09 เจอพ่อ
เช้าวันต่อมา
ที่สลัม
ฉันมาที่นี่พร้อมกับนายภากรโดยที่ไม่มีลูกน้องติดตามมาด้วย ฉันไม่อยากเป็นจุดเด่นให้ใครมอง และฉันก็ไม่อยากทำตัวแปลกแยกจากคนที่นี่ด้วย
ที่นี่ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกคนที่นี่น่าสงสารด้วยซ้ำที่ต้องมาอาศัยอยู่ในที่แออัดแบบนี้ เพียงเพราะไม่มีเงิน ไม่มีการศึกษามากพอที่จะไปทำงานดีๆ
เวลาผ่านไป
“เรารอกันนานแล้วนะ กลับกันก่อนมั้ยพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“….” ฉันก้มหน้าแล้วส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบให้กับนายภากร ว่าฉันยังไม่อยากกลับออกไป
“ทำไมล่ะ?”
“นายก็น่าจะรู้คำตอบของฉันดีอยู่ ถ้านายเหนื่อยอยากกลับก็กลับไปก่อนเลย” ฉันไม่เคยขอให้เขาตามมาที่นี่เลยด้วยซ้ำ แต่เขาเป็นคนเลือกที่จะตามฉันมาเอง
“ไม่เป็นไร ฉันรออยู่กับเธอได้ ไม่หิวหรอ?”
“ไม่อะ ฉันไม่ค่อยหิว” ฉันก็ยังคงส่ายหัวอยู่แบบนั้น
“แม่หนูเอ้ย ไอ้ศรมันยังไม่กลับมาง่ายๆ อีกซักสามสี่วันค่อยมาดูบ้านอีกทีก็ได้ มันหายไปแบบนี้คงอีกนานเลยกว่าจะกลับ” ป้าคนนึงตะโกนมา ดูเหมือนว่าแกจะรู้จักมักคุ้นกับพ่อของฉันเป็นอย่างดี ถึงได้รู้ว่าพ่อของฉันมาเวลาไหนกลับเวลาไหน
“ค่ะป้า”
“กลับไปเถอะแม่หนู รออยู่แบบนี้ก็เหนื่อยเปล่า ไอ้ศรถ้ามันได้หายออกไปอีกนานกว่ามันจะกลับเข้ามาบ้าน บางทีก็หายไปเป็นอาทิตย์เลย”
“ป้าพอจะรู้มั้ยคะว่าพ่อออกไปไหน”
“ไม่มีใครรู้หรอก ไอ้ศรมันไม่เคยอยู่ติดบ้านไม่เคยไปไหนเป็นหลักเป็นแหล่ง”
“ค่ะป้า ว่าแต่ทางตรงนี้ถ้าเดินออกไป มันจะไปโผล่ที่ไหนหรอคะ?”
“ก็ไปโผล่ถนนใหญ่อีกเส้นนึงนั่นแหละ รีบกลับเถอะนะแม่หนูฝนมันจะตกแล้วป้าเป็นห่วง แถวนี้ถ้าฝนตกหาทางออกลำบากนะ”
“แล้วพวกป้าอยู่กันที่นี่ได้ยังไงคะ”
“….”
“พอจะบอกได้ไหมคะว่าทำไมถึงมาอยู่กันที่นี่ ลูกหลานของป้าหายไปไหน”
“ป้าไม่มีลูกไม่มีหลานหรอก ป้าตัวคนเดียว ป้าเป็นคนยากจนไม่มีบ้านอยู่ก็เลยต้องมาอาศัยสลัมอยู่เนี่ยแหละ”
“เหรอคะ ให้หนูติดต่อมูลนิธิให้เข้ามาช่วยเหลือมั้ยคะ” ถ้าฉันจะช่วยเหลือฉันก็คงจะช่วยเหลือได้แค่แจ้งมูลนิธิที่ดูแลเรื่องนี้ให้เข้ามาดูแลทุกคนที่อยู่ในสลัม
ฉันไม่ใช่คนที่นี่อีกต่อไปแล้ว ฉันจำได้ว่าตอนเด็กแถวนี้มันยังไม่มีพื้นที่สลัมแบบนี้เลย ตอนนั้นมันยังเป็นพื้นที่โล่งๆ ทุกครั้งที่ฝนตกก็จะเป็นน้ำท่วมขัง หนักหน่อยพายุเข้าก็กลายเป็นทะเล
“ไม่ต้องหรอกแม่หนู ป้าอยู่ที่นี่ก็สุขสบายกันดี ไม่ได้อยากรับความช่วยเหลือจากใคร”
“….” น่าแปลกนะ มีแต่คนอยากได้รับการช่วยเหลือ แต่คนที่นี่ไม่ได้อยากรับการช่วยเหลือจากใครเลย
ครืน!!~
“รีบกลับเร็วแม่หนู ฝนจะตกแล้ว”
“….” เสียงฟ้าร้องทำให้คนที่อยู่ในสลัมแห่งนี้ต่างพากันชุลมุนวุ่นวายรีบเก็บข้าวของของตัวเองเข้าไปในบ้าน
“รีบกลับกันเถอะ”
“….” ฉันถูกนายภากรลากออกมาอีกทาง ที่เป็นทางที่ป้าคนนั้นบอกเอาไว้ว่าเป็นทางที่ไปโผล่ถนนใหญ่อีกเส้นนึง
เราสองคนพากันวิ่งออกมาจนกระทั่งเจอถนนแต่ไม่เจอบ้านคนเลย และมันก็น่าจะอยู่ห่างจากบ้านพักที่อยู่พอสมควร
“แล้วจะกลับยังไงเนี่ย ฝนจะตกแล้วด้วย” ฉันถามนายภากร
“เดี๋ยวฉันโทรให้ลูกน้องมารับ หาศาลาพักกันก่อน เดี๋ยวตากฝนกันจะไม่สบายเอา”
“อืม”
เขาพาฉันมาหลบฝนอยู่ที่ศาลาข้างทาง จากนั้นฝนก็โหมกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนสองข้างทางมองไม่เห็นวิสัยทัศน์ มีเพียงสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาเป็นสีขาวโพลน ลมพัดมากระทบผิวกายทำเอาฉันรู้สึกหนาวสั่น เพราะฉันใส่เสื้อยืดแขนสั้นธรรมดา
“หนาวเหรอ?”
“อืม…หือ??” จู่ๆ ก็มีผ้าผืนใหญ่คลุมไหล่ฉันจากทางด้านหลัง นายภากรถอดเสื้อแขนยาวของตัวเองออกแล้วเอามาคลุมตัวให้ฉัน
“ห่มไว้”
“???”
“งงทำไม ก็เธอบอกว่าหนาวไม่ใช่หรอ เอาเสื้อของฉันห่มไว้ก่อน เดี๋ยวลูกน้องของฉันก็คงจะขับรถมา”
“ขอบใจนะ”
“อื้ม”
เราสองคนยืนรออยู่ที่ศาลาข้างทางอยู่พักใหญ่ ถึงตรงนี้จะเป็นป่าแต่ก็ยังมีรถสัญจรไปมาอยู่ เพียงแต่ไม่มีบ้านคนเท่านั้นเอง
“ลูกน้องของนาย ทำไมนานมาจัง”
“ไม่รู้สิ ฉันก็บอกมันแล้วนะว่าอยู่ที่ไหน ไอ้พวกนี้ทำงานไม่ได้เรื่องเลย”
“….” เหอะ! อย่าว่าแต่ลูกน้องเลยเจ้านายก็ไม่ต่างอะไรกัน คันปากอยากจะพูดจริงๆ ว่าแต่ลูกน้องแต่ไม่เคยดูตัวเองไม่รู้สื่อสารกันแบบไหน ลูกน้องถึงไม่เข้าใจอะไรเลย
เวลาต่อมา
จนกระทั่งฝนซาลูกน้องของนายภากรก็ยังไม่มารับ ไม่มีใครมาเลยซักคน มีแค่รถขับผ่านไปผ่านมาเท่านั้น
“ยังไงกันแน่เนี่ยลูกน้องของนาย?”
“ฉันโทรไปย้ำมันแล้ว มันกำลังรีบมา” เขาบอก ถ้ามันไกลฉันจะไม่บ่นเลยนะเนี่ยแต่นี่ใกล้กันแค่นิดเดียวเอง
“….” ฉันยืนบ่น จังหวะนั้นก็มีคนถีบสามล้อผ่านมาพอดี ลุงคนนั้นแกใส่หมวกสานเก่าๆ ใบนึง เนื้อตัวเปียกชุ่มน่าจะตากฝนมาตั้งแต่ฝนเริ่มตก จนกระทั่งตอนนี้ฝนซาแล้ว “ใคร…พะ พ่อ”
ฉันร้องอุทานขึ้นมาเบาๆ เมื่อจังหวะที่ลุงคนนั้นหันมาหาพวกเรา และฉันก็จำได้ดีว่านี่คือใครในที่สุดฉันก็ตามหาพ่อเจอแล้ว
“เฮ้ยจะไปไหน โรสสิริน!” มีเสียงเรียกของนายภากรตะโกนตามหลังมา เมื่อฉันรีบวิ่งออกไปตามรถสามล้อที่ขับผ่านไป
“พะ พ่อจอดรถก่อน ที่โรสเอง พ่อได้ยินมั้ย” ฉันพยายามวิ่งตามรถสามล้อที่พ่อถีบอยู่ แต่ดูเหมือนพ่อจะรีบปั่นให้เร็วกว่าเดิม เพื่อไม่ให้ฉันวิ่งตามทัน
ตุบ ตับ ตุบ ตับ
ฉันวิ่งตามรถสามล้อท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกลงมาอีกครั้ง แต่ฉันก็วิ่งตามรถไม่ทัน คนกับรถมันจะไปวิ่งทันกันได้ยังไงล่ะเนอะ
“พะ พ่อ อย่าพึ่งไปพ่อ รอโรสด้วยพ่อ” ฉันพยายามที่จะไม่หยุดวิ่ง เพื่อที่จะได้ตามหลังพ่อได้ทัน แต่วิ่งมาได้ไกลฉันก็รู้สึกเหนื่อยและขาก็เริ่มสั่น
จนกระทั่ง
ผลึก ตุบ!
ขาของฉันมันอ่อนแรงจนวิ่งต่อไม่ไหวและล้มลงกับพื้นถนนจนหัวเข่ามีแต่เลือดเต็มไปหมด ฉันพยายามพยุงตัวเองเพื่อที่จะวิ่งตามรถต่อ แต่นายภากรกลับมาคว้าตัวฉันเอาไว้
“โรสสิริน”
“ปล่อยฉันฮึก ฉันเจอพ่อของฉันแล้ว ฉันจะไปหาพ่อ ปล่อยฉันฮึก”
“เดี๋ยวค่อยตามไปก็ได้ ฝนมันตกอีกแล้วนะกลับบ้านก่อนเถอะ หัวเข่าของเธอก็เป็นแผลด้วย อยากเป็นบาดทะยักตายหรือยังไง!”
“ช่างมัน ฉันจะไปหาพ่อ” ฉันดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดของนายภากร
“เธอพูดไม่ฟังเองนะ”
“อร๊าย ไอ้บ้าภากรทำอะไรของนายเนี่ย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” นายภากรจับฉันอุ้มขึ้นพาดบ่าของเขา แล้วพาฉันหันหลังเดินออกไป
“คนดื้อแบบเธอมันต้องเจอแบบนี้แหละ”
“ไอ้บ้า”
“เพี๊ยะ!!”
“กรี๊ด ไอ้ภากรนี่นาย”
“เงียบเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้าเธอยังไม่หยุดร้อง ฉันทำมากกว่าตีตูดเธอแน่ แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
“….” ผู้ชายคนนี้เป็นโรคจิตหรือยังไง อย่าให้ถึงตาฉันบ้างเถอะนะ ฉันจะเล่นนายให้อ่วมกว่านี้อีกนายภากร