงๆเพราะนอกจากเรียนแล้วมันยังให้คำปรึกษาเรื่องกฏหมายด้วย” ผมกล่าวซึ่งโอมันก็เป็นอีกคนที่มีงานเป็นของตัวเอง เพราะชื่อเสียงที่เป็นตำนานของมัน เรียนวิชาปีหนึ่งและปีสองไปด้วย และด้วยความที่มันอยากช่วยเพื่อนหาเงินเข้าบริษัทหลัก มันก็เลยเปิดรับให้คำปรึกษาทางกฏหมาย แต่ช่วงแรกก็ไม่มีใครเข้ามาใช้บริการ ผมกับจีน่าก็เลยชวนมันมานั่งพูดคุยเกี่ยวกับการรับปรึกษากฏหมายบนโซเชียล จนมันมีงานเข้ามารัวๆเลยแหละ ไม่ว่างก็ไม่แปลก
และถ้าหากถามว่าจีน่าทำอะไรระหว่างเรียน เธอก็ทำงานคล้ายกับโอ เป็นการให้คำปรึกษาเหมือนกัน แต่จีน่าจะละเอียดกว่าตรงที่เป็นการตรวจสอบบัญชีและความเป็นไปได้ของบริษัทที่มารับคำปรึกษาเกี่ยวกับโปรเจคนั้นๆว่าจะไปรอดหรือไม่ ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ และเธอก็เป็นคนที่ทำงานได้เงินมากที่สุดในกลุ่มเลยทีเดียว เพราะชื่อเสียงของจีน่านั้นดังกระช่อนไปหมดเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาทางด้านบริษัทเทคโนโลยีอันดับต้นๆของประเทศจนโปรเจคนั้นทำกำไรให้กับบริษัทนั้นเกือบสิบล้าน หลังจากนั้นก็มีงานเข้ามาเพียบ รายได้ต่ำๆงานนึงเธอได้หลักหลายหมื่นเลยแหละ
และเปอร์เซนต์การตรวจสอบของเธอก็มีโอกาสสูงถึง 100% เพราะเธอไม่เคยผิดพลาดมาก่อน อะไรไม่ได้ก็ไม่ฝืน ถ้าไม่มั่นใจก็บอกตรงๆ อะไรที่มั่นใจเธอก็เชียร์สุดฤทธิ์จนมีหลายบริษัทต้องการตัวเธอไปเป็นนักวางกลยุทธ์ แต่เพราะเราทั้งห้าคนมีเป้าหมายร่วมกันแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคนก็เลยไม่ไปไหนและรอเพียงเท่านั้น
ส่วนผมน่ะเหรอ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่ว่า
“สวัสดีครับนิกซ์” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินมาทักทายผมพร้อมกับแก้วไวน์
“สวัสดีครับพี่โน่" ผมจึงลุกขึ้นยืนและทักทายเขากลับ
“เรื่องเมื่อวานพี่ขอบคุณเรามากเลย” พี่โน่กล่าวก่อนจะชนแก้วไวน์กับผมเบาและดื่ม
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ แค่พูดเฉยๆ”
“เป็นที่สินค้าของพี่โน่นั้นมีคุณภาพมากกว่าครับเลยทำให้มีบริษัทเข้ามาลงทุน” ผมกล่าวและยิ้มยินดีให้พี่โน่ ซึ่งเขาก็คือผู้บริหารของบริษัทแก้วไวน์ จากตอนแรกที่เขาเกือบจะไม่ได้สืบทอดบริษัทต่อและเป็นเพียงผู้ถือหุ้น กลับกลายเป็นเขาได้กลายเป็นประธานบริษัทเต็มตัว ซึ่งเขาก็เรียนอยู่ในสาขาเดียวกับผมที่ม.ราม
“ว่าแต่ตอนนี้สะดวกไหมพอดีโต๊ะพี่กำลังคุยกับบริษัทผลิตเหล้าอยู่”
“เราจะเป็นพาร์ทเนอร์กัน”
“อยากให้น้องมานั่งด้วยเฉยๆ” พี่โน่กล่าวก่อนจะยิ้มแห้งออกมา
‘นั่งเฉยๆบ้าอะไรล่ะ…’ ผมคิดในใจ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีการประชุมครั้งไหนๆพี่โน่ก็จะให้ผมเข้าร่วมด้วยตลอดและผมก็เป็นคนที่ทำให้พี่โน่ได้รับตำแหน่งประธานบริษัทมา แต่ผมก็ไม่สามารถอคติหรือปฏิเสธข้อเสนอพวกนั้นได้ เพราะมันจะทำให้ผมได้มีหน้ามีตาหรือได้คอนแนคชั่นกับบริษัทใหญ่ๆโดยการพูดและแก้สถานการณ์อันยากลำบากให้ ซึ่งผมก็ไม่ได้มองว่ามันคืองานหรอก มันคือการพูดเฉยๆนี่แหละ แต่เพราะการพูดของผมมันน่าเชื่อถือ ทำให้อีกฝ่ายนั้นยอมรับมาโดยตลอด
และที่จริงแล้วก็มีอีกเพียบ…
ผมคิดในใจพลางมองไปรอบร้าน มีแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น และคนพวกนั้นก็หวังจะชวนผมคุย
“พอดีวันนี้เป็นวันเกิดผมน่ะครับ ผมอยากอยู่ฉลองกับเพื่อนๆ” ผมกล่าวและทำให้พี่โน่คิ้วกระตุกเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่พอใจผม
“อ๋า วันนี้เป็นวันเกิดน้องนี่เอง งั้นบิลโต๊ะน้องเช็คที่พี่ได้เลยครับพี่เลี้ยง” พี่โน่กล่าวก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะและเรียกพนักงานมาพูดคุย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่ยังไงก็ต้องเลี้ยงผมไว้ เพราะถ้าตัดผมไป มีหวังตำแหน่งเขาคงได้สั่นคลอนอีกครั้งเป็นแน่
“มึงดูสิกูไปเจอใครมา” พันซ์กล่าวก่อนที่ผมจะหันไปและพบกับโอที่หายใจเหนื่อยหอบ
“ขอโทษๆ ตอนคุยเขาให้ปิดโทรศัพท์ไว้” โอกล่าว ซึ่งก็แน่ละ ไปคุยกับลูกความหรือให้คำปรึกษาตัวต่อตัวบางทีต้องปิดการสื่อสารเพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล
“กูก็นึกว่าอะไร ไม่ต้องขอโทษนั่งเถอะ” ผมกล่าวก่อนจะให้เพื่อนๆนั่งลง ซึ่งงานของพันซ์ก็เสร็จแล้วด้วย
“ก่อนอื่นเลยกูต้องขอบคุณมากที่ทุกคนทำงานหนักจนมาถึงวันนี้ได้”
“วันที่เรารอคอย” ผมกล่าวและทำให้ทุกคนนิ่งเงียบแม้แต่พิมพลอยที่พูดเยอะๆก็เงียบเช่นกัน ทุกคนให้เกียรติผมกันหมด ไม่ใช่อะไรนะ ผมพูดเบาเพื่อให้ทุกคนตั้งใจฟังผมและยกแก้วไวน์ขึ้นมาหมุนไปมาเพื่อให้ทุกคนสนใจสิ่งที่ผมทำมากขึ้นไปอีก มันคือจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
“แต่ก่อนอื่นต้องขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักคนคนนึงก่อน” ผมกล่าวก่อนที่คนนั้นจะเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับกล่องไวน์ที่ดูหรูหราเป็นอย่างมาก และทุกคนในร้านก็ดูเหมือนจะรู้จักเขาคนนั้นเป็นอย่างดี เขาคือหนึ่งในแชโบล ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเกาหลีใต้ มีบริษัทในเครือเกือบร้อยบริษัท ไม่ต้องพูดถึงเงินเดือนหรอก เพียงแค่วันหนึ่งการนัดทานข้าวกับนักธุรกิจใหญ่โตสักคนก็ทำรายได้เฉียดสิบล้านเลยทีเดียว หรือก็คือคุยเรื่องงานนี่แหละ