สถานีที่หก...หวั่นไหวรอบที่ล้าน (2)
สถานีที่หก...หวั่นไหวรอบที่ล้าน (2)
หลังเลิกเรียน
คาบเรียนวิจัยอันแสนน่าเบื่อผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ฉันและเพื่อนอีกสองคนเดินลงมาจากตึกด้วยสภาพหมดเรี่ยวแรง ราวกับคนถูกสูบพลังหลงเหลือเพียงเศษเสี้ยว
“เจ๊ภาแกจะโหดไปถึงไหนวะ ตอนให้แกดูความคืบหน้าของวิจัยฉันแทบร้องไห้อะ” เสียงของพั้นซ์เอ่ยออกมาหลังจากที่ขาก้าวพ้นบันไดของตึกเรียน
“แกดูฉันสิ ฉันโดนหนักกว่าแกอีกพั้นซ์ ดีที่ไม่โดนเจ๊แกโยนวิจัยทิ้งจากชั้นหก!” ฉันส่ายหน้าหวือเมื่อจินตนาการถึงภาพของอาจารย์จอมโหด การรายงานความคืบหน้าของวิจัยในวันนี้เรียกได้ว่าฉันโดนสับเละ แก้แทบจะทุกจุด
ไม่สิ...เหมือนจะเป็นการทำใหม่ทั้งหมดเลยก็ว่าได้
“เอาน่า อย่าเศร้าไปเลย อาจารย์นัดเช็กอีกทีตั้งอีกสองวีค” กวินตบไหล่ของฉันเบา ๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
“แกก็พูดได้นี่ โดนชมคนเดียวในเซคแบบนั้น ถามจริงเถอะ ใครช่วยแกทำวิจัยวะ ทำไมมันถึงออกมาสมบูรณ์จนเจ๊ภาแกไม่ติอะไรเลย”
“นั่นสิกวิน นายมีใครช่วยอยู่บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ทันทีที่พั้นซ์เปิดประเด็นฉันก็รีบเสริมทัพสุมไฟตาม เพราะจากคอมเมนต์วิจัยของกวินเรียกได้ว่าสมบูรณ์แทบจะทุกอย่าง และกวินเป็นคนเดียวด้วยที่ไม่ถูกด่า นักศึกษาห้าสิบชีวิตได้แต่มองด้วยความอิจฉา เพราะการไม่ถูกเจ๊ภาด่าคือลาภอันประเสริฐดี ๆ นี่เอง
“ไม่มีใครช่วยทั้งนั้นแหละ ก็แค่...เป็นคนฉลาดแล้วก็มีความรู้พอตัวเลยอะนะ”
“โอ๊ย! หมั่นไส้” ฉันถึงกับเบ้ปากหมั่นไส้อยู่เต็มอก แต่มันก็เถียงไม่ออกจริง ๆ นั่นแหละเพราะกวินได้เกรดท็อป ๆ ของคณะมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
“ฮ่า ๆ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก พร้อมเสมอแหละ”
“จริงเหรอ นายพูดแล้วนะกวิน”
“จริงสิ ขอค่าตอบแทนเป็นการเลี้ยงชาบูก็พอ”
“โอ๊ย! หมั่นไส้ ไอ้กวิน เก็บอาการหน่อยจ้า!” พั้นซ์แทรกพลางกลอกตาไปมาเป็นเลขแปด หากแต่ฉันได้แต่ทำหน้างุนงงมองเพื่อนสองคนสลับไปมา
“ไอ้พั้นซ์ พูดมาก…วันนี้โมไม่ได้เอารถมาใช่ป้ะ ให้เราไปส่งไหม จะได้ไม่ต้องนั่งแท็กซี่กลับ”
“จะไปส่งเราเหรอ โหย บ้านเรากับหอนายมันไม่ได้ใกล้กันเลยนะ ไม่เอาอะ เรานั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้ เกรงใจ” ฉันรีบปฏิเสธเนื่องจากความเกรงใจ หอพักของกวินอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ส่วนหมู่บ้านของฉันก็อยู่ห่างไปมากกว่าห้ากิโลฯ ฉันยอมนั่งแท็กซี่ดีกว่าจะไปรบกวนเพื่อน
“ไม่เป็นไรหรอก โมไม่ได้ให้เราไปส่งทุกวันนี่ วันนี้เราอยากไปส่ง มาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“หยุดก่อนจ้า! ไอ้โม…ตอนมาเรียนแกติดรถองศามาใช่ป้ะ!” เป็นอีกครั้งที่พั้นซ์แทรกบทสนทนาขึ้น แต่ว่าครั้งนี้แรงสะกิดที่แขนกลับเป็นสิ่งที่ตามมาด้วย
“เออ ทำไมวะ ก็รถสตาร์ตไม่ติด แล้วองศาก็ขับรถออกมาพอดี ฉันเลย...”
“แกดูโน่น! องศานั่งอยู่หน้าตึกคณะเรา ติณณ์กับเมฆก็นั่งอยู่กับเขาด้วย!”
ฉันรีบหันไปตามระดับสายตาของพั้นซ์แทบจะทันที สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกก็คือออร่าขององศาที่พวยพุ่งกระแทกมา เขาเพียงแค่นั่งพูดคุยกับเพื่อนอีกสองก็ยังทำให้ทุกความสนใจตกไปอยู่ที่เขาโดยไม่รู้ตัว
องศาอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?
“เขามารอรับแกแน่ ๆ เลยไอ้โม! เขารู้ไงว่าแกไม่มีรถกลับ เขาก็เลยมานั่งรอแกเลิกเรียนแล้วก็จะได้กลับไปพร้อมกัน!”
“โอ้!” ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปาก แรงมโนพุ่งสูบฉีดทำให้หัวสมองคิดไปถึงไหนต่อไหนว่าการที่องศามานั่งอยู่หน้าตึกคณะของฉันในตอนนี้เพื่อที่มารอรับฉันจริง ๆ!
“โอ๊ะ! เขาหันมามองแกแล้วไอ้โม! ชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์ว่าเขามารอแกแน่นอน ไป! แกรีบไปหาเขาเร็ว!”
ฉันยังไม่ทันคิดตัดสินใจอะไรก็ถูกพั้นซ์ดันร่างกายให้เดินไปข้างหน้า โต๊ะที่องศากับเพื่อนนั่งอยู่นั้นห่างจากจุดที่ฉันยืนหลายเมตร แต่การที่เขาหันมามองฉันแบบนี้มันก็ชัดเจนแล้วหรือเปล่าว่าเขามารอฉันจริง ๆ
“หวัดดีโมนา” ทันทีที่ฉันเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะก็มีเสียงทักทายจากติณณ์
“สวัสดีติณณ์ เมฆ” ฉันตอบไปเพียงเท่านั้นก่อนจะกอบกุมมือประสานไว้ที่หน้าขา ความตื่นเต้นตกใจยังคงกระหน่ำส่งผ่านหัวใจจนตอนนี้มันรัวเป็นกลองชุดไม่หวาดไม่ไหว
“ไอ้องศามันรอเธอตั้งนานแหนะ” คราวนี้ม่านเมฆเปิดปากพูด แถมยังพยักพเยิดหน้าไปทางองศาที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้าม
“อะ...องศารอเรางั้นเหรอ นะ...นาย...” สิ่งที่รับรู้ทำให้ฉันพูดไม่เป็นศัพท์ จับใจความไม่เข้าสมอง
องศามารอฉันจริง ๆ!
“อ้าว นั่งนิ่งไมวะ”
“องศามารอเราเหรอ ทำไมถึง...”
“เธอลืมโทรศัพท์ไว้บนรถฉัน”
เพล้ง…เสียงกระจกแตกดังสะท้อนอยู่ในแก้วหูจนทำให้ด้านชา หากแต่ว่าเสียงเหล่านั้นเป็นหน้าของฉันเองต่างหากที่มันแตกดังโพละ บ่งบอกว่าสิ่งที่คิดนั้นเป็นการเพ้อมโนไปเองคนเดียวล้วน ๆ!
“ก่อนจะลงจากรถทำไมไม่ตรวจเช็กของให้ดีก่อน แล้วนี่ฉันมานั่งรอเธอได้เกือบชั่วโมงแล้วเนี่ย เห็นว่าไม่มีรถฉันเลยรีบเอาโทรศัพท์มาคืนหลังเลิกเรียน ถ้าไม่ได้ฉันป่านนี้เธอร้องไห้วิ่งวุ่นหาโทรศัพท์ไปแล้ว”
เอ่อ...นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ฉันได้ยินองศาพูดยาว ๆ แบบนี้น่ะ
เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่คำพูดธรรมดานี่สิ แต่มันเป็นคำบ่นตอกหน้าฉันต่างหาก!
“คือฉัน...”
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่กับตัว อย่าบอกนะว่าเพิ่งรู้ว่าตัวเองลืมโทรศัพท์ไว้บนรถฉันน่ะ”
“เอ่อ...”
“ทำไมไม่ระวังแบบนี้ ถ้าเกิดไปลืมไว้บนรถแท็กซี่หรือรถเมล์ป่านนี้โทรศัพท์เธอมีเจ้าของใหม่ไปแล้วมั้ง”
ฉันได้แต่กะพริบตาปริบฟังองศาสั่งสอนไม่ต่างจากเด็ก ความจริงตั้งใจจะพูดออกไปนั่นแหละ แต่องศาไม่เว้นช่องว่างให้ฉันได้เปล่งเสียงออกมาเลยสักนิด
“ใจเย็น มึงจะบ่นอะไรนักหนา ให้โมนาได้พูดบ้าง”
ม่านเมฆตบไหล่องศาเพื่อให้เขาหยุดพูด และมันก็ได้ผลจริง ๆ เพราะองศาเปลี่ยนท่าทีมาเป็นการกอดอกและกดสายตามองฉันด้วยความเรียบนิ่ง
“แหะ...คือเราไม่รู้จริง ๆ นั่นแหละว่าลืมโทรศัพท์ไว้บนรถนาย เพิ่งรู้ก็เมื่อกี้นี้เอง แต่แหม...นายเอามาให้ถึงหน้าตึกเลยอะ ขอบคุณมากน้า”
ฉันพูดตามความจริงว่าเพิ่งจะรู้นี่แหละว่าโทรศัพท์ของตัวเองตกอยู่บนรถของเขา หลังจากที่ลงจากรถฉันก็รีบวิ่งขึ้นไปบนห้องทันที ระหว่างที่อยู่ในคาบเรียนฉันก็เอาแต่สนใจกับการถูกด่าของอาจารย์ เลยโทรศัพท์ไม่ได้เฉียดแว้บเข้ามาในหัวเลยแม้แต่น้อย
“เธอนี่มันจริง ๆ เลยนะ!”
“แหะ ขอโทษน้าที่ทำให้นายต้องมารอ แต่นายก็เป็นคนดีจริง ๆ นั่นแหละ อุตส่าห์เอาโทรศัพท์มาให้ถึงหน้าตึก ความดีของนายทำให้เราหวั่นไหวมากขึ้นทุกทีเลยนะเนี่ย” ฉันส่งยิ้มกว้างและหยอดคำหวานใส่คนหล่อจอมเย็นชากลับไป
ปกติแล้วฉันมักจะหยอดจีบเขาแบบนี้เป็นประจำนั่นแหละ ไม่ได้เปิดเผยกระโตกกระตากจนทำให้องศาอึดอัดใจ แต่ที่มันน่าหนักใจก็เห็นจะเป็นการที่องศาไม่รับรู้นี่แหละว่าฉันกำลังทอดสะพานให้เขาอยู่
ความดีขององศาไม่ได้เลิศเลอแต่มันกลับล้ำค่าสำหรับตัวฉันมากจริง ๆ
มันเป็นสิ่งเล็กน้อยแต่ฉันกลับไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะทำให้ เขาเย็นชา นิ่งขรึม และเข้าถึงยาก แต่ฉันดีใจทุกครั้งที่ได้เห็นในมุมมองที่ไม่มีใครเคยได้เห็น ก็อย่างเช่นมุมใจดีและการนึกถึงคนอื่นอย่างที่เขาทำให้นี่แหละ
ช่วยด้วย...ฉันหวั่นไหวให้กับองศารอบที่ร้อย ที่พัน ที่หมื่น ที่แสน และที่ล้านแล้ว!
