บทย่อ
ภากร ลูกชายแฝดคนโต ของกระทิงและดาริน ผู้ที่มีนิสัยนิ่งเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เป็นคนที่จริงจังกับทุกเรื่อง โดยเฉพาะความรัก
01 คนบ้า
~ บ้านพักริมทะเล ~
โรสสิริน ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เดินเข้าไปในบ้านพักริมทะเลที่พ่อของเธอเคยอยู่ ทุกอย่างมันดูดีขึ้นมาก
พ่อกับแม่ของเธอแยกทางกันแล้วเธอก็ต้องไปอยู่กับแม่ของเธอ ทิ้งพ่อให้อยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียว เธอไปอยู่ที่เมืองนอกตั้งแต่นั้น จนกระทั่งตอนนี้เธอเรียนจบแล้ว และเธอจะกลับมาพาพ่อไปอยู่ด้วยกัน
“พ่อคะ พ่อคะ พ่อ” เธอตะโกนเรียกอยู่ที่หน้าบ้านพักนึง แต่ก็ไม่มีเสียงใครตอบรับ เธอจึงถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปด้านใน
ทุกอย่างในบ้านดูขยับขยายและเปลี่ยนแปลงไปหมด ดูเหมือนว่าถูกจัดเอาไว้เป็นที่เป็นทาง
“พ่อคะ โรสเองนะ โรสกลับมาหาพ่อแล้วนะ” เธอเดินหาจนทั่วบ้านแต่ก็ไม่เจอใครเลย จะบอกว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่ก็เป็นไปไม่ได้เพราะทุกอย่างในบ้านถูกจัดแจงเรียบร้อย เหมือนกับว่ามีคนคอยปัดกวาดทุกวัน
“หายไปไหนของเขากันนะ”
“พ่อคะ พ่อคะ”
“นี่เธอเป็นใคร เข้ามาที่บ้านของฉันได้ยังไง” เสียงเข้มดังขึ้นจากทางหน้าระเบียงของบ้าน โรสสิรินหันไปมองด้วยความตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดตาของตัวเองเพราะชายหนุ่มถอดเสื้อเหลือเพียงกางเกงสีดำขาสั้น
“นะ นายเป็นใคร แล้วมาอยู่ที่บ้านของพ่อฉันได้ยังไง!?”
“บ้านของพ่อเธอที่ไหน นี่มันบ้านของฉัน” ภากรเถียงกลับ
“พูดมั่ว พ่อของฉันอยู่ไหน”
“จะไปรู้เหรอ นี่มันบ้านของฉัน” ภากรยังเถียงอย่างไม่ยอม
ใครมันจะไปยอมลง จู่ๆ มีผู้หญิงมาตีโพยตีพายว่าเป็นเจ้าของบ้าน ทั้งๆ ที่บ้านริมทะเลหลังนี้เขาก็อยู่มาเป็นสิบปีแล้ว
“ไม่จริง!” โรสสิรินยังยืนยันคำเดิม เธอจำได้ว่านี่เป็นบ้านของพ่อเธอ แล้วคนอื่นจะมาเป็นเจ้าของได้ไง แล้วพ่อของเธอไปไหน
“เธอบ้าหรือเปล่าเนี่ย!? การ์ด การ์ด”
“ครับคุณภากร” ผู้ชายสองคนวิ่งเข้ามา
“ปล่อยให้คนบ้าเข้ามาในบ้านได้ไง เอาออกไปเลย และอย่าปล่อยให้คนนอกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของฉันอีก”
“ครับคุณภากร”
“เฮ้ยๆ ไอ้บ้านี่ ปล่อยนะ อร้าย” การ์ดสองคนหิ้วปีกโรสสิรินเดินออกไปด้านนอกอย่างทุลักทุเล เพราะเธอแรงเยอะมาก
ตุบ!!
“โอ้ย! ไอ้บ้า หมดแล้วมั้งก้นฉัน” เธอล้มพับกับพื้นอย่างแรง เพราะถูกชายทั้งสองคนปล่อยมือ
“ขะ ขอโทษครับ เป็นอะไรมากหรือเปล่า พวกผม..”
“ไม่ต้องมายุ่งเลย ไอ้พวกบ้า บ้าทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง ฮ่วยหงุดหงิด!”
โรสสิรินลากกระเป๋าเดินทางกลับออกไป เธอต้องเดินเท้าไปที่หน้าถนนใหญ่เพื่อที่จะหารถนั่งไปในเมือง เธอคิดว่าพ่อของเธอน่าจะอยู่บ้านก็เลยไม่ได้ให้แท็กซี่รอ
“โอ้ย ไกลก็ไกล แล้วพ่อไปอยู่ไหนอีกแล้วเนี่ย” เธอบ่นพึมพำขณะที่กำลังลากกระเป๋าเดินไปตามถนน
บรรยากาศเมืองไทยมันช่างร้อนระอุเหมือนกับว่าอยู่ในทะเลทรายเลย เธอไปอยู่ต่างประเทศหลายปีเลยไม่ชินกับอากาศที่นี่สักเท่าไหร่
เวลาต่อมา
ไม่นานโรสสิรินก็มาถึงยังหน้าถนนใหญ่ที่มีรถวิ่งผ่านไปมา แต่ทว่า…มันกลับไม่มีรถแท็กซี่ให้เธอโบกเลย
รอแล้ว รอเล่า จนกระทั่งมีรถคันหนึ่งจอดแวะข้างๆ เธอ แล้วลดกระจกลงมา
“จะไปไหนน้อง?”
“เอ่อ กำลังจะเข้ากรุงเทพค่ะ” เธอตอบชายหนุ่มคนนั้นไป
“ไปกับพี่ไหม พี่กำลังจะเข้ากรุงเทพพอดี”
“เอ่อ…” โรสสิรินรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก เพราะเธอไม่สามารถเดาได้เลยว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ มีน้ำใจจริงๆ หรือว่าต้องการอย่างอื่นจากเธอด้วย
“ไปมั้ย ตอนนี้มันกำลังจะค่ำแล้วนะ แถวนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านนะ ไม่มีรถประจำทางไม่มีรถแท็กซี่”
“ปะ ไปค่ะๆ” เธอจำใจตอบรับก่อนจะยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไปท้ายกระบะ แล้วเข้าไปนั่งในรถกับชายหนุ่ม ที่มากับใครอีกหลายๆ คน
“น้องไปไหนมาเนี่ย เป็นผู้หญิงคนเดียวมายืนอยู่ข้างทางแบบนี้ได้ยังไง มันอันตรายนะ?”
“หนูเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกค่ะ ไปหาพ่อที่อยู่ในซอยนั้น แต่ไม่เจอพ่อค่ะก็เลยเดินกลับออกมา”
“เวรกรรม แล้วน้องจะไปอยู่ที่ไหนต่อ?”
“หนูมีเพื่อนอยู่ที่กรุงเทพค่ะ กะว่าจะไปอยู่กับเพื่อนที่กรุงเทพสักพักนึงก่อน”
“อ๋อ”
ตลอดทางโรสสิรินก็ถูกถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบถึงเรื่องบางเรื่อง เธอก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง จนกระทั่งทุกอย่างมืดสนิทลง รอบข้างมีเพียงไฟรายทางที่ส่องสว่างอยู่ แทบจะไม่มีรถผ่านเลยสักคัน เป็นถนนที่เปลี่ยวมากถึงจะเป็นถนนสี่เลนส์ก็เถอะ
“อีกไกลไหมคะพี่กว่าจะถึง?”
“อีกสักพักแหละ ถ้าน้องง่วงก็นอนก่อนก็ได้ ถ้าถึงตัวเมืองกรุงเทพแล้วพี่จะปลุก”
“ไม่ดีกว่าค่ะ”
โรสสิรินนั่งไปเงียบๆ นิ่งๆ ไม่พูดอะไรสักคำ
จนกระทั่ง…
ชายหนุ่มตีไฟเลี้ยวหลบเข้าข้างทาง จอดลงไปสูบบุหรี่กัน ส่วนโรสสิรินที่นั่งรออยู่ในรถก็อยากจะนอนเต็มทนแล้ว เธอพยายามดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์ ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปกี่โมงแล้ว
เธออยากให้ผ่านพ้นตรงช่วงเวลานี้ไปให้เร็วๆ
กลุ่มของชายพวกนั้นยืนสูบบุหรี่พร้อมกับคุยหัวเราะกันเฮฮา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รีบกับการเดินทางเลย
จนกระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นกระบอกปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวของผู้ชายคนนึง ทำให้โรสสิรินรู้ว่าชายพวกนี้ไม่น่าไว้ใจ ถ้าเป็นคนปกติก็คงจะไม่พกปืนติดตัวกันหรอกใช่ไหม
เธอแอบเปิดประตูลงจากรถและเดินไปยกกระเป๋าเดินทางลงมา จากนั้นก็เดินออกไปท่ามกลางความมืด เธอรู้สึกได้ว่าอีกไม่นานภัยอันตรายจะต้องมาถึงตัวเธอแน่นอน
“วันนี้มันมีแต่ปัญหาอะไรวะ เจอแต่พวกบ้าที่ไหนก็ไม่รู้” เธอบ่นพึมพำเบาๆ จนกระทั่งเดินมาได้ไกลพอสมควรแล้ว พอหันกลับไปมองผู้ชายพวกนั้นก็ยังอยู่ที่เดิมยังไม่มีการสงสัยอะไร เธอคิดแค่ว่าต้องพ้นตรงนี้ไปให้ได้ก่อน แล้วรอให้เช้าอีกทีค่อยว่ากัน
ผ่านไปสักพัก
โรสสิรินหลบเข้าไปที่ข้างทางตรงต้นไม้ใหญ่เพราะมีแสงไฟสาดมา น่าจะเป็นรถของกลุ่มผู้ชายพวกนั้น พวกมันไม่ได้ขับรถเร็วเหมือนกับว่ากำลังหาตัวเธออยู่ พอรถผ่านไปได้ไกลพอสมควรเธอก็ออกมาจากต้นไม้ใหญ่โดยที่มีไฟฉายมือถือเป็นตัวนำทาง
เธอเดินมานั่งพักอยู่ที่ศาลาริมทาง กะว่าจะรอให้เช้าแล้วค่อยหารถเดินทางไปในตัวเมืองอีกทีเพราะคิดว่าตอนกลางวันมันน่าจะปลอดภัยกว่านี้ และน่าจะหารถได้ง่ายกว่า
“หึยไอ้บ้านั่น อย่าให้ได้เจออีกนะ” ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งนึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้นเธอยิ่งอยากจะซัดหน้าสักที