บท
ตั้งค่า

Neighbor 06

“ปล่อยนะ”

ฉันพยายามสบัดแขนออกจากฝ่ามือใหญ่ที่จับอยู่แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยสักที จนฉันต้องคว้าแขนพี่เจมากอดเอาไว้แน่นแทน ปวดหัวชะมัด แถมมีใครก็ไม่รู้มาจับแขนฉันไว้อีกเนี่ย!

“ขวัญๆ แกปล่อยแขนฉันก่อน” พี่เจก้มลงมากระซิบข้างใบหูแล้วแกะมือปลาหมึกของฉันออกด้วยความรวดเร็ว

“อะไรอะพี่เจ ไม่ช่วยกันเลยเหรอ ขวัญโดนผู้ชายที่ไหนไม่รู้ฉุดอยู่นะ”

ฉันขมวดคิ้วและบ่นอุบอิบโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าคนที่กำลังจับแขนฉันไว้ด้วยซ้ำ พี่เจกำลังจะพูดอะไรกับฉันสักอย่าง แต่เสียงทุ้มต่ำของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังฉันก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

“เดี๋ยวพี่ไปส่งขวัญเอง”

“อะ... โอเคครับ”

ฉันมองพี่เจคิ้วขมวดมุ่นอย่างขุ่นเคืองอีกครั้ง เขาจะให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ไปส่งฉันที่บ้านเนี่ยนะ ให้ตายสิ ทำไมพี่เจถึงทำกับฉันแบบนี้อะ แถมฉันยังกำลังสับสนและปวดหัวกับเรื่องจูบของพี่คินอยู่ด้วย ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกมึนหัวมากกว่าเดิมซะอีก

พรึบ!

”พี่เจ ขวัญยังไม่อยากกลับ... อ๊ะ!”

ฉันกำลังจะไปเกาะขาพี่เจเอาไว้อีกครั้ง แต่จู่ๆ ฝ่ามือใหญ่ก็ดึงตัวฉันเข้าไปใกล้จนปลายจมูกของฉันทิ่มลงไปยังแผงอกกำยำของเขาอย่างแรง พี่เจก็ไม่เข้ามาช่วยกันเลยนะ ไอ้พี่บ้า!

“งั้นผมกลับก่อนนะ ฝากขวัญด้วยนะครับ” และนอกจากพี่เจจะไม่ช่วยฉันแล้ว เขายังสบัดตูดหนีกลับก่อนอีกต่างหาก บ้าจริง

”อือ”

เสียงทุ้มเข้มที่ตอบกลับพี่เจทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยสมองที่มึนเบลอ โลกหมุนและเอนตัวไปมาเล็กน้อยจนภาพด้านหน้าเลือนลางไม่ค่อยชัดเจน แล้วเขาเป็นใครล่ะเนี่ย ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นๆ จัง

“นี่นาย สนใจฉันเหรอ”

“...”

ฉันยกมือขึ้นไปทาบบนแผงอกกำยำของร่างสูงใหญ่ เขาไม่ตอบคำถามของฉันแล้วเอาแต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ฉันที่กำลังยืนโลกหมุนอยู่จึงต้องยกมือขึ้นไปคล้องแขนรอบลำคอแกร่ง แล้วบดเบียดร่างกายของตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ล้มลงไปที่พื้น แต่ว่า... กล้ามเนื้อของเขาแน่นชะมัดเลย

”ฉันยังไม่อยากกลับบ้านเลยอะ กลับไปก็อยู่คนเดียวอยู่ดี มันเหงานะนายรู้ป่ะ”

ฉันคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่กล้ามาพูดอะไรไร้สาระให้คนที่ตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใครฟังเนี่ย แต่ช่างมันเถอะ ไหนๆ พี่เจก็กลับไปแล้วนี่นะ…

”ขวัญ”

”รู้จักฉันด้วยเหรอ”

ฉันมองเขาด้วยด้วยตาปรือที่หนักอึ้งเข้าไปทุกที ให้ตายสิ มองไม่ชัดเลย แต่ทำไมเสียงเข้มต่ำของเขาถึงคุ้นหู และเป็นเสียงที่ทำให้หัวใจของฉันเต้นตึกตักรุนแรงแบบนี้ได้ล่ะ สงสัยฉันคงคิดถึงพี่คินมากไปเองนั่นแหละ บ้าจริง!

”เมามากแล้วนะ”

”เหอะ ไม่เมาหรอก แค่นี้ไม่เมา”

ฉันพูดจบก็ซบใบหน้าลงไปที่แผงอกกำยำด้วยความรวดเร็ว คงจะจริงอย่างที่พี่เจว่าฉันบ่อยๆ สินะ เวลาฉันเมาที่ไรก็จะชอบอ่อยไปทั่วผับทั่วบาร์แบบนี้ เหอะ

”กลับบ้าน”

เสียงทุ้มต่ำที่ดูดุดันทำให้ฉันเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่น ก็ฉันบอกไปแล้วไงว่ายังไม่อยากกลับบ้านน่ะ กลับไปก็อยู่คนเดียว มันเหงานะ อีกอย่าง… พออยู่คนเดียวฉันก็ต้องคิดแต่เรื่องพี่คิน ฉันไม่อยากคิดถึงเขาเลย ให้ตายสิ...

”ฉันยังไม่อยากกลับ นายอยู่เป็นเพื่อนหน่อยนะ… นะ”

ฉันโอบกอดรอบลำคอแกร่งเอาไว้หลวมๆ อีกครั้งพร้อมกับส่งยิ้มบางด้วยดวงตาที่หรี่ปรือเล็กน้อย ฉันนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ใจกล้าหน้าด้านทำแบบนี้กับคนที่ไม่รู้จักได้ยังไงก็ไม่รู้

“เมาแล้วเป็นแบบนี้เหรอ”

“แบบไหน ไม่ชอบรึไง”

ฉันส่งยิ้มแพรวพราวไปให้เขาทันที ถึงแม้ว่าดวงตาจะหรี่ปรือเพราะรู้สึกมึนหัวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังปวดหัวตุบๆ ชะมัดเลย ว่าแต่… ทำไมเขาต้องทำเสียงเหมือนไม่พอใจฉันด้วยล่ะ

“อือ”

“อือคืออะไร ไม่ชอบเหรอ”

ฉันทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยแล้วดึงลำคอแกร่งให้โน้มลงมาใกล้มากขึ้น กลิ่นบุหนี่จางๆ ผสมกับกลิ้นน้ำหอมที่แสนคุ้นเคยจากคนตรงหน้าทำให้ฉันนึกถึงพี่คิน… อีกแล้วอย่างงั้นเหรอ นี่ฉันคิดถึงเขาอีกแล้วเหรอเนี่ย!

“...”

”นี่ เงียบทำไมล่ะ ไม่ชอบฉันเหรอ”

ฉันส่ายหน้าไปมาเบาๆ เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง แล้วเงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ และขยับเข้าไปยืนใกล้เขามากขึ้น จนลมหายใจอุ่นร้อนของเขาสัมผัสบริเวณผิวแก้มของฉันแผ่วเบา

“ทำไมเมาแบบนี้วะ”

“นี่ ช่วยให้ฉันลืมใครบางคนหน่อยสิ ฉันไม่อยากคิดถึงเขาอีกแล้วอ่ะ”

เขาสบถออกมาเบาๆ อย่างหงุดหงิดแต่ฉันก็ได้ยินอยู่ดี ฉันยิ้มบางและยักไหล่อย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ แล้วเอ่ยบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง ฉันพูดจริงๆ นะ… ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว ไม่อยากคิดถึงพี่คิน ไม่อยากอยู่ใกล้เขา ไม่อยากต้องเจ็บ และคิดในเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ไปมากกว่านี้ ถึงพี่เจจะบอกให้ฉันอ่อยก็เถอะ แต่มันก็รู้สึกเจ็บหน่วงในใจอยู่ดี คนไม่ได้รักจะไปบังคับได้ยังไงล่ะจริงไหม…

”ใคร”

เสียงทุ้มต่ำที่ดูหงุดหงิดของร่างสูงใหญ่ทำให้ฉันขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจ แต่ฉันก็ไม่ได้ถามอะไรเขาออกไป และได้แต่ส่งยิ้มกว้างไปให้เขาแทน

“แค่คนเจ้าชู้บางคนที่อยู่ข้างบ้าน”

“...”

ทำไมเขาถึงเงียบล่ะ ฉันเลิกคิ้วอย่างุนงงหน่อยๆ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออกพอดี คุยกันมาตั้งนานฉันก็เพิ่งจะนึกออกว่าลืมถามชื่อเขานี่นา ถึงจะมองใบหน้าของเขาไม่ค่อยชัดเพราะฉันกำลังมึนๆ และในบาร์นี้มืดมากก็ตาม แต่อย่างน้อยรู้ชื่อเขาไว้ก็ไม่เสียหายสักหน่อย

“แล้วนายชื่ออะไรเหรอ“

“หึ ไม่ต้องรู้หรอก”

ฉันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย มึนงงกับคำตอบของร่างสูงใหญ่เล็กน้อย แล้วก็รีบต้องจับเสื้อยืดของเขาเอาไว้แน่น ทันทีที่รู้สึกเวียนหัวจนเซเกือบล้มลงไปที่พื้น

หมับ!

“อืม นายดูคุ้นจัง”

ทันทีที่ท่อนแขนแข็งแรงโอบรอบเอวบางไว้แล้วดึงตัวฉันเข้าไปใกล้เพื่อไม่ให้ล้ม ทำให้ฉันได้กลิ่นน้ำหอม และกลิ่นบุหรี่จางๆ แสนจะคุ้นเคยจากร่างสูงใหญ่มากกว่าเดิม

“เหรอ คุ้นยังไง”

”ไม่รู้สิ แต่ฉันชอบกลิ่นแบบนี้”

“เมาแล้วขี้อ่อยนะเราน่ะ”

ร่างสูงใหญ่ที่กำลังโอบกอดรอบเอวบางไว้โน้มลงมากระซิบเสียงเข้มต่ำติดจะแหบพร่าหน่อยๆ ข้างใบหูของฉัน ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่ผะแผ่วบริเวณซอกคอขาวทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว ฉันหลับตาลงเพื่อควบคุมสติของตัวเอง และเริ่มรู้สึกปวดหัวเกินกว่าจะทนได้อีก ให้ตายสิ ง่วงชะมัดเลย…

“มีคนบอกแบบนี้เหมือนกัน”

“พี่ไม่ชอบ“

“อะไร... อื้อ”

จู่ๆ ริมฝีปากอุ่นร้อนก็กดจูบลงมาที่ซอกคอของฉันอย่างแรงหนึ่งทีจนรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย แต่อาการมึนเพราะดื่มแอลกอฮอร์ที่มากเกินไป ทำให้ฉันเผลอยกแขนทั้งสองข้างคล้องโอบรอบลำคอแกร่งไว้แน่นแทน ขาของฉันก็รู้สึกอ่อนแรงไปหมด ง่วงและปวดหัวมากเลยอะ บ้าจริง

หมับ!

“เด็กดื้อ”

และสิ่งสุดท้ายที่รับรู้คือร่างกายของฉันลอยขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง แถมฉันยังได้กลิ่นที่แสนคุ้นเคยจากร่างสูงใหญ่ได้ชัดเจนมากขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่สติของฉันและทุกอย่างจะวูบดับไปทันที…

ฉันค่อยๆ ขยับร่างกายและลืมตาขึ้นช้าๆ และอาการปวดหัวตุบๆ ก็ทำให้ฉันต้องยกมือบางขึ้นมากุมขมับไว้ ให้ตายเถอะ สงสัยเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย แล้วนี่ฉันกลับบ้านมาได้ยังไงกันล่ะเนี่ย

“อึดอัดชะมัด”

ฉันลุกขึ้นยืนข้างเตียงแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ ชุดเดรสสีดำตั้งแต่เมื่อคืนยังอยู่บนตัวฉันอยู่เลย บ้าจริง สติหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ สงสัยพี่เจคงจะขับรถมาส่งฉันเหมือนทุกครั้งอีกแล้วแน่ๆ

“เอ๊ะ… รอยอะไรอะ”

หลังจากอาบน้ำเสร็จฉันก็เดินมาแต่งตัวตามปกติ แต่ระหว่างที่กำลังจะทาครีมสายตากลับเหลือบไปเห็นรอยแดงๆ ตรงซอกคอขาวของตัวเองซะก่อน ยุงกัดงั้นเหรอ? แต่รอยมันไม่น่าจะใช่นะ ยุงอะไรจะกัดจนแดงขนาดนี้กันล่ะ ในระหว่างที่กำลังสงสัยรอยแดงๆ บริเวณซอกคอ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ฉันเลยหยิบขึ้นมาดูก็เห็นเป็นพี่เจที่โทรเข้ามา ทำไมพี่เจโทรมาเช้าจัง เมื่อคืนเขาไม่แฮงคืหรือไงน่ะ

“ว่าไงพี่เจ”

[แกฟื้นได้แล้วเหรอ]

ทันทีที่ฉันกดรับสาย พี่เจถามขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่มันก็ดังพอให้ฉันได้ยินอยู่ดี ฉันยักไหล่และเบ้ปากเล็กน้อยถึงแม้ว่าพี่เจจะไม่เห็นก็ตาม

”ฟื้นแล้ว ขอบคุณมากนะพี่เจที่แบกกลับบ้าน”

ฉันเอ่ยขอบคุณพี่เจที่คอยมาส่งฉันที่บ้านทุกครั้งเวลาที่ฉันเมาจนภาพดับ ให้ตายสิ เครียดทีไรเมาไม่รู้เรื่องทุกทีเลย ฉันนี่มันแย่ชะมัด ทำไมถึงเมาแล้วชอบเป็นแบบนี้ทุกทีก็ไม้รู้

[อะไรของแกวะ]

“ก็ขอบคุณที่เมื่อคืนมาส่งขวัญที่บ้านไง พี่งงอะไรเนี่ย” เสียงพี่เจดูเหมือนจะงุนงงกับคำพูดของฉันจนต้องพูดดังขึ้นกว่าเดิม เขาจะมางงอะไรอะ ฉันพูดเข้าใจยากตรงไหนกัน บ้าชะมัด

[แกนั่นแหละงงอะไร ฉันไม่ได้ไปส่งแก]

“ถ้าพี่เจไม่ได้มาส่งขวัญ แล้วใครอะ” ฉันกะพริบตาปริบๆ และต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างสับสนทันทีที่ได้ยินพี่เจพูดออกมาแบบนั้น นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย

[นี่แกจำไม่ได้เลยเหรอวะ]

“ไม่อ่ะ ขวัญจำไม่ได้” เสียงพี่เจดูแปลกใจที่ฉันยังบื้อถามอะไรไม่รู้เรื่องสักอย่าง แถมฉันยังแอบได้ยินเขาถอนหายใจแรงใส่ด้วยอะ ก็คนมันเมาจะไปรู้ได้ยังไงเล่า!

[อยากรู้มั้ยว่าใครไปส่งแกที่บ้าน]

“ใครอ่ะ”

ฉันเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยทันที แล้วทำไมพี่เจต้องทำอะไรให้ต้องลุ้นด้วยก็ไม่รู้ ชาตินี้ฉันจะรู้ไหมว่าไปเมาแล้วกลับมาที่บ้านของตัวเองได้ยังไงน่ะ

[พี่คินของแกไงจะใครล่ะ]

”อะไรนะ!” ทันที่ที่พี่เจพูดจบฉันก็แหกปากตะโกนเสียงดังใส่โทรศัพท์มือถือด้วยความตกใจอย่างรวดเร็ว เมื่อกี้พี่เจบอกว่าใครมาส่งฉันนะ?!

[โอ้ย แกจะเสียงดังทำไมเนี่ย]

“พี่...พี่คินน่ะเหรอมาส่งขวัญ”

ฉันถามเสียงตะกุกตะกักอย่างมึนงงเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง หัวใจก็เต้นตึกตักรัวเร็วขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ให้ตายสิ ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้แบบนี้ล่ะ!

[เออ ฉันเห็นแกไปอ่อยพี่คินด้วยนะ ทำเป็นจำไม่ได้]

“อ่อยด้วย?!”

โอ๊ย! ให้ตายเถอะยัยขวัญ เมาไม่รู้เรื่องไม่พอ ฉันยังจะไปอ่อยพี่คินอีกงั้นเหรอ แล้วอ่อยยังไงนี่ก็จำไม่ได้อีกต่างหาก บ้าชะมัดเลย เมื่อคืนนี้ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย!

[ตอนนี้ทำเป็นตกใจ ไม่ทันแล้วเหอะ แค่นี้ก่อนนะ ฉันทำงานก่อน]

แล้วพี่เจก็ตัดสายไปตอนไหนไม่รู้ เพราะฉันมัวแต่เหม่อและนั่งคิดเรื่องที่พี่เจเพิ่งพูดกรอกหูเกี่ยวกับความจริงของตัวเองที่ทำเอาไว้เมื่อคืนนี้ และพอตั้งสติได้ฉันก็ยกมือบางขึ้นมาลูบที่รอยแดงตรงซอกคอไปมาอย่างสงสัย

ถ้าเมื่อคืนนี้ฉันเมาแล้วไปอ่อยพี่คิน แถมเขายังหอบฉันมาส่งที่บ้านอีก อย่าบอกนะว่ารอยแดงๆ ที่คอของฉันพี่คินเป็นคน... บ้า! เป็นไปไม่ได้หรอก มันคงไม่ใช่แบบที่ฉันคิดแน่ๆ เอ่อ… แล้วทำไมฉันต้องหน้าแดงด้วยล่ะ!

“หยุดคิดอะไรบ้าๆ ได้แล้วยัยขวัญ!”

ฉันทึ่งหัวตัวเองที่เอาแต่คิดเรื่องรอยแดงบริเวณซอกคอกับเรื่องของพี่คินจนสับสนไปหมด ฉันคงต้องหาอะไรทำระหว่างปิดเทอมหลายเดือนนี่แล้วล่ะ ไม่งั้นคงได้คิดแต่เรื่องของพี่คินตลอดปิดเทอมนี้แน่ๆ ให้ตายสิ ว่าแต่ฉันจะไปทำอะไรดีล่ะ ถ้าไปทำพาร์ทไทม์ที่อู่พี่เซนกับเพ้นท์ก็ต้องเจอกับพี่คินอีก ไม่เอาดีกว่า… อันนั้นจะทำให้ฉันยิ่งคิดฟุ้งซ่านไปกันใหญ่

ช่วงนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยอยากเจอพี่คินยังไงก็ไม่รู้ มันเหมือนกับว่าตัวเองไปทำอะไรไม่ค่อยดีไว้กับเขาแล้วไม่กล้าสู้หน้าเลยอะ ฉันทำอะไรดี...

เอ๊ะ! และเมื่อฉันนึกอะไรบางอย่างออกก็รีบแต่งตัว แล้วคว้ากุญแจรถยนต์ของตัวเองลงมายังชั้นล่าง แต่พออกมาหน้าบ้านก็ต้องรีบเก็บกุญแจรถยนต์ใส่กระเป๋าสะพาย และเลือกหยิบจักรยานสีชมพูหวานแหว๋วของตัวเองที่ไม่ได้ใช้งานมานานแทน หวังว่าจะมีอะไรให้ฉันทำเร็วๆ นะ ฉันไม่อยากฟุ้งซ่านเรื่องพี่คินอีกแล้ว…

@ร้านสึกิไอศกรีมพาเฟ่ต์

แต่ฉันคงลืมไปว่านี่ประเทศไทย เพราะถ้าคิดได้เร็วกว่านี้ฉันคงไม่ปั่นจักรยานต์ออกมากลางแดดจ้าแบบนี้หรอก ให้ตายสิ! อุตส่าห์อยากโดนลมเย็นสบายๆ พัดผ่านใบหน้าบ้างจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ฉันลืมไปยังไงว่าอากาศตอนนี้มันร้อนจนแทบจะเป็นลม บ้ามากยัยขวัญ นอกจากจะเมาไม่รู้เรื่องชอบอ่อยไปทั่ว แล้วยังจะบื้อได้ขนาดนี้อีก เหอะ!

หลังจากที่จอดจักรยานสีชมพูหวานแหว๋วของตัวเองเสร็จ ฉันก็เดินเข้าไปในร้านไอศกรีมพาเฟ่ต์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ และใกล้กับมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังที่แคทเรียนด้วย ร้านตกแต่งได้น่ารักสุดๆ ดูเป็นโทนสีน้ำตาล ชมพู และครีมอย่างลงตัวคล้ายๆ กับพาเฟ่ต์เลยในญี่ปุ่นเลย แถมแอร์เย็นๆ ภายในร้านก็ทำให้ฉันเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที

“สวัสดีครับ”

ฉันเงยหน้ามองพนักงานร้านผู้ชายรูปร่างสูง หน้าตาดีมาก ย้ำว่ามาก! ที่ร้านนี้คัดหน้าตาหรือเปล่า ทำไมมีแต่พนักงานหน้าตาดี ขนาดพนักงานผู้หญิงยังหน้าตาน่ารักเลยอ่ะ

“เอ่อ...คือว่าที่นี่รับพนักงานพาร์ทไทม์มั้ยคะ”

ฉันเอ่ยถามเสียงอึกอักหน่อยๆ พร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้เขาอย่างทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นัก เพราะฉันเพิ่งมาสมัครงานครั้งแรกเลย ตื่นเต้นเหมือนกันแฮะ

“รอสักครู่นะครับ”

ฉันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ แล้วพนักงานผู้ชายคนเดิมก็เดินหายเข้าไปทางหลังร้าน สักพักเขาก็ออกมาพร้อมกับผู้ชายอีกคนที่ดูเท่ชะมัด

“มาสมัครงานเหรอ”

ฉันยืนมองผู้ชายตรงหน้าพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ สองสามทีอย่างงุนงง เขาคงเป็นเจ้าของร้านนี้แน่เลย ฉันคิดว่าร้านน่ารักๆ แบบนี้จะมีเจ้าของเป็นผู้หญิงซะอีก แต่กลายเป็นผู้ชายหล่อเท่แบบนี้ไปได้

“ค่ะ มาสมัครพาร์ทไทม์ค่ะ” ฉันตั้งสติและยิ้มกว้างอย่างสดใสส่งไปให้เขาทันที

“ชื่ออะไรล่ะ พี่ชื่อตุลย์นะ“

“เอ่อ...ขวัญค่ะ” พี่ตุลย์ส่งยิ้มบางมาให้ฉันเล็กน้อย ฉันเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลบไปเพราะไม่รู้จะทำตัวยังไงดี คนอะไรแค่ยิ้มมุมปากก็เท่ได้

“ขวัญกรอกใบสมัครแล้วพรุ่งนี้มาทำงานได้เลย“

“อะไรนะคะ?”

ฉันเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจและถามพี่ตุลย์เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ที่นี่เขารับรับพนักงานกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ เอาจริงดิ?! ไม่สัมภาษณ์อะไรเลยแบบนี้ก็ได้อย่างงั้นเหรอ!

“หึ พรุ่งนี้เริ่มงานได้ ตกใจอะไร”

”คือ...ขวัญแค่งงว่าไม่สัมภาษณ์เลยเหรอคะ”

ฉันยืนเงยหน้ามองพี่ตุลย์ด้วยความมึนงงไม่หาย เขาส่งยิ้มบางพร้อมกับยักไหล่ส่งมาให้เบาๆ แล้วพี่ตุลย์ก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวฉันสองสามที

“ไม่ต้องหรอก ขวัญน่ารักจะทำแบบนั้นทำไมให้เสียเวลา”

ฉันยืนนิ่งอึ้งกับคำตอบตรงไปตรงมาของพี่ตุลย์ ตกลงร้านนี้รับพนักงานที่หน้าตาใช่ไหม ตอบ?! แต่เจ้าของร้านกับการตกแต่งร้านคาเฟ่นี่ก็ต่างกันชะมัดเลย

“ขะ... ขอบคุณค่ะ”

“พี่ขอตัวไปทำธุระก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกัน”

ฉันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจแล้วยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้นที่ได้งานทำพี่ตุลย์เดินไปยังรถยนต์คันหรูสีเหลืองที่จอดอยู่หน้าร้าน จากนั้นเขาก็ขับออกไปด้วยความรวดเร็ว เป็นการรับพนักงานพาร์ทไทม์ที่รวดเร็วดีจริงๆ

“พี่ตุลย์ก็เป็นแบบนี้แหละ อารมณ์ติสๆขัดกับร้านใช่มั้ยล่ะ แต่เดี๋ยวอยู่ไปนานๆก็ชินเองแหละ อ้อ...ฉันดิวนะ มีอะไรปรึกษาได้”

ฉันหันไปยิ้มกว้างให้พนักงานชายที่ฉันเจอตอนเพิ่งเข้ามาในร้านอีกครั้ง ดิวหันมาบอกฉันด้วยรอยยิ้มสดใสอย่างเป็นมิตร แต่จะว่าไปพี่ตุลย์ก็ดูนิสัยติสแตกสุดๆ อย่างที่ดิวบอกนั่นแหละ ติสแตกจนฉันมึนงงไปหมด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel