EPISODE - 02 / 1
“โอ้ย! เหนื่อยจัง พลังงานหมดแล้วเนี่ย”
เสียงติ๊ต่างบนอุบอิบตั้งแต่เรียนคลาสสุดท้ายของภาคเช้าเสร็จ
“แค่สองชั่วโมงทำมาเป็นบ่น” ไทม์บ่นให้ติ๊ต่างอีกที
‘ติ๊ต่าง’ เป็นเพื่อนฉันอีกคน แต่เธอจะสนิทกับไทม์มากกว่าฉัน เราสามคนเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันตั้งแต่ตอนอยู่ปีสามเทอมสอง ติ๊ต่างเป็นผู้หญิงที่สวย เพอร์เฟคทุกอย่าง
ส่วน ไทม์ เป็นหนุ่มหล่อดีกรีนักดนตรีมหา’ลัย ที่สาวๆ ต่างหมายตา
“ใช่สิ! ก็แกเพิ่งมาถึงได้แค่ชั่วโมงเดียวเองนี่ยะ” อย่างที่ติ๊ต่างค้อนให้นั่นแหละ
ฉันใช้เวลานั่งแท็กซี่บนท้องถนนที่รถลาติดขัดเกือบชั่วโมงเพราะคอนโดเฮียนาวิทย์ไกลกว่าระยะทางจากบ้านฉันมามหา’ลัยอีก
“โอ๋ๆ วาขอโทษน้า งั้นเอางี้ เดี๋ยวเย็นนี้วาเลี้ยงหนม” ติ๊ต่างเป็นคนที่ติดขนมมาก เธอชอบกินแต่ไม่ยักกะอ้วนสักที
“พูดแล้วห้ามคืนคำ ใครคืนคำคนนั้น...” เธอหยุดคำพูดไว้ยิ้มกรุ่มกริ่ม
“คนนั้นอะไร พูดให้มันดีๆ” ไทม์เดือดร้อนแทน
“นี่ใคร วาวาคนสวยนะจ๊ะ!” ฉันยิ้มร่าให้กับเพื่อนทั้งสองคน ทำเอาติ๊ต่างยิ้มด้วยความพอใจที่ฉันยืนยันว่าจะเลี้ยงเธอ
@ห้างxxx
หลังจากจบคลาสสุดท้ายตอนบ่ายโมง ฉัน ติ๊ต่างและไทม์ ก็มาเดินห้างใกล้ๆ
มหา’ลัยโดยอาศัยรถหนุ่มหล่อแบบไทม์มา
“แก ฉันอยากกินซูชิปลาดิบอะ” ติ๊ต่างจิ้มไหล่ฉันจึกๆ ทำหน้าออดอ้อนเหมือนแมวน้อยขออาหารไม่มีผิด
“น้อยๆ หน่อย พอยัยวาบอกจะเลี้ยงแกเอาใหญ่เลยนะยัยหมูตอน”
ไทม์แขวะให้ติ๊ต่าง ฉันลืมบอกไปใช่ไหม สองคนนี้รู้จักกันตั้งแต่สมัยมอปลาย แล้วก็เลือกมาเรียนที่เดียวกันแถมยังคณะเดียวกันอีก นี่ถ้าบอกว่าไทม์ตามจีบติ๊ต่างฉันก็เชื่อนะ
“เอ้าไอ้นี่! ไม่รู้เหรอว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก โอ๊ย! ไอ้บ้าไทม์เจ็บนะว้อย!”
ฉันยืนยิ้มขำให้กับความลิ้นกับฟันของสองคนนี้ ตอนที่ติ๊ต่างกำลังทำหน้าเหมือนคนเหนือกว่าก็ถูกไทม์หยิกแก้มจนย้วย ทำให้คนถูกกระทำโวยวายลั่นห้าง
“พอแล้วทั้งสองคน วาอายคนอื่นเขา” ฉันรีบห้ามทัพ ขืนปล่อยไว้มีหวัง รปภ. ได้เดินมาไล่เราทั้งสามออกจากห้างข้อหาทำความวุ่นวายแน่ๆ
“ไปกันวา ไปกินซูชิกัน ใครไม่เกี่ยวไม่ต้องตามมา”
ฉันสั่นหัวน้อยๆ ให้กับความขี้ประชดของเพื่อนสาว แต่มีเหรอที่ไทม์จะไม่ตามมา
ที่ไหนมีติ๊ต่างที่นั่นต้องมีไทม์ติดสอยเป็นเงาตามตัว
พวกเราใช้เวลากินและเดินเล่นในห้างจากบ่ายโมงกว่าๆ จวบจนตอนนี้เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะมีเพื่อนทั้งสองคนนี้อยู่ด้วยหรือเปล่าทำให้ฉันลืมวันเวลาไปเสียสนิท
มันมีความสุขนะเวลาคนรอบข้างมีรอยยิ้มให้กับเรา
“วากลับไงอ่ะ วันนี้คุณตินรูปหล่อมารับเปล่า” ติ๊ต่างถามตอนที่เรากำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน “เดี๋ยววาลองโทรหาตินก่อนแล้วกัน เมื่อเช้าเห็นบอกว่าไม่สบาย”
ฉันล้วงโทรศัพท์กดเบอร์โทรหาบอดี้การ์ดทันที รอสายเพียงไม่นานตินก็บอกว่าเดี๋ยวจะออกมารับ แต่อาจจะช้าหน่อยเพราะว่าช่วงเย็นแบบนี้รถจะติดคูณสิบ
หลังจากล่ำลาเพื่อนๆ เสร็จ ฉันก็เดินมารอตินที่หน้าห้าง นั่งรอที่สุ้มแถวๆ ฟุตบาธ มองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้คลายเหงา
“แม่คะ หนูอยากกินไอติมตรงนั้น” เสียงเล็กใสแจ๋วเอื้อนเอ่ยบอกผู้เป็นแม่
“ไอติมอีกแล้ว น้องไมล์ยิ่งป่วยง่ายอยู่นะลูก” เสียงผู้เป็นแม่ห้ามปราม แต่ก็ไม่ได้เสียงแข็งเท่าที่ควร ฟังแล้วดูห่วงใยระคนเห็นใจลูกน้อยมากกว่า
“น้องไมล์ป่วยก็มีคุณแม่อยู่ข้างๆ แปบเดียวน้องไมล์ก็หายค่ะ”
แวบหนึ่งเหมือนฉันเห็นภาพซ้อนจากคำพูดของเด็กคนนี้
ภาพตอนที่มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบเอ็ดขวบนอนพะงาบๆ ตัวแดงเถือกเพราะอุณหภูมิร่างกายสูงเกือบสามสิบเก้าองศา เธอนอนร้องไห้น้ำตาคลอด้วยความทรมาน
‘ม๊า ม๊าอยู่ไหน’ เด็กคนนั้นร้องเรียกหาแต่ผู้เป็นแม่แม้เสียงนั้นจะดังแค่ในลำคอ
‘วา วาลูกแม่’ รอเพียงไม่นานคนที่เธออยากเจอมากที่สุดก็ปรี่เข้ามาหา
สัมผัสจากหลังมืออุ่นตะปบแผ่วเบาลงตรงหน้าผากเพื่อวัดไข้
‘ตัวร้อนแบบนี้ทำไมไม่มีใครพาไปหาหมอ’ คล้ายกับเธอกำลังพาลให้คนทั้งบ้าน
‘วารอม๊า แค่มีม๊าอยู่วาก็หายแล้ว’ เด็กเอาแต่ใจคนนั้นยังคงยิ้มฝืน ‘โถ่! วาลูกแม่’
อ้อมกอดอันอบอุ่นของแม่เปรียบเสมือนยาวิเศษขับไล่พิษไข้ให้มลายหายไป
ปรี้น! เสียงแตรรถดังลั่นทำให้ฉันสะดุ้งตัวได้สติกลับมายังปัจจุบัน
“ค...คุณหนูร้องไห้ทำไมครับ” คำถามร้อนรนของตินทำให้ฉันยกมือลูบหน้า
“เปล่าค่ะ สงสัยวาจะนั่งตากลมนานไปเลยแสบตา” ฉันเลือกโกหก
ยกมือปาดน้ำตาตัวเองแล้วเดินไปยังรถเบนซ์ที่ตินจอดรออยู่ไม่ไกล
พวกเราใช้เวลาเดินทางบนท้องถนนเกือบๆ ชั่วโมง พอตัวรถเคลื่อนเข้าจอดตรงตำแหน่งของตัวมันเองเสร็จฉันก็รีบก้าวเท้าเดินไปยังจุดที่สะดุดตาตอนเข้ามา