

ตอนที่ 3 การสัมที่น้ำเดิน
เมื่อกลับถึงหอพัก ชีวันยิ่งกว่าสร่างเมา
ความแปลกใจในบทสนทนาออกฤทธิ์พอตัว
แต่ที่ทำตาสว่าง คือค่าใช้จ่ายสิ้นเดือนกับใบแจ้งหนี้ค่าบัตรเครดิต เมื่อเห็นบิลถูกสอดอยู่ใต้ประตูหน้าห้อง
ช่วงพีคของการใช้บัตรเครดิตแบบสุรุ่ยสุร่าย คงเป็นช่วงที่พยายามสนิทสนมกับทุกคน เนื่องจากเวลากินเลี้ยงก็ใช้บัตรเครดิตเธอรูด แต่ตอนเคลียร์กลับได้คืนบ้าง ไม่คืนบ้าง ยอดหนี้สะสม พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วล่าสุด…รูดค่าตัดแว่นสายตาไปเกือบหมื่น แม้กระนั้นกรอบแว่นก็ยังไม่สามารถบางเฉียบได้ดังใจ
สายตาสาวที่กำลังจะกลายเป็นคนว่างงานในวันพรุ่งนี้ กำลังกวาดมองไปทั่วห้อง ชั่งใจว่าจะขายเสื้อผ้าชุดทำงานทิ้งบ้างดีมั้ย หรือรองเท้าก็เยอะเหมือนกันนะ แต่ว่าเสื้อผ้าเครื่องประดับใด ๆ ของเธอ ไม่ใช่ของมีมูลค่าขนาดนั้น ด้วยสไตล์เรียบ ๆ เชย ๆ อาจไม่ใช่ของที่จะปล่อยขายแล้วได้ราคา
ร้านเน็ตคาเฟก็ไม่ค่อยจะมีแล้วด้วย โชคดีที่ทำเรซูเม่เสร็จตั้งแต่ยังอยู่ออฟฟิศนะ
หญิงสาวนอนไถมือถือ หาที่สมัครงาน นอกจากประวัติทำงานจะสั้นมากแล้ว ปริญญาที่จบมาก็ธรรมดาเหลือเกิน ชีวันสมัครเข้าเว็บไซต์หางาน กดคลิกยื่นประวัติไปเรื่อย ๆ
“เงิน…หมดไปกับการกินอยู่ในแต่ละเดือน มือถือ…เพิ่งผ่อนหมด สงสัยได้ผ่อนโน้ตบุ๊กอีกแน่ ๆ โอ๊ย! ขอให้มีสักบริษัทติดต่อกลับมาเถอะ เพี้ยง!” เธอบ่นกับตัวเอง
ป้ายไฟสีแดงขึ้นกะพริบที่บรรทัดหนึ่ง
‘เจ้าหน้าที่ประสานงานจัดตารางนัดเงินเดือน18000 ทำ6วันต่อวีค เข้าออฟฟิศ2ครั้งหยุดอังคารที่เหลือออนไลน์’
ชีวันอ่านตัวหนังสือพิมพ์ติดกันเป็นพรืด ด้วยการพยายามเว้นวรรคเอง เธอวนเวียนคิดตามทีละประโยค
“แปลว่า ไปออฟฟิศ 2 วันใน 6 วันสินะ แต่หยุดวันอังคารเหรอ แปลกจัง ปกติ ไม่หยุดอาทิตย์ก็ควรจะวันจันทร์ปะนะ แต่เงินเดือน 18K งืม…งืม…ไม่ต่างจากที่เดิมเลยแฮะ…จะว่าไป อยู่ใกล้หอนี่นา ก็ประหยัดค่ารถอยู่นะ…ส่ง ๆ ไปก่อนแล้วกัน ใช่ว่าจะได้”
เธอคุยกับตัวเองจนได้ข้อสรุป
นิ้วเล็กจิ้มส่งประวัติไปหาบริษัทปลายทาง เหมือนจะไม่คาดหวัง…แต่ก็แอบคาดหวัง
.
.
โดนเรียกมาสัมภาษณ์ และฉัน…บ้าไปแล้ว อยากได้งานจนไม่เช็กให้เรียบร้อย
ชีวันอ้ำอึ้งยืนละล้าละลังว่าจะอยู่ต่อหรือพอแค่นี้ก่อน เมื่อบริษัทที่ให้เข้าออฟฟิศแค่สัปดาห์ละสองวันติดต่อกลับให้มาสัมภาษณ์งานตามนัด
และเธอกำลังยืนพิมพ์ชื่อบริษัทลงในดูเดิ้ลเพื่อเช็กว่าใช่ที่นี่แน่หรือไม่
อาคารพาณิชย์ปลูกติดกันเป็นแถวตับใหญ่ สูงสัก 3 ชั้นครึ่งและคงมีดาดฟ้า เพราะเห็นบางคูหามีริ้วผ้าปลิวไหวออกมาบ่งบอกว่าตรงนั้นมีการตากผ้าแน่ ๆ บางคูหาดูเหมือนจะปลูกต้นไม้ และปล่อยมันรกร้างจนไม้เลื้อยพันตามรั้วเหล็กดัดกั้นระหว่างบ้าน ส่วนหน้าตึกนี้ตกแต่งจนสวยแปลกตา เรียกว่าแตกต่างจากคูหาอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่พอมองป้ายชื่อสำนักงาน ก็รู้สึกว่าเขาทำเหมือนขอแค่มีอะไรให้ถูกกฎหมายเฉย ๆ
ชีวันตัดสินใจ…เข้าเว็บเช็กว่าเป็นบริษัทจดทะเบียนจริงหรือไม่ แม้ว่าแอปสมัครงานก็สกรีนมาระดับหนึ่ง ด้วยเธอเป็นสมาชิกระดับพรีเมียม แต่จะเชื่อใครได้ คงต้องพิสูจน์ด้วยตาตนเอง
บริษัท สวีตดริงก์ เซอร์วิส จำกัด ทุนจดทะเบียน 15 ล้าน…
โอ้มายก็อดดด ฉันโอเคตั้งแต่ล้านเดียวแล้วนะ
ส่วนงบการเงินมีแล้ว 1 ครั้ง คือ ปีล่าสุด โอเค ๆ ถึงชื่อจะแบบว่าขายน้ำดื่ม…แต่ทุนจดขนาดนั้น บ้านแบบนี้…งืม ๆ โอเคแหละ
ชีวิตที่ไม่มีเพื่อนสักเท่าไร ได้แต่คุยกับตัวเอง
เมื่อตัดสินใจเดินเข้ารั้วที่เปิดประตูทิ้งไว้ หัวใจเต้นระทึก นานมากแล้วที่ไม่ได้มาสัมภาษณ์งาน ถือว่ามาซ้อมหน่อยแล้วกันก่อนจะไปสัมที่อื่น
“เอ่อ สวัสดีค่ะ มาสัมภาษณ์งานค่ะ” เสียงเรียกอย่างสุภาพตั้งใจให้คนในบ้านรับรู้
ชายแก่ท่าทางเหมือนคุณพ่อเธอยามอยู่บ้านพักผ่อน ในมือถือแก้วเซรามิกใบเล็ก สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงขายาวสีเข้ม เดินเชื่องช้า แต่ส่งรอยยิ้มทักทายมาให้ก่อน
“เข้ามาสิ เข้ามาเลย” คุณลุงร้องบอก ชีวันรีบถอดรองเท้าแอบ ๆ แล้วก้าวเข้าบ้านอย่างนบนอบ รู้สึกเหมือนมาบ้านเพื่อน ไม่ก็บ้านญาติ
เธอยืนงก ๆ เงิ่น ๆ ไม่รู้จะนั่งตรงไหนได้บ้าง แต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้มองเห็นโต๊ะ 2 ตัว มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะชุดหนึ่ง กับอีกโต๊ะมีโน้ตบุ๊กพับปิดฝาเครื่องไว้ มีเครื่องพิมพ์หนึ่งเครื่อง และที่เหลือ…พื้นบ้านแบบกระเบื้องขนาดฟุตคูณฟุต และโซฟาแบบไม้ขาสิงห์ที่มักจะมีทุกบ้าน หากเราสู้รบแพ้พ่อแม่
“น้ำจ้ะ” คุณป้าวัยเดียวกับคุณลุง เดินย่องแย่งไม่แพ้กัน เธอยกแก้วน้ำมาเสิร์ฟให้ ชีวันรีบยกมือไหว้ขอบคุณรุ่นใหญ่ที่มาคอยดูแล
“เป็นพนักงานที่นี่เหมือนกันเหรอคะ” ชีวันถามพวกท่านอาจเป็นรุ่นพี่ในที่ทำงานของเธอก็ได้
“เปล่า แค่มาช่วยจนกว่าลูกจะหาคนได้” คุณลุงตอบ เขานั่งบนโซฟาไม้ยาวตัวนั้นคนละมุม คนละฝั่งกับเธอ
คุณลุงทำท่าจะเปิดทีวีให้แขก แต่สายตาเล็งปุ่มริโมตลำบาก สุดท้ายเลยอยู่กันแบบเงียบ ๆ แต่คนมาสัมภาษณ์เห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว เธอต้องไปรอตรงไหนมั้ยนะ กลัวอยู่ผิดที่ผิดทางจัง
“เอ่อ เป็นคุณพ่อคุณแม่เจ้าของบริษัทเหรอคะ” ชีวันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนี้แหละ ยุคนี้ใคร ๆ ก็เป็นเจ้าของกิจการกันได้ง่ายขึ้นแล้วนี่
“เป็นพ่อแม่ของลูกจ้างอีกที” คุณป้าตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
เสียงตึง ๆ ของส้นเท้ายามลงน้ำหนักกับพื้นบันไดดังจนชีวันคิดว่าเธอคงจะได้พบคนที่มาสัมภาษณ์แล้ว หญิงสาวรีบจับแว่น จัดผม ดึงชุดให้เรียบร้อย
ตึง!
ปั้ก!
“.........” คนเจ็บเก็บเสียงตัวเองไว้เงียบ
“เจ็บหัวเลย” ชายที่เพิ่งลงมาจากชั้นบนพูดกับผู้ใหญ่ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มจนแทบมืด แขนยาวปล่อยรุ่ยร่ายไม่พับหรือติดกระดุมที่ปลายแขน แต่อย่างว่า ถ้าเขาสะดวกติดกระดุมเม็ดเล็กตรงนั้น ก็อยากบอกให้เขาติดตรงอกเสื้อด้วย เพราะเหมือนจะลืมมั้ยว่ามีนัด และคนที่ถูกนัดมานั่งรอตรงนี้แล้ว…ตรงม้านั่งไม้ตัวยาว ข้างคุณพ่อหรืออาจจะเป็นคุณลุง
“ก็บอกให้ก้มหน่อย ตรงนั้นยังทำไม่เสร็จ” คุณป้าบ่น
“ผมกะระยะผิดไปหน่อย”
“ไม่ใส่แว่นเหรอ” คุณป้าถาม สายตามองด้วยความเป็นห่วง
“ใส่คอนแท็กอยู่ครับ” เขาตอบ
“ซุ่มซ่ามสินะ” ป้าบ่น
ชีวันมองอีกฝ่ายอย่างไม่หยุดยั้ง แม้มีความพยายามส่งสัญญาณให้รู้ว่าเธออยู่ตรงนี้ แต่ดูเหมือนจะเทียบไม่ได้กับ…
“แฉะหมดแล้วครับ” ชายหนุ่มพูด พลางเดินไปโต๊ะคอม หยิบกล่องทิชชูมาส่งให้
ชีวันตกใจรีบวางแก้ว และรีบกลืนน้ำลงคอให้เร็วก่อนที่มันจะไหลลงข้างปากหมด
ตายแล้ว…ถึงฉันจะไม่ใช่สายแฟชั่นช่างแต่งตัว
แต่นั่นกางเกงพี่ตูนบอดี้สลิมเหรอ รัดจน…เฮ้ย…ชายเสื้อมันทำงานแข็งขันมากแล้วนะ แต่ก็ยังนูนจนเห็นได้เลย เอวเอย ช่วงขาเอย…และทุกอย่างชิดซ้ายทันที เมื่อเขายกมือที่ปิดหน้าปิดตาออกไป ทำให้เธอเห็นชัดเจน
แววตาชายหนุ่มเหมือนกำลังส่งยิ้มมาให้ ดูขี้เล่น แต่ก็แฝงความเจ้าชู้ไว้ เห็นส่งสายตาแบบนั้นมา เธอว่าใครก็ทำน้ำลายไหลทั้งนั้นแหละ
ชีวันเช็ดปากและขับไล่ความเลอะเทอะออกจากหัว เธอตั้งคำถามแทน…นี่คือใครอีก
“งานน่าสนใจแล้วใช่มั้ยครับ” เขาถามเธอ พลางเดินวนไปนั่งตรงชุดโต๊ะที่มีคอมตัวใหญ่ตั้งอยู่ ประโยคคำพูดชวนงง แต่ชีวันก็ปล่อยผ่าน
“ค่ะ คิดว่าน่าจะทำได้ แล้วที่นี่ก็ใกล้หอ” เธอตอบอย่างดีที่สุด แม้ความจริงคือข้อหลังเท่านั้น
“ผมมีพาร์ตเนอร์อีก 2 คน กำลังมาสัมคุณด้วยกัน”
“มีอีกเหรอคะ”
“ครับ รบกวนรอสักครู่ ไม่เกินเวลาแน่ ๆ” เขาพูดโดยไม่หันมามองเธอ แต่กลับเปิดคอมทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้ามีความสุขล้อไปกับเสียงพิมพ์ดังรัว รู้เลยว่าพิมพ์ด้วยความเร็วสูงจนเหมือนนิ้วกำลังร่ายเวทมนตร์บนแป้นคีย์บอร์ด
และแล้วบุคคลที่จะมาสัมภาษณ์ก็มาครบสามคน ชีวันลืมไปแล้วว่าบ้านหรือออฟฟิศหลังนี้มีคนแก่อีก 2 คนอยู่ด้วย เพราะตรงหน้าเธอนั้นมีอะไรที่ดึงดูดหัวใจจนแทบจะสูบเลือดออกมาหมดตัว
บ้าไปแล้ว…เทพบุตรเหรอเนี่ย
ชีวิตของชีวัน เกิดในครอบครัวธรรมดา ไปโรงเรียนธรรมดา มีเพื่อนก็ธรรมดา แต่จับพลัดจับผลูได้มาทำงานบริษัททันสมัยถึงสี่ห้าปี แต่คนในออฟฟิศล้ำ ๆ นั่นก็ดูเป็นคนธรรมดา
แต่นี่คืออะไร เธอมาสัมภาษณ์งาน ผ่านไปแค่ยี่สิบนาที แต่รู้สึกชีวิตนี้คุ้มแล้ว
คนที่เธอเจอคนแรก หน้าตาดูเจ้าชู้ขี้เล่น แต่วัยละอ่อนน้อย
คนที่สองดูละมุน อาจเพราะใส่เสื้อผ้าสีขาวหรือเปล่า หรือเพราะเขายิ้มสบาย ๆ ยกมือทักทายราวกับรู้จักกันดี แถมยังเลือกมานั่งข้างเธอให้ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นไปอีก
ส่วนคนสุดท้ายดูโตที่สุด แต่ก็ไม่ได้แก่อะไร สีหน้าราบเรียบ ไม่ได้เย็นชา แต่เหมือนอดนอนและบุคลิกดูนิ่ง ๆ
ทีแรก เธอถูกสะกดด้วยใบหน้าหล่อเหลากันไปคนละแบบ แต่ตอนนี้เธอหยุดสายตาตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าทางนั้นจะพูดหรือถามอะไร ความไม่รู้ว่าจะเอาตาไปวางไว้ตรงไหน…
หุ่นแต่ละคน เล่นกล้ามเหรอ หน้าอกหน้าใจมัน…น่าซบเหลือเกิน
“…พวกเราทำงานร้านเดียวกันมาก่อน นั่นแหละจังหวะชีวิตกับจังหวะ…เงินมั้ย เนอะ ๆ สมัยนี้ โฮสต์มีเยอะ ถ้าทำคนเดียวก็เกรงจะไม่รอด เลยมาจับกลุ่มทำด้วยกัน”
สามหนุ่มกำลังเล่าถึงการพบกันของพวกเขาและการตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานเดิม เพื่อมาเปิดธุรกิจส่วนตัว…เขาจะขายบริการ…ที่ไม่ได้หมายถึงการขายตัว
เนื้อเรื่องเข้มข้น ลุ้นระทึกว่าธุรกิจจะรอดมั้ยกับเซอร์วิสหนุ่มโฮสต์ทั้งสามคน แต่ชีวันติดวนอยู่ที่ความหล่อระเบิดและหุ่นกระแทกใจ เธอเอาแต่มองและคิดใคร่ครวญอยู่กับภาพตรงหน้า
ไหล่กว้างมากทำเสื้อตึงเปรี๊ยะ…แม้แต่กล้ามหน้าท้องก็ถูกรัดเป็นรูปเห็นรำไร
ยามต้องก้มหน้าเพื่อความสุภาพ
พวกเขาดูดีแม้กระทั่งข้อเท้า
ความเกรงว่าตัวเองจะดูเหมือนคนโรคจิต
จำต้องยกสายตาขึ้นสูง…
อื้อหือ…แน่น ตุง โอ๊ย…ใจฉัน ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณคุณกัญญาที่ทำแว่นตาฉันพัง ทำให้ได้ไปตัดใหม่ ค่าสายตาตอนนี้กับแว่นที่เพิ่งถอยมา มันทำให้ทุกอย่างตรงหน้าชัดมากเวอร์
“สุดท้ายเราเลยตัดสินใจออกมาเปิดกิจการด้วยกัน” คนที่นั่งข้าง ๆ อธิบายทุกอย่าง น้ำเสียงเขาน่าฟังเสียจนชีวันจินตนาการว่าเธอไปนอนหนุนตัก ฟังผู้ชายเล่าเรื่องธุรกิจที่แสนจะน่าเบื่อด้วยใบหน้าละมุนจนเธอว่า เธอสามารถนอนฟังได้ทั้งคืนแหละ
“โอเคครับ มีคำถามตรงไหนมั้ยครับ” ชายที่เธอเจอคนแรกเอ่ยตัดบท หยุดสายตาเพ้อฝันคิดไปไกลที่แม้แต่แว่นสายตาหนาเตอะก็ปิดไม่มิด
“เอ่อ ค่า…ค่ะ…คือก่อนมาฉันเช็กกับกรมฯ ทำไมถึงเขียนรายละเอียดว่า ประกอบธุรกิจ ให้บริการบำรุงรักษา พัฒนา ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ แถมหมวดธุรกิจ ระบุว่า กิจกรรมการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านคอมพิวเตอร์”
“อ่อ อย่ารู้เลย” หนึ่งในนั้นพูด แต่ทั้งสามคนพากันหัวเราะหึหึในลำคอ อีกคนตีหน้าขาเพื่อนทำนองว่า กูว่าแล้วว่าคนต้องถาม
แต่เพราะอากัปกิริยาของสามหนุ่ม ทำสาวธุรการเริ่มเข้าใจ พวกเขาคงจดทะเบียนเพื่อบังหน้าธุรกิจแบบนี้หรือเปล่า
“แล้วจะไม่แนะนำตัวกันหน่อยเหรอคะ เอ้อ…คือฉันว่ามันแปลก ๆ ที่เราคุยกันนานแล้ว มีแต่พวกคุณที่รู้ว่าฉันเป็นใคร”
คำถามแอบแฝง เธอแค่อยากรู้ชื่อพวกเขาเฉย ๆ แหละ ไม่คิดจะมาทำงานกับบริษัทที่ไม่แน่นอนขนาดนี้ ทำไมธุรกิจบาร์โฮสต์มันเยอะจัง ไอ้เด็กไอทีก็คนหนึ่ง แต่จะว่าไป มันพูดจริง พูดเล่นก็ไม่รู้
“พวกผมจะแนะนำตัว ก็ต่อเมื่อคุณตัดสินใจร่วมงานกับเรา ประวัติของพวกเราเป็นความลับ หวังว่าจะเข้าใจ” คนโตสุดเอ่ยขึ้น
“อ้าว! ฉันสัมภาษณ์ผ่านแล้วเหรอคะ” ชีวันตกใจ
“ผ่านสิ ผมเห็นคุณทำงานมาเยอะแล้ว” ผู้ชายที่นั่งโต๊ะคอมและเป็นคนที่เธอเจอคนแรกพูด
“เห็นเหรอ…!?” ชีวันงง เธอกำลังคิดว่าทำอะไรไปบ้างตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาบริษัทนี้ มีแต่ฟังและนั่งมองพวกเขา เธอถามบ้างนิดหน่อย แต่ยังไม่มีโอกาสได้ตอบคำถามอะไรที่เขาถามมาเลยสักนิด
“อย่าบอกนะว่าคุณจำผมไม่ได้” เขาเอ่ยอย่างสนิทสนม
“ฮะ!?...คะ!?” ดวงตากลมเลิ่กลั่กซ่อนไม่มิดเพราะแว่นหนาเลนส์ใสแจ๋ว ทำคนนั้นยกยิ้มมองเธอด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
จะบ้าเหรอ…ถ้าชีวิตฉันรู้จักคนหล่อ ๆ แบบคุณ ฉันจะลืมเรอะ ไม่มีทางงงง!!!!!!
คำพูดชวนหัวทำเอาชายหนุ่มเผลอยกยิ้ม
เก้าอี้โซฟาไม้แข็ง ๆ กลายเป็นที่นั่งแสนอึดอัดสำหรับชีวัน และมันดูลำบากก้นเธอมากขึ้น เมื่อชายคนนั้นลุกจากโต๊ะคอมของตัวเองมา พร้อมถืออะไรบางอย่างติดมือมาด้วย
เขามานั่งไขว่ห้างข้าง ๆ ส่วนคนที่เหลือ คนหนึ่งย้ายไปตรงอื่น เพราะพื้นที่จำกัด ส่วนอีกคนที่ดูโตที่สุดอยากใช้เวลาให้คุ้มค่า ด้วยการเดินไปพิมพ์เอกสารออกมา โซฟาไม้จึงมีแค่ชีวันกับคนแรกที่เธอเจอหน้า
“ในที่นี้ คุณน่าจะต้องรู้จักผมสิ” เขาพูดต่อ
“ไม่รู้จักจริงจิ้ง!” ชีวันขอยืนกราน เธอไม่เคยมีเพื่อน หรือเพื่อนของเพื่อน หรือแฟนของเพื่อน หรือพี่น้องของเพื่อน เป็นผู้ชายหล่อมาก่อน แม้สักแวบเดียวในชีวิตก็ยังไม่เคย
คนนั่งข้างหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ เขาใส่ที่คาดผมเปิดหน้าผาก แล้วยื่นหน้ามาใกล้ ๆ อยากให้ชีวันพิจารณาดี ๆ
ความหล่อกระแทกหน้าหญิงสาว หัวใจเต้นแรงรัว ใบหน้าร้อนผ่าวจนเกรงว่าแว่นสายตาที่ใส่อยู่จะขึ้นฝ้าเหลือเกิน เขาดูฮอตและแพรวพราว
“อ่า…ไม่รู้จักจริง ๆ ค่ะ” เอาจริง ๆ นะ ถ้าฉันรู้จักคนแบบนี้ ฉันจะกล้าไปคุยกับเขาเหรอ หล่อวัวตายควายล้มขนาดนี้
“เสียงผมก็ไม่คุ้นเหรอ” เหมือนอยากแกล้งอีกฝ่ายมากกว่าจะเล่าความจริง
.
.
.
‘อย่าว่าแต่คุ้นเลย ทั้งชีวิตที่ผ่านมา ฉันยังไม่เคยเจอผู้ชายทำท่าแบบนี้ใส่ฉันมาก่อนด้วยนะ แล้วน้ำเสียงรื่นหูนี่อีก อยากจะบ้าตายแล้ว’
-บันทึกของชีวัน-
