My Husband 13 - ในอ้อมกอด
My Husband 13 - ในอ้อมกอด
ใบเฟิร์นไม่เคยคุยเรื่องรายละเอียดของงานเธอให้ผมฟังมากนัก นอกจากที่บอกว่าเธอเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดี และตอนนี้เธอเพิ่งได้รับโอกาสทำโปรเจคงานใหญ่ซึ่งเธอดูมีความสุขมาก ทำให้ผมก็รู้สึกแฮปปี้ไปกับเธอด้วย
ผมเองก็มีความสุขเวลาที่ได้ฟังเธอเล่าเรื่องต่าง ๆ และชอบที่จะได้กลับมาทำอาหารเย็นอร่อย ๆ ไว้ให้เธอแทบทุกวัน
ยกเว้นก็แต่วันนี้
“ภีมม์คะ วันนี้เลิกงานแล้วออกมาหาเจนนี่หน่อยได้ไหมคะ เจนนี่ว่าจะปรึกษาเรื่องงานหน่อย”
“ตอนเย็นเหรอ คือพอดีผมต้องรีบกลับน่ะ” ผมรีบปฏิเสธเพราะตั้งใจจะกลับไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้ภรรยาของผมทาน
“โห อย่าใจร้ายกับเจนนี่สิคะ ถ้าภีมม์ไม่ช่วยเจนนี่แย่แน่ๆ นะคะ น้า น้า พี่ภีมม์นะ”
เจนนี่ทำเสียงอ้อนเหมือนต้องการขอความช่วยเหลือจากผม ซึ่งเธอเองก็เป็นเพื่อนสนิทของผมมาตั้งแต่เด็ก ผมเลยยอมตกลงเธอแม้จะรู้สึกผิดกับใบเฟิร์นนิดหน่อย
แต่...ก็แค่วันเดียวคงไม่น่าจะเป็นอะไร
ความจริงผมก็ว่าจะเซอร์ไพรส์ด้วยการพาใบเฟิร์นไปเปิดตัวกับเจนนี่เย็นนี้เลย ติดก็ตรงที่น่าจะไม่ค่อยเหมาะเพราะเจนนี่น่าจะอยากปรึกษาผมเรื่องงานมากกว่า ผมเลยคิดว่าไว้วันหลังผมค่อยพาใบเฟิร์นมาแนะนำตัวเป็นทางการกับเจนนี่อีกครั้ง
“ใบเฟิร์นครับวันนี้พี่มีธุระนัดกับเพื่อน เดี๋ยวพี่สั่งอาหารให้ไปส่งเราที่คอนโดตอนเย็นนะครับ”
“อ่อได้ค่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเฟิร์นแวะกินกลับเพื่อนก่อนกลับบ้านก็ได้”
“ใคร?”
“ลีโอค่ะ”
“ไม่ต้องไป เพราะพี่สั่งร้านอาหารให้เอาไปส่งแล้ว”
“คะ?” น้ำเสียงดูเธองงนิดหน่อยที่ผมเผลอทำเสียงแข็งใส่เธอ
“รีบกลับ”
ผมพูดเชิงออกคำสั่งเป็นนัยว่าไม่อนุญาตให้เธอไปกินข้าวกับเพื่อนผู้ชายสองต่อสองแน่ ซึ่งเธอก็ตอบตกลงแต่โดยดี
แต่...ผมไม่รู้ว่าที่เธอตอบยอมตกลงเพราะว่าเชื่อฟังคำสั่งผม หรือเพราะเธอกำลังงงอยู่เป็นแน่
ส่วนการที่ผมมาทานข้าวกับเพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงอย่างเจนนี่ ขอเป็นข้อยกเว้น เพราะเคสผมกับเจนนี่ เราสองคนสนิทกันมากตั้งแต่เด็ก ที่สำคัญผมเองก็บริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอแน่นอน
แต่ใบเฟิร์นกลับหมอนั่นมันต่างกัน เธอเพิ่งจะรู้จักกับผู้ชายคนนั้น แถมหมอนั่นยังอาสามารับมาส่งไปทำงาน ทำหน้าที่แทนสามีอย่างผมอีกต่างหาก
แม้ผมจะรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึก ๆ แต่ก็ไม่อยากขัดใจใบเฟิร์นให้เธอต้องรู้สึกไม่ดี
ว่าง่าย ๆ คือเป็นเพราะผมค่อนข้างที่จะแคร์ความรู้สึกของใบเฟิร์นมากกว่า
Talk ใบเฟิร์น
ฉันอึ้งไปนิดหน่อยที่วันนี้พี่ภีมม์โทรมาบอกว่าเขามีนัดไปหาเพื่อน แล้วไม่ได้กลับมาทำอาหารเย็นให้ฉัน คือเหมือนมันเคยชินไปแล้วกับการทำอาหารเย็นรอฉัน
แล้วอาหารที่พี่ภีมม์สั่งมาให้ ไม่อร่อยเท่าพี่ภีมม์เลยสักนิด
คืนนี้พี่ภีมม์กลับมาเกือบสามทุ่ม แถมยังมีการรับสายจากใครสักคนที่ฉันไม่รู้อีก
“ครับถึงแล้ว กำลังจะอาบน้ำไว้ค่อยคุยกัน”
เพื่อนอะไรทำไมต้องโทรมาถามกันขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ หวังว่าคงไม่ใช่คุณเจนนี่คนสวยหรอกนะ ถึงถ้าใช่...ฉันจะทำอะไรได้
ฉันต้องแกล้งทำเป็นหลับสนิทเพราะไม่อยากให้พี่ภีมม์รู้ว่าฉันกำลังรอเขาอยู่ และไม่อยากให้เขารู้ด้วยว่าฉันกำลังแอบนอยอยู่ลึก ๆ
เกือบครึ่งชั่วโมงที่พี่ภีมม์ไปอาบน้ำออกมา ในขณะที่ฉันคิดอะไรฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยจนนอนหลับแทบไม่ลง
เตียงนอนข้าง ๆ ยวบลง พร้อมกับอ้อมแขนจากพี่ภีมม์ที่สวมกอดฉันจากด้านหลัง
ตึก ตึก ตึก
ฉันไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวพี่ภีมม์จะรู้ว่าฉันยังไม่ได้หลับ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นไง อยู่ๆ พี่ภีมม์ยังยกตัวขึ้นมา แล้วโน้มตัวมาหอมที่แก้มฉันเบา ๆ
อะ...อะไรเนี้ย เขาทำกับฉันแบบนี้ทุกวันเลยไหมนะ
เสียงหัวใจของฉันมันดังขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ฉันยังไม่กล้าลืมตา บอกตรง ๆ ว่า เจอแบบนี้ใครมันจะไปหลับลง ฉันรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของฉันแทบจะแนบชิดกับพี่ภีมม์จนแทบจะไม่เหลือช่องว่างระหว่างร่างกายกันและกัน
ลมหายใจของภีมม์เริ่มสม่ำเสมอ แต่ในขณะที่ฉันยังทำใจให้นอนหลับไม่ได้ ลำพังแค่อยากจะพลิกตัวตอนนี้ยังไม่กล้า
ผ่านไปราวยี่สิบนาทีในขณะที่ฉันไม่กล้าขยับตัวเพราะท่อนแขนของพี่ภีมม์โอบฉันเอาไว้ อยู่ ๆ พี่ภีมม์ก็ดึงร่างให้ฉันหันกลับไปไว้ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง จนใบหน้าของฉันปะทะกับหน้าอกแกร่งของเขา ซึ่งต้องยอมรับว่าตัวของพี่ภีมม์หอมมาก...หอมจนทำให้ฉันรู้สึกดีจนแทบเคลิ้มไปเลย
อื้อ...ตะแต่ ...นี่สรุปว่าทุกเช้าเขาเป็นคนดึงฉันเข้าไปกอด ไม่ใช่ฉันเป็นฝ่ายนอนดิ้นไปกอดเขาหรอกเหรอนี่
>\<
รุ่งเช้า
ฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด โดยการทำอาหารเช้าไว้ให้พี่ภีมม์ก่อนจะไปทำงาน แม้จะรู้สึกเขินตัวเองนิดหน่อย ที่สุดท้ายแล้ว ฉันที่บอกว่าหลับไม่ลง แต่ตัวเองดันเผลอหอมกลิ่นตัวพี่ภีมม์จนเผลอนอนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ที่สำคัญพอตื่นนอนขึ้นมาฉันกลับเป็นฝ่ายที่นอนกอดพี่ภีมม์ตอบอีกต่างหาก
งื้อ...น่าอายชะมัด
เมื่อถึงที่ทำงาน เป็นเพราะงานโปรเจคใหญ่ของคุณเจนนี่ ทำให้ฉันค่อนข้างแฮปปี้กับการทำงานที่นี่ และมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น
แต่ทว่าอยู่ ๆ วันนี้ พี่แจนก็เรียกฉันกับเอมี่ไปคุยที่ห้องทำงานของเขา ตอนแรกฉันก็นึกว่าแค่เรียกประเมินผลงานประจำเดือนของพนักงานใหม่ธรรมดา
แต่ที่ไหนได้
“เราสองคนมาก็ดีแล้ว นั่งสิ” พี่แจนพูดหน้านิ่ง ๆ ซึ่งปกติพี่แจนจะดูเป็นคนใจดีและยิ้มอ่อนโยนให้ฉันเสมอ
แต่หนนี้ดูสีหน้าพี่แจนดูเครียดผิดปกติ
“ที่พี่เรียกเราสองคนมาวันนี้ คือจะคุยเรื่องงานคุณเจนนี่” พอได้ยินแบบนี้ฉันเลยถึงกับยิ้มออกมาเพราะคิดว่าบางทีอาจจะต้องได้รับคำชมเชยแน่ ก็ฉันตั้งใจทำงานนี้มากเลยนะ
“ตกลงว่างานของใบเฟิร์นที่ทำอยู่ พี่จะเปลี่ยนไปให้เอมี่ทำแทนเรานะ”
สิ้นประโยคของพี่แจน ฉันถึงกับเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน
“หะ หา...ทำไมละคะ เกิดอะไรขึ้นคะ เฟิร์นทำมาเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วนะคะ” ฉันรีบแย้งในขณะเดียวกันก็หันไปมองหน้าเอมี่ที่ทำท่ายักไหล่ใส่ฉัน.