Intro
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนสามนัดดังติดกัน ทำให้รถเบนซ์สีดำขลับที่กำลังเคลื่อนตัวใกล้ถึงหน้าโรงเรียนสตรีซึ่งอยู่อีกไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรตกไหล่ทาง เสียงล้อรถที่เสียหลักดังลั่นถนน
เอี๊ยด~ โครม!
และไม่นานก็มีสะเก็ดไฟขึ้นที่ตัวถึงน้ำมันและ…
บรึ้ม!!
‘ไม่นะ ม๊า!’
“แฮ่กๆ แค่กๆ” ฉันสะดุ้งตื่นท่ามกลางฝันร้ายกลางดึกอีกแล้ว ภาพความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนยังคงตามหลอกหลอนฉันทุกครั้งที่หลับตา
ในวันนั้นเมื่อห้าปีก่อน ฉันอยู่ในชุดนักเรียนมอปลายมัดผมแกละทั้งสองข้าง อายุแค่เพียงสิบเจ็ดปี นั่งรอแม่อยู่หน้าโรงเรียนหญิงล้วนในช่วงเกือบหกโมงเย็น บรรยากาศในตอนนั้นกำลังครึ้มฟ้าครึ้มฝนเพราะอยู่ในช่วงหน้าฝน
รอเพียงไม่นานฉันก็มองเห็นรถเบนซ์สีดำที่จำได้คุ้นตาว่านั่นคือรถของแม่ รีบลุกขึ้นจากริมฟุตบาธหน้าโรงเรียนเพื่อเตรียมตัวรอขึ้นรถ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมีรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีดำมีคนขับและคนซ้อนตีเทียบข้างรถของท่าน
เพียงไม่นานแทบจะเรียกว่าแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เสียงปืนสามนัดดังรัว กระสุนถูกเจาะเข้ายังฝั่งคนขับทำให้รถเสียหลักพุ่งลงข้างทาง ฉันที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดยืนเกร็งตะลึงทำตัวไม่ถูก ความรู้สึกคือตัวเองยืนอยู่ที่เดิม
แต่มันไม่ใช่! เมื่อสองเท้าฉันก้าวไปข้างหน้าเพื่อไปยังที่เกิดเหตุ
“ม๊า” ปากพร่ำเรียกผู้เป็นแม่ในลำคอ รู้สึกขอบตาแสบร้อนและเหนียวเหนอะหนะที่ใบหน้าเพราะหยาดน้ำตา
“นั่นลูกสาวมัน!”
ฉันไม่สนใจว่าเสียงใคร สองขาก้าวไปข้างหน้ารัวเร็ว แต่ยังไม่ทันที่จะถึงตัวรถ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
บรึ้ม!!
ไฟลุกโชนรอบตัวรถทั้งคัน ไม่นานก็เกิดเสียงระเบิดดังลั่นรถคันที่แม่ฉันยังอยู่ในนั้น พร้อมกับห่ากระสุนที่มาจากทิศทางไหนฉันเองก็ไม่รู้แต่มั่นใจว่ามันตั้งใจเล็งมาที่ฉัน
“เฮ้ย! ระวัง”
ตุบ! แรงกระแทกจากการถูกรั้งให้ล้มกับพื้นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บเท่ากับภาพไฟที่กำลังลุกไหม้รถเบนซ์สีดำด้านหน้าทั้งคัน
“อยากตายนักหรือไงวะ!” เสียงสบถแบบหัวเสียดังแว่วอยู่ข้างหู นั่นไม่ได้ทำให้ฉันสนใจได้สักนิด “ฮึก ม๊า” ฉันกลืนก้อนสะอื้นลงคอด้วยความปวดแสบและจุกหน่วง
ปัง ปัง ปัง! เสียงกระสุนยังดังอยู่ในโสตประสาทการได้ยินของฉัน
“เวรฉิบ!” ฉันได้ยินเสียงสบถหยาบคายคล้ายกับเจ็บปวดดังใกล้ๆ
“ตั้งสติหน่อยสิยัยเปี๊ยก! แม่งเอ๊ย!”
ฉันไม่สนใจเสียงรอบข้างหรือแม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกเพียงแค่ว่าร่างกายกำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทางหนึ่งจากแรงกระชากของใครสักคนที่ดึงข้อมือให้วิ่งตาม
“แฮ่กๆ / แฮ่กๆ” เสียงหายใจถี่หอบทั้งของฉันและคนข้างตัวดังขึ้น
“พวกนั้นเป็นใคร ทำไมถึงได้อยากฆ่าเธอนัก” ฉันเบือนหน้ามองไปตามเสียงที่หูได้ยินด้วยสายตาเหม่อลอย มองไม่ชัด! ฉันมองเห็นหน้าคนที่ตั้งคำถามกับตัวเองไม่ชัดนัก อาจจะเพราะมีน้ำคลออยู่ที่ดวงตาสีนิลของตัวเอง
“ม๊า ช่วยม๊าด้วย” เอ่ยขอร้องกับคนแปลกหน้า
“ม๊า? คนที่อยู่ในรถคันนั้น?” จบคำถามของเขา น้ำตาที่คิดว่ามันคลออยู่ก่อนแล้วก็หลั่งไหลออกมาเป็นสายธาร ภาพเหตุการณ์หมาดๆ ก่อนหน้าผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ้ย! ใจเย็นดิวะ อย่าเพิ่งมาร้องตอนนี้ ซี้ด แม่ง!” ผู้ชายร่างสูงสวมเสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีน้ำตาลเข้มสวมหมวกแก๊ปสีดำปกปิดใบหน้าบางส่วนสบถออกมาอีกครั้ง
“เงียบ! พวกมันกำลังตามมา” ฉันมองตามคำบอกเล่า
ตอนนี้พวกเราอยู่ในเขตป่าหลังโรงเรียน ป่ารกทึบที่เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ใครเข้าออกเพราะอาจจะเกิดอันตรายกับนักเรียนและผู้คนหากมีสัตว์ร้ายอาศัยอยู่
สวบ สวบ!
เสียงเท้าเหยียบลงบนใบไม้แห้งดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่หลบซ่อน
“แม่งไวฉิบ!” ฉันได้ยินเสียงเหี้ยมเกรียมดังขึ้นอยู่ด้านหน้าตนเอง
“ปล่อยมันไป ยังไงเราก็จัดการเมียไอ้บารมีได้สำเร็จแล้ว แค่นี้นายก็คงให้รางวัล”
ฉันตาเหลือกโพลนเมื่อชื่อของผู้เป็นบิดาถูกเอ่ยออกมา แล้วไหนจะเสียงเลือดเย็นที่ไม่ได้เกรงกลัวต่อบาปที่ทำกับแม่ก่อนหน้าอีก
“อื้อๆ” ฉันดิ้นรนเมื่อถูกคนตัวสูงปิดปากและรวบตัวเข้าไปรั้งไว้ตอนที่จะลุกออกไปประจันหน้ากับฆาตรกรสองคนนั้น
“ชู่ว! อยากตายหรือไง” เจ้าของมือหนากระซิบข้างใบหูเพื่อเรียกสติ
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันสงบลง ในใจคิดอยากถามว่าทำไมถึงได้โหดเหี้ยม
ฆ่าได้แม้กระทั้งชีวิตมนุษย์ด้วยกันแบบนั้น แล้วทำไมชื่อของพ่อถึงได้หลุดออกมาจากปากของพวกเขา คู่อริป๊างั้นเหรอ? นี่คือสิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ในตอนนี้
“อึก!” ฉันได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากเจ้าของร่างหนา
พลันสายตาก็เหลือบมองที่ข้อศอกตัวเองที่เผลอกระทุ้งลงเอวหนาและเห็นเลือดสีแดงสดซึมออกมาเปรอะเปื้อนเสื้อหนังสีน้ำตาลเข้ม
“ค... คุณ บาดเจ็บ!” ฉันตาลีตาเหลือกเมื่อรู้ถึงสาเหตุที่เขาร้องซี้ดในตอนแรกและร้องเจ็บในตอนหลัง
“ไกลหัวใจ แค่ถากๆ” คนบาดเจ็บเลิกเสื้อยืดสีดำตัวในเพื่อมองดูบาดแผล
แค่ถากๆ ก็จริง แต่เลือดตรงเอวที่โดนกระสุนเชี่ยวมันไหลเยอะมากเลยนะ แต่นั่นไม่ได้ดึงสายตาฉันเท่ากับรอยสักภาษาอังกฤษที่มองเห็นแค่ตัว ath ตรงสีข้าง
“ไปหาหมอ” ฉันพูดเหมือนคนกำลังละเมอ
“บอกแล้วไกลหัวใจ บ้านอยู่ไหนเดี๋ยวไปส่ง”
เขาไม่ห่วงตัวเองแต่กลับห่วงฉันที่ไม่ได้รู้จักกันแถมยังเสี่ยงตายช่วยเนี่ยนะ
“หาม๊า ฉันอยากไปหาม๊า” ฉันร้องขอให้เขาไปส่งยังที่เกิดเหตุอีกครั้ง ในใจก็ภาวนาขอให้ม๊าปลอดภัยออกมาจากรถได้ทัน
“อื้ม” เขาตอบเพียงเท่านั้นก็ค่อยๆ พยุงฉันให้เดินตาม
หลังจากวันนั้นแม้จะผ่านมาแล้วถึงห้าปีแต่ฉันก็ยังไม่เคยลืมผู้ชายคนนั้นได้ลง
ถ้าไม่มีเขาในวันนั้น ป่านนี้ฉันอาจจะได้ไปอยู่กับแม่ในอีกต่างโลกแล้วเช่นกัน
ก๊อกๆ เสียงประตูห้องนอนดังขึ้น ดึงฉันกลับมายังปัจจุบัน
“คุณวาวา คุณวาวาคะ” เสียงพี่พิมพ์ พี่เลี้ยงคนสนิทตะโกนเรียก
“ค่ะพี่พิมพ์” ฉันค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงนอน เดินไปเปิดประตูให้กับเจ้าของเสียงที่รออยู่ด้านนอก “พี่พิมพ์ได้ยินเสียงดังในห้อง ฝันร้ายอีกแล้วเหรอคะ”
ไม่ผิดหรอกที่พี่พิมพ์จะได้ยิน เพราะเธอนอนอยู่อีกห้องข้างๆ ฉัน
จะบอกว่ายังไงดี ตอนนี้ฉันอายุยี่สิบสองแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะนอนคนเดียวในห้องกว้างใหญ่นี้ได้ ไม่ใช่ว่าฉันกลัวผีสางอะไรเทือกนั้น บอกเลยว่าผีไม่ได้น่ากลัวไปกว่าคนที่มีสองขาและมีลมหายใจ
“ค่ะ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว พี่พิมพ์ไปนอนต่อเถอะค่ะ” ฉันเอ่ยบอกด้วยใบหน้ายกยิ้ม
“อาบน้ำก่อนนอนดีไหมคะ เหงื่อออกเยอะเชียว” สายตาห่วงใยที่ส่งมาของพี่พิมพ์ทำให้หัวใจฉันอุ่นชื้น
ตั้งแต่เสียงแม่ตอนอายุสิบเจ็บก็ได้นมจันทร์คอยดูแลจนฉันอายุสิบเก้า แต่นมจันทร์ก็ทิ้งฉันไปอีกคน โชคดีที่ได้พี่พิมพ์หลานสาวคนเดียวของนมจันทร์คอยดูแล
“ค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้ตื่น” ฉันบอก แต่พี่พิมพ์กลับส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับยิ้มให้ฉัน รอยยิ้มที่บอกว่าไม่ได้รบกวนอะไรเธอเลย
พี่พิมพ์เธอเปรียบเสมือนพี่สาวฉันมากกว่าพี่เลี้ยง อายุเราห่างกันแค่สามปี เธอเป็นคนที่จิตใจดีคอยออกโรงปกป้องฉันจากสิ่งอันตรายทุกอย่างในบ้านหลังนี้
บ้านที่มีแต่ ‘คนจ้องจะทำร้าย’
บ้านที่ไม่มี ‘ความอบอุ่น’ ตั้งแต่เสียแม่ไป
บ้านที่เรียกว่า ‘นรกบนดิน’ หากฉันพลาดท่าเข้าสักวันหนึ่ง
หากฟ้ายังเห็นใจ โปรดส่งใครสักคนมาช่วยฉันออกไปจากสถานที่โหดร้ายแห่งนี้ด้วยเทอญ
แวบหนึ่ง! ฉันนึกถึงเจ้าของรอยสักเมื่อห้าปีก่อน
ถ้าไม่เป็นการขอพรที่มากไป ฉันอยากเจอเขาคนนั้นอีกสักครั้ง