ตอนที่ 4 เสี่ยหวงเด็ก (2)
“จะซื้ออะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า” แด๊ดดี้หันมาถามฉัน ทั้งๆ ที่ลูกน้องของแด๊ดหกคนที่เดินตามหลังต้อยๆ กำลังถือถุงตีตราแบรนด์ดังพะรุงพะรังเต็มสองมือ และทั้งหมดนั่นก็เป็นของฉันเพียงคนเดียว
ต่อให้ฉันซื้อมากกว่านี้ขนหน้าแข้งแด๊ดก็ไม่ร่วงหรอก เป็นถึงประธานบริษัทผลิตรถยนต์แบรนด์ดัง หนำซ้ำยังร่วมหุ้นเปิดผับเล่นๆ กับเพื่อนอีก แถมยังเป็นผับที่นิยมมากในหมู่นักท่องราตรี เท่าที่ฉันรู้น่ะมีเท่านี้ แต่ที่ไม่รู้ก็น่าจะเหลืออีกเยอะ
เมื่อมีเงินก็ต้องมีอำนาจ สองอย่างนี้มักจะมาพร้อมกันเสมอ ดังนั้นแด๊ดจึงมีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมดแบบนี้ ที่มาด้วยกันนี่ถือว่าเป็นกลุ่มย่อยเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็แยกย้ายกันไปทำงานตามที่แด๊ดมอบหมาย
“หนู...”
Tru...Tru...Tru
คำพูดฉันถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่อโทรศัพท์มือถือของแด๊ดแผดเสียงร้องดังขึ้นอยู่ภายใต้กางเกงยีน
การแต่งตัวของแด๊ดยังคงความวัยรุ่นเอาไว้ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้ว่าอายุจะย่างเข้าสู่เลขสามแล้วก็ตาม
กระนั้นใบหน้าของแด๊ดดี้เองก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนตามกาลเวลาเลยสักนิด จะบอกยังไงดีล่ะ...เอาเป็นว่ายิ่งแก่ยิ่งหล่ออะไรทำนองนั้น
“แด๊ดขอรับโทรศัพท์ก่อน...ว่าไง?” หลังจากที่หันมาบอกฉัน แด๊ดก็กดรับสายแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูเพื่อคุยกับคู่สนทนาที่โทรเข้ามาหา
อันที่จริงตอนนี้มันก็มืดค่ำแล้วด้วย ทำไมลูกน้องของแด๊ดถึงขยันขันแข็งในการทำงานกันนักก็ไม่รู้
รายงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแข่งกับเซเว่นหรือยังไงกันนะ...
“...” ถึงจะทำเป็นไม่สนใจแต่ฉันก็ยังคอยเงี่ยหูฟัง ทว่าก็จับใจความอะไรไม่ได้เลย
“เดี๋ยวกูเข้าไป” หลังจากนิ่งเงียบอยู่นานแด๊ดก็เปิดปากเพียงประโยคสั้นๆ “แด๊ดจะเข้าไปดูผับ น้องเรย์กลับบ้านไปก่อนนะ”
สีหน้าของแด๊ดที่แสดงให้เห็นยังคงปกติเสียจนฉันไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
“หนูขอไปด้วยได้มั้ยคะ” ฉันลองถามอย่างหยั่งเชิง
“มันไม่ใช่ที่ที่เด็กควรไป”
หนึ่งคำก็เด็ก สองคำก็เด็ก ฉันจะงอนแด๊ดอีกรอบก็คราวนี้
“หนูยังไม่ได้ทานข้าวเลย ตอนนี้หิวมากๆ ด้วย” ฉันแสร้งยกมือขึ้นลูบท้องตัวเองป้อยๆ
ออกมาข้างนอกแต่ไม่ได้ดินเนอร์กับแด๊ด แล้วตลอดทั้งวันที่มาด้วยกันมันจะมีความหมายอะไร
“งั้น...”
“หนูไม่อยากนั่งทานข้าวคนเดียว” ฉันรู้ว่าแด๊ดจะพูดอะไรออกมา
ก็คงไม่แคล้วบอกให้ฉันทานจากที่ห้างไปเลยโดยไม่มีแด๊ดร่วมโต๊ะอยู่ด้วย ทุกทีแด๊ดก็ทำแบบนี้ตลอด ทิ้งฉันไว้คนเดียวส่วนตัวเองก็รีบไปทำงานต่อ
การได้ร่วมโต๊ะทานข้าวกับแด๊ดเรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากจริงๆ ถึงจะอยู่บ้านเดียวกันทว่าก็แทบนับครั้งได้เลย
“แล้วน้องเรย์จะให้แด๊ดทำยังไงหืม?” แด๊ดย้อนถามกลับด้วยโทนน้ำเสียงอบอุ่น
ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าแด๊ดไม่ได้รำคาญในความงอแงเอาแต่ใจของฉัน
“หนูจะไปกับแด๊ด แล้วค่อยโทรสั่งข้าวมานั่งทานด้วยกัน” ฉันเสนอ พอเห็นว่าแด๊ดทำท่าครุ่นคิดจึงพูดย้ำขึ้นมาอีก “หนูสัญญาว่าจะไม่เดินเพ่นพ่าน ถ้าแด๊ดบอกให้อยู่ตรงไหนหนูก็จะอยู่ตรงนั้น”
“โอเค” แด๊ดผ่อนลมหายใจเพียงเล็กน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
และนั่นก็สามารถเรียกรอยยิ้มกว้างจากฉันได้เป็นอย่างดี...
แด๊ดพาฉันมาที่ผับของแด๊ดที่ร่วมหุ้นกับกลุ่มเพื่อนสนิท โดยพาฉันเดินเข้าทางประตูด้านหลังเพราะเวลานี้ผับเริ่มเปิดให้บริการแล้ว ดังนั้นนักท่องราตรีจึงทยอยกันเข้ามา อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันหยุดด้วย ทุกคนจึงมาใช้บริการเร็วกว่าปกติ
“รอแด๊ดอยู่ในห้องนี้ อยากทานอะไรก็ให้ภูมิสั่งให้” แด๊ดจูงมือฉันให้เดินเข้าไปในห้องทำงานของแด๊ดที่อยู่ชั้นบนสุด จากการสังเกตตัวเลขชั้นที่อยู่ภายในลิฟต์ทำให้รู้ได้ว่าผับแห่งนี้มีทั้งหมดสี่ชั้นด้วยกัน ชั้นแรกเป็นลานจอดรถ ชั้นสองเป็นผับ ส่วนชั้นสามฉันเดาได้ว่าน่าจะเป็นห้องสำหรับแขกวีไอพี สุดท้ายชั้นสี่ก็คือห้องทำงานของแด๊ดและหุ้นส่วนคนอื่นๆ
“ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับหงึกหงัก มุมปากหนาของแด๊ดยกยิ้มราวกับพอใจ ก่อนที่มือใหญ่จะเอื้อมมาลูบศีรษะฉันเบาๆ
“เด็กดี” คำชมนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ที่ทำให้คนมองอย่างฉันเกิดอาการใจเต้นแรง
ทว่าพอร่างสูงของแด๊ดเดินออกไป ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
“คุณหนูอยากทานอะไรครับ” พี่ภูมิขยับเท้าเดินเข้ามาหาฉันที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังสีดำ พร้อมกับยื่นเมนูอาหารมาให้
“ที่นี่มีอะไรอร่อยๆ บ้างคะ”
“ก็อร่อยทุกเมนูนะครับ” พี่ภูมิต้องการจะขายของหรือกวนฉันกันแน่ แต่สีหน้าเรียบนิ่งของเขาไม่อาจทำให้ฉันล่วงรู้ได้เลยว่าพี่ภูมิคิดอะไรอยู่ในหัว
“ถ้าเรย์สั่งทุกเมนูแด๊ดคงบีบเรย์คอหักแน่” จากที่เปิดดูเมนูผ่านๆ ตาก็ใช่ว่าจะมีน้อยซะเมื่อไหร่ แถมราคานี่ก็แพงหูฉี่
ไม่แปลกใจเท่าไหร่กับตัวเลขที่เห็น เพราะรู้อยู่แล้วว่าผับของแด๊ดไม่ธรรมดา ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่มาแต่ฉันก็เคยลองเอาชื่อผับแห่งนี้ไปเสิร์ชดูแล้ว คนที่เช็คอินสถานที่แห่งนี้มีแต่พวกไฮโซทั้งนั้นแหละ
“คุณหนูลองเลือกเองก่อนมั้ยครับ ถ้าไม่รู้จะสั่งอะไรเดี๋ยวผมเลือกให้” พี่ภูมิเสนอขึ้นมาด้วยความหวังดี
“เอาที่แด๊ดชอบมาเลยค่ะ” ฉันปิดเมนู แล้วยื่นส่งคืนให้พี่ภูมิ
“ครับ” ร่างสูงตอบรับ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร
ระหว่างรอฉันเองก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นบ้าง ขณะที่สายตายังคงลอบมองไปที่บานประตูห้องตลอด...
[จบบันทึกพิเศษ: เรย์วี่]
[บันทึกพิเศษ: เจย์]
“ได้ข่าวว่าพาเด็กมาด้วย” ‘เพียร์ซ’ เพื่อนสนิทพ่วงด้วยตำแหน่งหุ้นส่วนโพล่งถามขึ้นมาเมื่อเจอหน้าผม
“อืม” ผมตอบรับเพียงสั้นๆ ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับมัน ห้องนี้เป็นห้องวีไอพี ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่เราจะต้องตะโกนแหกปากคุยกัน
“น้องเรย์อายุสิบแปดแล้วใช่มั้ยวะ” ไม่รู้ว่านั่นคือคำถามของมันจริงๆ หรืออะไร แต่สิ่งที่ผมให้มันได้ตอนนี้ก็คือแววตาที่เรียบนิ่ง “ก็โตแล้วหนิ พามาหากูหน่อยดิ อยากเห็นหน้าใกล้ๆ...ทำไมมึงมองกูแบบนั้นวะ”
“กูมาคุยงาน ไม่ใช่ให้มึงมาสนใจเรื่องของน้องเรย์” ผมเอื้อมมือไปหยิบแก้วบนโต๊ะกระจกตรงหน้ามาชงเหล้าให้กับตัวเอง ขณะที่ปากก็ขยับพูดกับไอ้เพียร์ซด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“นี่เรียกว่าอาการพ่อหวงลูกหรือเสี่ยหวงเด็ก”
“มึงเห็นขวดเหล้านั่นมั้ย?” ผมปรายตามองไปทางขวดเหล้าที่ตั้งอยู่ฝั่งของมัน
“จะเอาไปเปิดเหรอวะ ขวดเดิมยังแดกไม่หมด” ไอ้เพียร์ซมองหน้าผมสลับกับขวดเหล้า โดยที่ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“เปล่า...กูจะเอามาฟาดปากมึง” ขวดที่ถืออยู่ในมือตอนนี้น้ำหนักมันเบาเกินไป กลัวจะฟาดได้ไม่สะใจเท่าที่ต้องการ
“เออๆ กูไม่สนใจแล้วก็ได้” มันยกมือขึ้นในท่ายอมแพ้ และยอมถอยในที่สุด
“เกิดเรื่องขนาดนี้แฝดนรกสามคนนั้นมันไม่มาสนใจหน่อยเหรอ?” ผมถาม พร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นจิบทีละนิด
ผับแห่งนี้เป็นผับที่ผมร่วมหุ้นกับเพื่อนสนิทอีกสี่คน มีเพียร์ซ ซาน ซีน และแซ้งค์ ซึ่งแฝดนรกที่ผมพูดถึงเมื่อครู่ก็คือไอ้สามตัวหลังนี่แหละ พอมีเรื่องล่ะหายหัว แต่เวลามีปาร์ตี้ดันแห่กันมาตั้งแต่งานยังไม่เริ่ม
“จะลำบากเกินไปมั้งถ้าให้ไอ้ซานมาคุยตอนนี้ เกิดแม่งปล้ำกูขึ้นมาจะทำยังไง”
“กูว่าแค่เห็นหน้ามึงอาการมันคงไม่กล้ากำเริบ”
พอเพียร์ซมันพูดผมถึงนึกขึ้นมาได้ ว่าแฝดสามคนนี้มันมีอาการไม่ค่อยปกติกันสักเท่าไหร่..
[จบบันทึกพิเศษ: เจย์]
