EPISODE – 01 / 2
หมับ! จังหวะที่กำลังเดินไปขึ้นรถของทางบ้านที่ต้องไปรับ-ส่งฉันที่มหา’ลัย แรงกระชากที่ต้นแขนจากด้านหลังก็ทำให้ฉันเกือบเสียหลัก โชคดีที่วันนี้ฉันใส่รองเท้าผ้าใบเลยยั้งตัวไว้ได้ทัน
“เฮียวิทย์มีอะไรเหรอคะ” หันไปถามเจ้าของแรงกระชาก
“ให้เฮียไปส่ง วันนี้เห็นตินบอกว่าไม่ว่าง” ฉันขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำนั้น
‘ติน’ เปรียบเสมือนบอดี้การ์ดคนสนิทของฉัน เขาอายุห่างฉันประมาณสี่ปี ทำหน้าที่ขับรถไปส่งฉันที่มหา’ลัยและคอยพาไปทำธุระต่างๆ นานา
“แต่ตินไม่ได้บอกวาล่วงหน้าเลยนี่คะ” ฉันตอบกลับไปด้วยความสงสัย
ปกติหากตินไม่ว่างเขาจะต้องบอกฉันล่วงหน้า และนับครั้งได้เลยที่เขาจะละเลยหน้าที่เหมือนวันนี้ที่เฮียนาวิทย์บอก
“พอดีมันป่วยกะทันหัน อย่าไปสนใจเลย ป้ะ เดี๋ยวเฮียไปส่ง” ไม่ว่าเปล่านาวิทย์ยังถือวิสาสะแย่งหนังสือในอ้อมกอดฉันไปถือหน้าตาเฉย
“เฮ้อ!” ฉันได้แต่ถอนหายใจเดินตามเขาไปขึ้นแลมโบฯ สีขาวรถคู่ใจของเขา
ทางที่ไปมหา’ลัยค่อนข้างไกลนิดหน่อย แถมวันนี้รถติดมากกว่าทุกๆ วัน อาจจะเพราะยังทำรถไฟลอยฟ้าไม่เสร็จมั้งเลยทำให้การจราจรติดขัดแบบนี้
“อ๊ะ! นั่นเฮียจะไปไหน” ฉันรีบเอ่ยถามเมื่อรถเปลี่ยนเส้นทาง แทนที่จะขับตรงไปเพื่อไปยังจุดหมายคือมหา’ลัยฉัน แต่เฮียนาวิทย์กลับเลี้ยวซ้ายไปอีกทาง
“พอดีเฮียลืมว่าต้องไปเอาเอกสารสำคัญให้พ่อ วาไม่รีบใช่ไหม?”
“…” ฉันได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ พยักหน้าตอบกลับไป มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อควานหาโทรศัพท์ส่งข้อความหาเพื่อนในกลุ่ม
Me : อาจจะเข้าสาย รถติดมาก
Time cute : โอเคเดี๋ยวเราเช็คชื่อให้
ฉันส่งข้อความเข้าไลน์กลุ่ม ไม่นานไทม์ก็ไลน์ตอบกลับมา ‘ไทม์’ เป็นเพื่อนที่พอสนิทกันตั้งแต่ปีสาม ฉันเปิดอ่านพร้อมกับส่งสติ๊กเกอร์ทำหน้าสำนึกผิดกลับไป เก็บมือถือเข้ากระเป๋าตามเดิม
“วาขึ้นไปกับเฮียก่อนดีกว่า เฮียไม่รู้ว่าเอาเอกสารไปไว้ตรงไหน มันต้องใช้เวลาหานิดหน่อย” รถจอดที่หน้าคอนโดหรูของเฮียนาวิทย์ เขาชวนฉันลงไปแต่ฉันไม่กล้า
ไม่ใช่ไม่กล้าอย่างเดียว แต่ฉันกลัว!
เคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีอย่างที่ทุกคนคิด “เอ่อ...”
“นั่งอยู่ในรถมันอุดอู้ ขึ้นไปกับเฮียแปบเดียวเอง”
ไม่ว่าเปล่า เฮียนาวิทย์เอื้อมมือมาลูบที่แขนฉันไปด้วย ความรู้สึกกลัวแล่นพร่านในกาย สัมผัสที่ชวนขนลุกเพราะไม่น่าไว้วางใจกำลังต่อต้านการกระทำของเขา
“วา... เดี๋ยววาไปรอที่ร้านกาแฟตรงนั้นดีกว่าค่ะ เมื่อเช้ายังไม่ได้ทานอะไรพอดี”
สายตาฉันเหลือบไปเห็นร้านกาแฟที่อยู่ริมฟุตบาธหน้าคอนโดเขาพอดีเลยรีบใช้เป็นข้ออ้าง หวังว่าเขาคงไม่บ้าระห่ำลากฉันขึ้นห้องกลางวันแสกๆ หรอก ใช่ไหม?
“ตามใจ!” น้ำเสียงไม่พอใจถูกส่งออกมา จากนั้นเสียงปิดประตูรถฝั่งเขาก็ดังลั่น
ลับหลังร่างสูงฉันก็ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
@Aroi café’
ฉันเดินมาถึงหน้าร้านอร่อยคาเฟ่ ที่ตกแต่งสไตล์น่ารักๆ เหมาะสำหรับคู่รักหรือสาวๆ ที่ชอบความหวานแหววมานั่งดื่มเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ชิวล์ๆ
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีค่ะ” พนักงานรูปร่างผอมสูงใส่ชุดเมดเดินมารับออเดอร์
“ขอนมปั่นราดช็อกโกแลตแก้วหนึ่งค่ะ” ฉันสั่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
รอเพียงไม่นานพนักงานคนเดิมก็นำออเดอร์ที่สั่งมาเสริฟ ฉันที่นั่งอยู่คนเดียวไม่มีอะไรทำเลยเสมองออกไปนอกร้านผ่านกระจกใส มองดูผู้คนวัยทำงานที่กำลังวิ่งวุ่นออกไปทำหน้าที่ของตนเองในเวลาเกือบแปดโมงเช้า
ถ้าเรียนจบฉันคงจะมีชีวิตที่วุ่นวายแบบนี้สินะ ในหัวพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ฉันนั่งรอเฮียนาวิทย์จนนมสดที่สั่งหมดไปแล้วครึ่งแก้ว เหลือบสายตามองเวลาที่นาฬิกาติดผนังล่วงเลยไปแล้วเกือบสิบห้านาที
นี่สินะที่เขาชวนฉันไปรอบนห้องด้วย เพราะว่ามันกินเวลานานขนาดนี้สินะ
“เฮ้อ!” ฉันเป่าลมออกจากปากแก้เซ็ง
ไม่รู้สิ การที่ต้องมานั่งติดแหง็กอยู่ในร้านที่มีคนเข้าออกพลุกพล่านแบบนี้ไม่ใช่สไตล์ฉันเท่าไหร่ ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้า ฉันเป็นพวกเก็บเนื้อเก็บตัวชอบอยู่ที่สงบๆ แต่ไม่ชอบอยู่ตัวคนเดียวเวลากลางคืน
“นานไปแล้วมั้ง!” ตอนนี้นมปั่นฉันหมดแก้วเรียบร้อยแล้ว และเวลาจากสิบห้านาทีตอนนี้เริ่มจะกลายเป็นครึ่งชั่วโมง ฉันที่นั่งรออยู่ในร้านเกือบครึ่งชั่วโมงด้วยนมปั่นเพียงแก้วเดียวแค่คิดก็รู้สึกอายเจ้าของร้านและพนักงานเสิร์ฟแล้วล่ะ
“ไปรอที่รถดีกว่า”
มองไปรอบๆ ร้าน ลูกค้าเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปหลายต่อหลายคนแล้ว มีแค่ฉันที่นั่งหน้าเดิมๆ อยู่ที่โต๊ะเดิมๆ พร้อมนมแก้วเดิมที่หมดไปแล้ว เลยตัดสินใจเดินไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์และตรงดิ่งไปยังจุดจอดรถของเฮียนาวิทย์
กึก! สองขาหยุดชะงักเมื่อรถที่ควรจอดอยู่ตรงนี้มันไม่อยู่แล้ว
“รถไปไหน” พึมพำถามตัวเอง สายตามองหารอบๆ เผื่อว่าเฮียนาวิทย์จะเคลื่อนรถไปจอดที่อื่นตอนที่รอฉันกลับมา แต่มองเท่าไหร่กลับไม่พบแม้แต่เงารถคันหรูเลยสักนิด
ติ๊ด ติ๊ด
ฉันตัดสินใจล้วงเอาโทรศัพท์มาต่อสายหาเจ้าของรถที่หายไป รอเพียงไม่นานเขาก็กดรับสาย “เฮียอยู่ไหนคะ?” ไม่รีรอฉันถามออกไปด้วยอารมณ์กึ่งหงุดหงิด
[อยู่ออฟฟิศ] คำตอบจากปากปลายสายเสียงนิ่งเรียบทำให้ฉันอ้าปากค้าง
เขาพาฉันมาที่คอนโดเขาเพื่อเอาของ ฉันบอกจะรอเขาที่ร้านกาแฟ แต่ตอนนี้เขากลับทิ้งฉันไว้ที่นี่แล้วตัวเองอยู่ที่ออฟฟิศ?
“ทำไมเฮียไม่รอวา” ฉันถามเสียงฉุน
[โทษทีเฮียรีบ]
เป็นคำตอบที่โคตรจะซึ้ง! “ทีหลังถ้ารีบไม่ต้องอาสาไปส่งวาเหมือนครั้งนี้”
“วาโตแล้วต่อให้ตินไม่ว่างคนอื่นที่บ้านก็สามารถไปส่งวาได้ ขอบคุณนะคะที่ทำให้วาเข้าเรียนสายไปหนึ่งคาบ ติ๊ด!” ฉันสวดยับให้กับความเห็นแก่ตัวของนาวิทย์
อารมณ์คุกรุ่นทำให้ฉันเตะกระป๋องโค้กที่อยู่ใกล้ๆ ลอยละริ่วไปอีกทาง
“เสียเวลาชะมัด!” ปากก็บ่น เท้าก็ก้าวเดินเพื่อไปเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่มหา’ลัย
กึก! เท้าฉันหยุดเดินอีกรอบ เมื่อภาพสยดสยองนั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
“ฟู่ๆ” ฉันพ่นลมออกจากปากพร้อมกับสูดอากาศหายใจเข้าปอดลึกๆ
ตั้งแต่ที่เห็นรถม๊าระเบิดในครั้งนั้น ฉันก็กลายเป็นโรคหวาดกลัวรถยนต์ทุกชนิด แต่ถ้าหากมีคนที่รู้จักหรือไว้ใจและสนิทสนมฉันยังพอทำใจที่จะนั่งไปด้วยได้
“ไม่เป็นไรวาวา แกทำได้!” ฉันให้กำลังใจตัวเองเสร็จก็กวักมือเรียกแท็กซี่สีชมพูที่วิ่งมาจวนจะถึงตัวทันที “ไปมหา’ลัย LMA ค่ะ” บอกจุดหมายเสร็จฉันก็กอดกระเป๋าสะพายแนบอก หลับตาเพื่อผ่อนคลายไม่ให้ร่างกายเกร็งจนเกินไป นับหนึ่งถึงร้อยไปเรื่อยๆ
อีกนิดเดียวๆ ฉันท่องคำนี้ในใจตั้งแต่ก้าวขึ้นนั่งบนแท็กซี่ จวบจนถึงปลายทาง