EPISODE – 01 / 1
ก๊อกๆ
“คุณหนูคะ คุณท่านให้มาตามค่ะ” เสียงพี่แจ๋วแม่บ้านตะโกนเรียก
“ค่ะ วาแต่งตัวเสร็จแล้วกำลังลงไป” ฉันร้องบอกพี่แจ๋วพร้อมกับเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายและหนังสือเรียนสองเล่มขึ้นมาถือไว้
ฉันชื่อ ‘วาวา’ วรินทิรา อภิมหาสกุล อายุ 22 ปี นักศึกษามาหาลัยเอกชน LMA คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะรับปริญญาแล้ว
“ยัยวา มานี่ก่อนลูก” เสียงอันทรงอำนาจที่แหบพร่าตามวัยของ ‘ท่านบารมี’ หรือบิดาฉันดังขึ้นทางห้องรับแขกที่อยู่เยื้องจากบันไดที่ฉันกำลังเดินลงมา ฉันเดินตรงมายังห้องรับแขกตามเสียงเรียกของผู้เป็นพ่อ
ภายในโซฟาหลุยส์ตัวหรูมีร่างสามร่างกำลังนั่งอยู่ก่อนแล้ว
หนึ่งคือพ่อที่นั่งอยู่โซฟาตัวเดี่ยว ถัดไปเป็นโซฟาตัวยาวที่มีหญิงวัยกลางคนท่าทางคุณหญิงคุณนายนั่งเชิดหน้ามองมาทางฉันตาเป็นมัน และถัดไปเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งผมดำขลับลูกชายของหญิงก่อนหน้า
“ป๊ามีอะไรกับวาเหรอคะ” ถามเพราะแปลกใจ ปกติป๊าอยู่ไม่ค่อยติดบ้านแบบนี้
นับครั้งได้เลยในรอบเดือนที่จะได้พูดคุยหรือแม้แต่เห็นหน้าท่าน อาจจะเพราะธุรกิจส่งออกและนำเข้าเครื่องยนต์กำลังรุ่ง ไหนจะบริษัทปล่อยเงินทุนให้กับชาวต่างชาติและไทยที่เครดิตดีหน่อยนั่นอีก เลยทำให้ท่านอยู่ไม่ค่อยติดบ้านเท่าที่ควรนัก
“อีกไม่กี่เดือนก็จะจบแล้วใช่ไหมเรา?” ป๊าถามทั้งๆ ที่ท่านก็น่าจะรู้อยู่แล้ว
“ค่ะ ป๊ามีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันไม่เข้าใจคำถามเท่าไหร่ หรืออยากให้ฉันไปช่วยดูงาน เพราะที่ฉันเรียนบริหารก็เพราะป๊าเป็นคนสั่งให้เรียน
“ป๊าอยากให้เราไปต่อโทที่เมืองนอก”
“…” ฉันตกใจกับคำสั่งของผู้เป็นบิดา
เรียนเมืองนอก แปลว่าฉันต้องอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่าลูกสาวคนนี้กินนอนคนเดียวในเวลากลางคืนได้ที่ไหน จิตใจท่านไม่คิดเป็นห่วงฉันเลยเหรอ?
นี่ท่านเหมือนกำลังขับไสไล่ส่งฉันให้ไปไกลหูไกลตาหรือเปล่า?
หรืออาจจะเป็นเพราะ ‘นารัน’ แม่เลี้ยงฉันเป่าหู? ภาวนาในใจขอให้เป็นดั่งความคิดสุดท้ายก็แล้วกัน
“แค่ต่อโท ทำไมวาถึงต่อที่ไทยไม่ได้...”
“ฉันสั่งให้ไปก็ไป นั่นมันดีต่ออนาคตของแก”
ดีต่ออนาคตฉัน? หรือดีต่อสายตาของภรรยาใหม่ป๊ากันแน่
ฉันกับแม่เลี้ยงคนนี้ไม่ค่อยถูกกัน ตั้งแต่ที่ม๊าเสียด้วยเหตุฆาตรกรรมเมื่อห้าปีก่อน ป๊าก็แต่งงานใหม่กับ ‘นารัน’ ที่มีลูกติดคือ ‘นาวิทย์’ และหลานสาวอย่าง ‘จิรา’
ป๊าแต่งงานใหม่ทั้งๆ ที่เรื่องจับฆาตรกรฆ่าแม่ยังไม่คืบหน้า และนี่ก็ผ่านมาแล้วถึงห้าปีคดีความของแม่ก็เงียบหายไปตามกาลเวลา
ตอนนั้นฉันเสียใจมาก กลายเป็นเด็กเก็บกดไม่ออกมาเจอผู้คน เอาแต่นอนกอดรูปแม่ร้องไห้อยู่ในห้องนอนของตัวเอง มีครั้งหนึ่งเกือบคิดฆ่าตัวตายตามแม่ไปเพราะทนแรงกดดันจากแม่เลี้ยงอย่างนารันไม่ไหว ฉันไม่รู้ว่าทำอะไรให้เธอจงเกลียดจงชังฉันนัก
ที่นี่คือบ้านที่ป๊ากับม๊าฉันสร้างมันมากับมือ ฉันมีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ มีสิทธิ์ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของ ‘อภิมหาสกุล’ แต่นารันกลับผลักไสไล่ส่งฉันให้ออกไปจากบ้านหลังนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส เธอทำตัวเป็นใหญ่ลับหลังผู้เป็นสามี กลั่นแกล้งฉันสารพัด แม้แต่ลงมือทุบตีฉันเธอก็เคยทำมาแล้ว
“แต่วาอยาก...” อยากอยู่ที่นี่
อย่างน้อยอยู่ที่บ้านหลังนี้ก็เหมือนได้ใกล้ชิดแม่ที่จากไป
“อย่ามาเถียง ฉันเป็นพ่อ อันไหนที่ว่าดีฉันตัดสินใจเอง”
“…” ฉันกัดปากแน่นจนได้กลิ่นคาวเลือดในโพรงปาก
ป๊าไม่เคยฟังความเห็นของฉัน ท่านเคยรู้จักลูกสาวคนนี้บ้างไหม?
ท่านเคยอยากจะกอด อยากหอมฉันบ้างหรือเปล่า?
นับตั้งแต่แม่จากไป ท่านก็เอาแต่บ้างาน สนใจแต่ครอบครัวใหม่อย่างนารันและลูกหลานของเธอ ฉันที่เป็นลูกสาวแท้ๆ แม้แต่ออกสิทธิ์ออกเสียงก็ยังถูกสั่งห้าม
“คุณพ่อครับ ขอผมพูดอะไรได้ไหม” เสียงเฮียนาวิทย์ที่นั่งเงียบอยู่นานดังขึ้น
“ว่ามาสิตาวิทย์” น้ำเสียงเอ็นดูช่างแตกต่างจากที่ใช้กับฉันอย่างสิ้นเชิง
“ผมว่าที่วาวาขอ คุณพ่อน่าจะลองทำตามนะครับ”
หลังจบคำพูดเฮียนาวิทย์ป๊าก็ทำหน้าครุ่นคิดตาม
“จะให้พ่อทำแบบนั้นเหรอ เราจะไม่ตามใจน้องไปเหรอตาวิทย์” ป๊าพูดทีเล่นทีจริงเย้าแหย่ลูกบุญธรรมตัวเอง ทำไมท่านไม่สนใจฉันเหมือนที่กำลังทำกับเฮียนาวิทย์บ้างนะ!
ความน้อยเนื้อต่ำใจกำลังรุมเร้าฉันอีกครั้ง
“ยัยวาเองก็โตแล้ว ผมว่าน้องก็อยากทำอะไรตามใจคิดบ้าง”
ถ้าคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากคนอื่นที่ไม่ใช่เขาฉันคงปลื้มปริ่ม
แต่นี่ไม่ใช่! นาวิทย์ไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่ป๊าและทุกคนกำลังเข้าใจ เขามีด้านมืดที่ฉันไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เล่าไม่ได้ เคยเล่าแล้ว แต่ป๊าและคนอื่นไม่เชื่อฉัน
ยกเว้นพี่พิมพ์คนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าสองแม่ลูกนี้ร้ายกาจเพียงใด
“ขอบคุณพี่เขาสิ! ฉันอนุญาตให้แกเรียนโทต่อที่นี่ แต่ถ้าผลการเรียนแกแย่ฉันจะส่งแกไปเมืองนอกทันทีห้ามค้านเด็ดขาด!”
ฉันยิ้มสมเพชตัวเองในใจ ฉันพูดแทบตายแต่ป๊ากลับไม่ฟัง เพียงแค่คำพูดของลูกชายบุญธรรมอย่างนาวิทย์เอื้อนเอ่ยก็เปลี่ยนผิดให้เป็นถูกได้แล้ว
ฉันไม่น่ามีชีวิตรอดมาให้เจ็บปวดเลยจริงๆ
“ค่ะ” ไม่ได้ตอบรับหรือทำตาม ปลีกตัวออกมาจากห้องรับแขกนั้นทันที
บ้านที่เหมือนไม่ใช่บ้าน พ่อแท้ๆ ที่เหมือนจะไกลห่างไปทุกวันๆ ทำให้ฉันอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ให้พ้นๆ สักที ถ้าไม่ติดที่ว่า ฉันคิดถึงม๊า ฉันคงหนีไปนานแล้ว