สถานีที่หก...หวั่นไหวรอบที่ล้าน (1)
สถานีที่หก...หวั่นไหวรอบที่ล้าน (1)
“สายแล้วแม่เอ๊ย!” เสียงที่ร้องกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมาตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนและอาบน้ำแต่งตัวก็คงไม่พ้นคำคำนี้
ฉันรีบวิ่งออกจากบ้านทั้งที่ยังใส่รองเท้าได้เพียงข้างเดียว ปลายเท้าก็เขย่งโหยง ๆ เดินไปเปิดรั้วบ้าน เพื่อที่จะได้รีบเอารถยนต์ออกไปเรียนโดยเร็ว และที่ฉันต้องรีบร้อนแบบนี้ก็เพราะว่าฉันตื่นสาย ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่สิบกว่านาทีเท่านั้นที่จะถึงเวลาเข้าเรียน
ถึงแม้ว่าวิชานี้จะไม่มีการเช็กชื่อก็เถอะ แต่มันเป็นวิชาเกี่ยวกับการทำวิจัย ซึ่งในคาบของวันนี้จะเป็นการตรวจสอบความคืบหน้าของเนื้อหางาน และแน่นอนว่าฉันจะสายไม่ได้!
“โอ๊ย! ไม่เป็นใจสักอย่าง อย่าเพิ่งงอแงนะลูก ขอร้องล่ะ ให้แม่ไปถึงมอก่อนนะลูกรัก” จากการบ่นคำว่าสายแล้วกับตัวเอง แปรเปลี่ยนเป็นคำร้องขอต่อลูกชายตัวน้อยที่มีรูปร่างเป็นยานพาหนะ
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคันนี้กำลังงอแงสตาร์ตไม่ติด ทั้ง ๆ ที่เพิ่งซื้อจากศูนย์ได้เพียงปีกว่าเท่านั้น เวลาเร่งรีบแบบนี้ฉันจะไม่ได้ร้อนใจเลย ถ้ารถมันไม่มีปัญหาตอนที่ฉันกำลังจะไปเรียนน่ะ!
ได้โปรด...ฟ้าช่วยเมตตาหนูด้วย หนูกำลังรีบอยู่ อย่าเพิ่งลงโทษกลั่นแกล้งหนูเลย TWT
“โอ๊ย! ไอ้ลูกดื้อ กลับมาเมื่อไหร่โดนบ่นสามชั่วโมงติดแน่!” เมื่อร้องขออย่างไรเจ้ารถเก๋งคันโปรดก็ไม่มีวี่แววว่าจะสตาร์ตติด ฉันจำต้องรีบเดินลงจากรถและจัดแจงล็อกประตูบ้านให้เรียบร้อยเพื่อที่จะออกไปหารถหน้าหมู่บ้าน
แต่ทว่าจังหวะนั้นรถยนต์ขององศาก็ขับออกมาพอดิบพอดี
อย่าบอกนะ คำขอให้ฟ้าช่วยเมตตาจะเป็นการดลบันดาลให้ฉันได้ติดรถองศาไปเรียนน่ะ...
“องศา! องศาอย่าเพิ่งไป จอดก่อน!” ไม่รอช้าฉันก็รีบตะครุบคว้าพรจากฟ้านั่นทันที ฉันโบกไหวมือพร้อมกับร่างกายที่กระโดดไปยืนอยู่ข้างรถคันหรู และไม่นานองศาก็ลดกระจกลง พลางส่งสายตาเรียบนิ่งแทนการเอ่ยถามอย่างที่เขาชอบทำนั่นแหละ
“เราขอติดรถไปด้วยได้ไหม รถเราเป็นอะไรไม่รู้อะ”
“…” เป็นความเงียบที่ฉันได้รับกลับมา สายตาขององศาจดจ้องมองไปยังรถยนต์ของฉันที่จอดอยู่ในตัวบ้าน หากแต่ว่าเขากลับไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยคำใดออกมาเลยสักนิด
ไอ้คนเย็นชา!
“ไม่เป็นไร ไปเองก็ได้ชิ!” ฉันรีบตัดบทสนทนาเพราะคิดว่ามันน่าจะทำให้ฉันเสียเวลาในการหาทางไปมหาวิทยาลัยได้มากพอสมควร ทั้งที่เวลาที่องศาชอบเฉยชาหรือนิ่งใส่ฉันมักจะบ่นเขากลับไปอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้ฉันรีบ!
รีบจนไม่มีเวลามาเถียงด้วยยังไงเล่า!
“ขึ้นรถ” ทันทีที่ฉันกำลังก้าวเท้าจะเดินให้พ้นตัวรถของเขากลับมีเสียงเข้มเอ่ยออกมาสั้น ๆ
ประโยคนั้นทำเอาฉันรีบหันขวับและสาวเท้าขึ้นไปนั่งประจำที่เบาะข้างคนขับอย่างรวดเร็ว
ในใจก็ทั้งกรีดร้องโวยวายไม่หยุด แต่สิ่งที่แสดงออกมาคงทำได้เพียงรอยยิ้มกว้าง ๆ ส่งไปให้คนมีน้ำใจข้างกายเท่านั้น
“ขอบคุณนะ ใจดีอีกแล้วอ่า เดี๋ยวเย็นนี้จะทำอาหารอร่อย ๆ ไปประเคนให้ถึงหน้าบ้านเลยค่าคุณองศา”
องศาไม่ตอบอะไร สายตาของเขายังคงจดจ้องกับหนทางตรงหน้าและไม่แสดงออกถึงอารมณ์เช่นเดิม
แต่ฉันสนใจที่ไหนล่ะ นอกจากความใจดีภายใต้ความเย็นชาแล้ว วันนี้ฉันก็ไม่ต้องไปเรียนสายด้วยแหละ จะบอกให้!
“จริงสิ เราลืมถามเลยว่าพรุ่งนี้นายจะมาเข้าประชุมหรือเปล่า พรุ่งนี้ทางชมรมเรียกประชุมนะ จำได้ไหมเนี่ย” หัวข้อสนทนาทำลายความเงียบก็คือการประชุมของชมรมค่ายอาสา
ในวันพรุ่งนี้ทางชมรมนัดประชุมกับเหล่าสมาชิกถึงเรื่องการจัดค่ายอาสาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยหัวข้อหลัก ๆ ก็คงไม่พ้นเรื่องสถานที่และจำนวนคนที่จะเข้าร่วม เพราะทางชมรมไม่ได้บังคับว่าสมาชิกจะต้องไปทุกคน ใครที่ว่างหรือมีความสมัครใจก็สามารถลงชื่อได้ตามอัธยาศัย
อ้อ! ลืมบอกไปว่าฉันได้เลื่อนขั้นจากสมาชิกธรรมดากลายเป็นรองประธานชมรมแล้วนะ ซึ่งมันเป็นตำแหน่งที่ฉันไม่คิดอยากจะรับมันไว้มากที่สุด นอกจากภาระงานที่ต้องรับผิดชอบแล้ว เวลาอันสุขสงบที่พึงมีก็จะต้องเจียดแบ่งไปให้กับทางชมรมอีกด้วย!
“ว่าแต่นายจะไปค่ายไหม ปีนี้จัดที่แม่ฮ่องสอนนะ เห็นว่าการเดินทางไปที่นั่นค่อนข้างลำบากเลยล่ะ ไฟฟ้าก็ยังเข้าไม่ถึง ตอนแรกเราก็แปลกใจนะว่าประธานกับอาจารย์ทำไมถึงเลือกที่นั่น แต่พอเห็นภาพแล้วก็อ๋อเลย”
“…”
“ที่นั่นสวยมากเลยนะ แต่ช่วงกลางวันแดดจะร้อนมาก ส่วนเหตุผลที่อาจารย์เลือกก็เพราะอยากเข้าไปช่วยเหลือพวกเด็ก ๆ ที่อยู่แถวนั้นน่ะ แต่ปีนี้ไม่ต้องไปสอนเหมือนตอนที่เราอยู่ปีหนึ่งแล้วนะ เห็นว่าปีนี้จะมีจัดกิจกรรมเหมือนเข้าค่ายลูกเสือเลย มีทำเป็นฐานภารกิจด้วยแหละ”
“…”
“ข้อมูลนี้ยังไม่มีใครรู้เลยนะ ฉันเอามาบอกนายคนแรกเลยด้วย”
“…”
“ฮึ่ย! ใจคอจะไม่พูดอะไรกับเราสักคำเลยเหรอองศา คนอะไรเนี่ยเย็นชาชะมัดเลย!” ความอดทนหมดลงทำให้ฉันถอนหายใจออกมา และหันขวับมองคนข้างกายด้วยสายตาแข็ง
ที่เมื่อกี้มัวแต่พูดไม่ใช่ว่าฉันไม่รับรู้นะว่าบนรถคันนี้มีแต่เสียงของฉันคนเดียว แต่ฉันคิดว่าเขาอาจจะมีการตอบโต้หรือเอ่ยคำใดออกมาบ้างที่ไม่ใช่แค่เสียงถอนหายใจให้ได้ยินแบบนี้
“ก็เธอพูดมาก มันปวดหู”
“เราก็ชวนนายคุยไง เห็นว่ามันเงียบเกินไป นายใจร้ายมากนะ ปล่อยให้เราพูดคนเดียวอยู่ได้ รู้ไหมเนี่ย ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง นายไม่เคยพูดกับเราเกินสิบประโยคเลย” ความน้อยใจผสมปนเปกับความหงุดหงิด แต่สิ่งที่ฉันพูดออกล้วนแต่เป็นความจริงทุกอย่าง ฉันกล้ายืนยันเลยว่าวันวันหนึ่งการสนทนาระหว่างฉันและองศาไม่เคยเกินสิบประโยคเลยด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่ากลัวดอกพิกุลจะร่วงหรืออะไร นิ่งเงียบสมฉายาคนหล่อเย็นชาจริง ๆ!
“แล้วสรุปว่านายจะไปค่ายปีนี้หรือเปล่า ปีที่แล้วนายก็ไม่ได้ไปนะ มีแค่ติณณ์กับเมฆที่ไป”
“หายหงุดหงิดแล้ว?”
องศาไม่ได้ตอบคำถามแต่เขากลับถามฉันแทน แถมยังหันหน้ามาพร้อมกับเลิกคิ้วใส่อีกต่างหาก
ท่าทางของเขายียวนกวนโอ๊ยสุด ๆ แต่ไม่ปฏิเสธเลยว่าความกวนของเขานี่แหละกลับยิ่งทำให้เขามีเสน่ห์และน่าค้นหามากจริง ๆ
“หงุดหงิดกับคนอย่างนายแล้วได้อะไรล่ะ หงุดหงิดเองหายเอง นักเลงพอ!” ฉันทำท่าฟึดฟัดกอดอก หงุดหงิดตัวเองนี่แหละที่โอนอ่อนให้เขาเสมอ
ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้ชอบไอ้คนหล่อเย็นชาคนนี้ ทวนถามตัวเองมานานถึงสองปีว่าฉันหลงเขาที่ส่วนไหน
คนหล่อก็มีเยอะแยะ ความใจดีของเขาก็ไม่ได้มากล้นเหนือกว่าใคร แต่ทำไมก็ไม่รู้ฉันถึงได้ชอบเขามากขึ้นทุกวัน จนมันล่วงเลยมาสองปีกว่าแล้วเนี่ย!
“ถึงแล้ว”
“อ๊ะ...จริงด้วย” ฉันได้สติเมื่อตอนที่องศามาจอดที่หน้าตึกคณะ
ความเร่งรีบก่อนหน้าหายลับไปและถูกแทนที่ด้วยความเสียดายแทน
ฉันแทบไม่อยากลงจากรถเลยด้วยซ้ำ ตลอดการอยู่ข้างบ้านกันมานานแต่นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ฉันได้นั่งอยู่บนรถของเขา
“ลงไปสิ”
“โอ๊ย รู้แล้วน่า รีบไล่เชียวนะ...ขอบคุณนายมากนะที่มาส่ง เย็นนี้เตรียมท้องรอกินเมนูสุดอร่อยของเชฟโมนาได้เลยค่ะ!” ฉันกล่าวทิ้งท้ายพร้อม ๆ กับการเปิดประตูลงจากรถของเขา
อย่างน้อยความโชคร้ายของวันก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น รถสตาร์ตไม่ติดแต่ยังมีคนใจดีพุ่งเข้ามาให้พักพิงได้ท่วงทันเวลา ทุก ๆ ปัญหาก็จะมีองศานี่แหละที่เป็นคนคอยแก้และช่วยเหลือเสมอ
อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้แหละมั้งที่ทำให้ฉันชอบองศาจนไม่คิดสนใจผู้ชายคนไหนอีกเลย…
