ตอนที่ 3 เสี่ยหวงเด็ก (1)
“แด๊ดลงโทษเรย์ด้วยการหักค่าขนมยังจะดีซะกว่า” ฉันถึงกับบ่นอุบด้วยใบหน้างอง้ำ เมื่อถูกแด๊ดบังคับให้นั่งเรียนเปียโนกับพี่ภูมิอยู่ภายในห้องดนตรีที่บ้านได้ราวชั่วโมงกว่าแล้ว
มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับฉันสักเท่าไหร่ ดังนั้นแด๊ดจึงเลือกใช้วิธีนี้เป็นการลงโทษ
ด้วยความที่อยากให้ฉันเป็นเด็กผู้หญิงเรียบร้อยและเพียบพร้อม แด๊ดจึงสรรหากิจกรรมที่ผู้หญิงทั่วไปนิยมมาให้ฉันทำ ก็มีทั้งร้องเพลง เล่นดนตรี ฝึกมารยาท ทำอาหารและงานเย็บปักถักร้อยเป็นต้น
แม้ว่าใจจริงแล้วฉันอยากจะเรียนยิงปืน และต่อยมวยก็ตาม ทว่าพอบอกแด๊ดดี้แบบนี้ทีไร แด๊ดก็จะพูดสวนกลับมาทันทีว่ารูปร่างและหน้าตาของฉันมันช่างขัดกับกิจกรรมสุดเอ็กซ์ตรีมเหล่านั้น
ไม่รู้ว่ากลัวฉันจะหยิบปืนไล่ยิงใครหรือเปล่า แด๊ดถึงได้ห้ามตลอด
“ถ้าคุณหนูเหนื่อยจะพักก่อนก็ได้นะครับ แล้วค่อยมาเรียนกันต่อ” พี่ภูมิคือบอดี้การ์ดส่วนตัวของฉันที่เป็นทุกอย่างให้แล้ว อันที่จริงก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะเล่นเปียโนเก่งขนาดนี้
ตอนแรกที่รู้ฉันก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน เวลาเขาทำหน้าที่บอดี้การ์ดบุคลิกนิสัยก็จะเป็นอีกแบบ ดูสุขุมลุ่มลึก และกลับกัน พอต้องมาอยู่ในโหมดครูสอนเปียโนพี่ภูมิก็จะกลายเป็นคนอบอุ่นและอ่อนโยนทันใด
“พักแล้วพักเลยได้มั้ยคะ เรย์ไม่อยากเรียนแล้ว” วันนี้เป็นวันหยุดแท้ๆ ฉันก็อยากจะไปหาอะไรอย่างอื่นทำบ้าง อีกอย่างแด๊ดก็ออกไปข้างนอกแล้วด้วย ถ้าอู้สักวันแด๊ดคงไม่รู้หรอก นอกจากจะมีใครไปบอก
ดังนั้นฉันควรที่จะให้พี่ภูมิไปปิดปากลูกน้องคนอื่นๆ ของแด๊ดซะ
“ไม่ได้ครับ ถ้านายรู้คุณหนูจะโดนดุ”
ฉันเบะปากคว่ำเป็นตัวยูเมื่อได้รับการปฏิเสธแบบไร้เยื่อใย
“แด๊ดไม่ดุเรย์หรอก”
“มั่นใจได้ยังไงว่าแด๊ดจะไม่ดุ” เสียงทุ้มคุ้นหูเรียบนิ่งมาพร้อมกับร่างสูงของแด๊ดที่ปรากฏตัวอยู่ตรงประตูห้อง
ฉันจำต้องหุบปากฉับและแสร้งยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้าไปออดอ้อนแด๊ดเพื่อเบี่ยงประเด็น
“แด๊ดเหนื่อยมั้ยคะ เดี๋ยวหนูไปเอาน้ำมาให้นะ” ฉันพูดอย่างแข็งขัน พร้อมทำท่าจะผละออกจากอ้อมกอดแด๊ดเพื่อชิ่งหนีจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“จะรีบไปไหน เรายังคุยกันไม่จบเลย” ทว่าข้อมือของฉันก็ถูกแด๊ดคว้าหมับเอาไว้ซะก่อน
หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วนะเรย์วี่ เธอนี่ปากพล่อยซะจริง!
ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ ขณะที่ริมฝีปากก็กำลังส่งยิ้มหวานให้แด๊ดไม่หยุด ตั้งแต่เด็กจนโตแด๊ดดี้แพ้รอยยิ้มของฉันตลอด ครั้งนี้คงใช้ได้ผลแหละน่า
“ไม่ต้องมายิ้ม หนูยังมีความผิดอยู่นะน้องเรย์” น้ำเสียงติดดุที่เปล่งออกมาส่งผลให้รอยยิ้มของฉันหุบลงช้าๆ โดยอัตโนมัติ
“แด๊ดดี้หนูขอโทษ ต่อไปหนูจะไม่ให้พี่ภูมิอยู่ห่างๆ อีกแล้ว แด๊ดอย่าโกรธหนูเลยนะคะ”
“ไม่ใช่แค่ภูมิ ถ้าแด๊ดส่งให้ใครไปดูแลน้องเรย์ก็ห้ามอยู่ห่างจากคนนั้นเป็นอันขาด เข้าใจมั้ย” แด๊ดมักจะย้ำประโยคนี้เสมอ ถ้าถามว่าเข้าใจหรือเปล่า ก็เข้าใจแหละ แต่บางทีฉันก็สงสัยเหมือนกัน
“ทำไมแด๊ดต้องให้คนตามดูแลหนูด้วย ตอนนี้หนูโตแล้วนะคะ” อายุสิบแปดก็ถือว่าโตแล้วนะสำหรับฉัน อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้ามหา’ลัยแล้วด้วย ถ้าเกิดว่าต้องอยู่หอแด๊ดไม่ส่งคนไปนอนเฝ้าฉันเลยหรือไง
“เพื่อความปลอดภัยของตัวหนูเอง แด๊ดจะเลิกให้คนตามก็ต่อเมื่อหนูดูแลตัวเองได้แล้ว”
แล้ววันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่กันล่ะ ในเมื่อแด๊ดยังประคบประหงมฉันอยู่แบบนี้
“ถ้างั้น...แด๊ดก็สอนหนูยิงปืนกับต่อยมวยสิคะ” ฉันครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะโพล่งออกไป อย่างน้อยการมีทักษะเหล่านี้ก็น่าจะทำให้ฉันสามารถป้องกันตัวได้แล้ว
“ไม่” วันนี้มันวันอะไร ทำไมทุกคนถึงเอาแต่ปฏิเสธฉันตลอดเลย
“อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ แล้วหนูควรทำยังไง” ใบหน้าของฉันงอง้ำหนักกว่าเดิม
“เป็นเด็กดีแล้วเชื่อฟังแด๊ด”
ทุกวันนี้ฉันก็เป็นเด็กดีและเชื่อฟังแด๊ดตลอด มีแค่เรื่องบอดี้การ์ดนี่แหละที่ฉันชอบรั้น
การที่ถูกคนคอยตามติดทุกฝีก้าวย่อมให้ความรู้สึกอึดอัดอยู่แล้ว แด๊ดน่ะไม่เข้าใจความรู้สึกของฉันเลย ถ้าถามว่าหนักหนาขนาดไหนก็ถึงกับให้พี่ภูมิไปยืนเฝ้าหน้าห้องเรียน แถมตอนพักกลางวันยังนั่งทานข้าวโต๊ะข้างๆ ฉันอีก ดีหน่อยตรงที่เพื่อนยังกล้าเข้าใกล้ ไม่งั้นฉันคงไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย
“หนูไม่คุยกับแด๊ดแล้ว” ฉันค่อยๆ ดึงข้อมือของตัวเองออกมา ก่อนจะรีบเดินหนี
“ไม่คุยจริงเหรอ แด๊ดอุตส่าห์จะพาออกไปเที่ยวสักหน่อย” ทว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากแด๊ดกลับทำให้เท้าทั้งสองข้างของฉันพลันหยุดชะงัก
ถึงจะงอน แต่ว่าโอกาสที่แด๊ดจะพาฉันไปเที่ยวนั้นมันไม่ได้มีบ่อยๆ ดังนั้น...หายงอนชั่วคราวแล้วค่อยกลับมางอนอีกรอบหลังจากเที่ยวเสร็จคงไม่เป็นไร
“หนูจะรีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนนี้เลย!” ฉันหันกลับไปพูดกับแด๊ด แวบหนึ่งเห็นว่ามุมปากหนายกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะมลายหายไปในที่สุด...
