

ตอนที่ 2 โทรมานะครับ
@ สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
พื้นที่โล่งกว้างกว่า 130 ไร่ถูกแปลงเป็นสวนสำหรับคนเมืองไว้ออกกำลังกาย ต้นไม้น้อยใหญ่ต่างแย่งกันชูกิ่งก้านสาขารับแสงแดดและสายลม รากหยั่งลึกยึดเกาะหาที่มั่นคงจนกว่าจะคุ้นชินกับดินสวนที่ทางการอุตส่าห์นำมาถมไว้ และใจกลางแหล่งร่มรื่น สระน้ำรูปร่างเหมือนวงรี พร้อมสะพานข้ามสร้างไขว้แบบวิ่งผ่านแล้วทักทายกันได้
มีคนมากมายต่างแวะมาอัดฉีดออกซิเจนเข้าปอด แต่ชีวัน หญิงสาวที่พรุ่งนี้จะกลายเป็นคนว่างงาน กลับนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ริมตลิ่ง ที่เดิม…เวลาใกล้เคียงกันทุก ๆ วัน หากใครเป็นขาประจำที่นี่ ก็คงพอสังเกตเห็นได้
ผู้หญิงที่มานั่งหมดอาลัยตายอยากริมสระ กับแก้วเยติใบใหญ่ กรอบหน้าเล็กเผยพิรุธให้เห็นว่า ภายในแก้วสเตนเลสนั้นน่าจะไม่ใช่น้ำดื่มสะอาดที่จำเป็นต่อร่างกาย ดวงตาคู่สวยนัยน์ตาสีเดียวกับเส้นผมกำลังหยาดเยิ้ม แก้มแดงเรื่อจนเห็นเส้นเลือดฝอยชัดเจน นั่งโยกหน้าโยกหลัง ฮัมเพลงเบา ๆ
ร่างสูงใหญ่กับเสื้อวอร์มบริษัท กางเกงบอลขาสั้น ถุงเท้าดึงสูงครึ่งแข้ง รองเท้ากีฬาไซซ์ใหญ่ดังเรือยอชต์ กับจังหวะวิ่งเหยาะ ๆ พอหันไปยังริมตลิ่ง จุดเดิม เวลาเดิม กับผู้หญิงคนเดิม จึงรีบปรี่ไปหาอย่างเคย
“มาอีกแล้วเหรอครับ” แมสก์ห้อยคอถูกยกมาใส่ทันที เขาใส่แมสก์เวลาคุยกับเธอเสมอเป็นความใส่ใจที่ทำให้คู่สนทนาปลอดภัยจากไวรัสที่กำลังระบาด
“นายสิ มาอีกแล้วเหรอ” ชีวันหันมาทัก
เขาทิ้งตัวนั่งใกล้ ๆ แว่นกรอบหนาถูกจับดันให้ติดดั้งจมูก
“เราสองคนตลกดีเนอะ พออยู่ตรงนี้ กลับคุยกันเยอะ” ชีวันพูด
“ตอนอยู่ออฟฟิศ ผมก็พูดด้วยนะครับ”
“การเอาน้ำ เอาขนมมาวางไว้ที่โต๊ะ ไม่เรียกว่าพูดหรอกนะ ว่าแต่นายมาทักอีกทำไม บอกแล้วว่า ฉันลาออกจากงานแล้ว ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานของนายแล้ว” ชีวันบอกเขา
“ไปทำงานกับผมมั้ย”
คำพูดไม่มีปี่มีขลุ่ย โพล่งออกมาและมองคู่สนทนาเสียราวกับต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้
หญิงสาวหันไปยกแก้วเยติขึ้นมาดูดสองปึ้ดใหญ่ วางแก้วแรงจนแทบล้ม ชายหนุ่มรีบช่วยจับแก้วเย็นนั้นให้ สองมือวางประทับแตะต้องกันอย่างแนบสนิท
มือใหญ่ขยับนิ้วลงในร่องเพื่อจับแก้วไว้ในมือให้มั่นคง หากเป็นใครเจอผู้ชายสอดนิ้วสัมผัสแบบนี้ก็คงมีใจเต้นกันบ้าง แต่พอดีคนหนึ่งก็อดีตพนักงานธุรการขี้เมาและไร้อนาคตกับพนักงานไอทีสภาพเนิร์ดบวกเชย ถ้ามีจังหวะใดหวั่นไหว ต่างก็คงอยากรีบตัดฉับในทันที
ดวงตาประสานมองกันไปมา…
ชีวันยกยิ้ม
“บ้าเหรอ ฉันลาออกจากบริษัทที่นายเป็นไอทีซัพพอร์ต นายจะมาพูดบ้า ๆ ทำไม ตลก” ยิ่งพูดยิ่งแก้มแดงเพราะเลือดลมสูบฉีด ยิ่งใกล้มืด แสงไฟทางเริ่มถูกไล่เปิดจนทั่ว ความสว่างสะท้อนลงบนผืนน้ำ แล้วส่องกลับมากระทบทำดวงตากลมโตส่องประกายสวย
“ว่าแต่ วันนี้ทำไมนายมาช้าล่ะ”
“นี่มาเร็วแล้วนะ ปกติวันอังคารผมเลิกสามทุ่มด้วยซ้ำ”
“บริษัทเรานี่มันโรงงานนรกหรือเปล่า”
“ก็เลิกเร็วนะครับ เพื่อนผมทำที่อื่น ไม่ได้กลับบ้านเลยก็มีนะ”
“เพื่อนนายทำตำแหน่งอะไร”
“โปรแกรมเมอร์”
ชีวันคิดถึงสไตล์ทำงานของที่บริษัท
“วันนี้แคนเซิลประชุมประจำสัปดาห์ ผมเลยออกเร็ว”
“จะบ้าตายเนอะ ไอทีซัพพอร์ตก็ต้องประชุมกับเขาด้วย อยากจะฟังหรือไงว่ามีปริ้นเตอร์พังกี่เครื่อง ถ่ายเอกสารไปกี่ใบ”
เธอบ่นแทนเขาเสียหน่อย ไหน ๆ ก็ออกจากงานแล้ว จะให้เด็กที่เพิ่งเริ่มทำงานมาโดนไล่ออกเพราะตะโกนด่าบริษัทไม่ได้
“ไอ้บริษัทเฮงซวย ไอ้โรงงานนรก ไอ้เช้าลก”
“เช้าลก?”
สายตาชีวันทำหน้าเอือมยามโดนขัดอารมณ์ เธอขยับแว่นสายตาที่สวมใส่แล้วยกมุมปากพูดอย่างเซ็ง ๆ
“เออ ช่างมันเถอะ นายนี่มันตัวขัดอารมณ์มนุษย์จริง ๆ ว่าแต่เสื้อนี่ใส่วิ่ง ใส่ทำงานด้วย มันจะซกมกไปหน่อยนะ พวกเราหน้าตาไม่ดีอย่างคนอื่น ก็ต้องยิ่งรักษาความสะอาดสิ จะทำตัวให้ใครหาเรื่องมาด่าเราอีกเหรอ ถอด ๆ”
คนดื่มหนักเป็นพิเศษ ขยับตัวมาคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่ม พยายามปลดซิปเสื้อวอร์มลงจากต้นคอ ด้วยความเป็นห่วงกลัวเสื้อจะสกปรกเพราะเหงื่อไคล
หมับ! ฝ่ามือใหญ่จับข้อมือเธอห้ามไว้
“อย่าครับ ผมกำลังลดน้ำหนัก”
“ลดบ้าบออะไร อายุแค่นี้”
“นี่คุณชีวัน เมาแล้ว ผมพาไปส่งนะ บ้านอยู่ไหนครับ”
“เฮ้ย! อย่ามายุ่งนะเจ้าเด็กเนิร์ด เดินกลับบ้านให้ตรงก่อนเถอะ ค่อยมาส่งพี่”
“สรุปคุณชีวันได้งานหรือยัง ลาออกแบบมีแผนอะไรรองรับไว้มั้ย” บทสนทนาเหมือนคนขับรถไถที่ไม่สนใจว่าหน้าดินจะเป็นอย่างไร เขาอยากถามเรื่องที่อยากได้คำตอบ และอยากฟังเฉพาะคำตอบที่ต้องการ คล้ายป้อนชุดข้อมูลที่จำเป็นให้แล้ว ก็ต้องได้คำตอบดี ๆ ดังใจเขาสิ
แผน…เหรอ…
เกลียดคำแบบนี้ชะมัด
ฉันจะ…
“ทำหน้าเหมือนบอกว่าจะไปตายเอาดาบหน้าเลยนะ”
“เฮ้ย! อยู่นอกบริษัทพูดเก่งเหมือนกันนะ”
“ผมคิดว่าเราสนิทกันแล้วนะครับ ไปเถอะ ผมไปส่ง”
“ไม่ ๆ ไม่ต้อง ฉันรับผิดชอบตัวเองได้ เดี๋ยวจะนั่งให้สร่างแล้วก็ค่อยกลับ”
สภาพไม่น่าไว้วางใจ ทำเอาอดีตเพื่อนร่วมงานไม่กล้าทิ้งไว้
ลมเย็นขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มสวนทางกับแสงบนท้องฟ้า จนสามารถเรียกว่าค่ำคืนได้เต็มปาก ต่างฝ่ายต่างยังนั่งเงียบอยู่ข้างกัน ชีวันรู้สึกแปลกนิดหน่อยที่เธอไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือรำคาญ อาจเพราะเขาดูไม่ซับซ้อน…ถึงจะคล้ายโรบอตไปหน่อย แต่ก็จริงใจกว่าเพื่อนร่วมงานที่เคยพบเจอมา
ส่วนหนุ่มพนักงานไอที กับกิจกรรมออกกำลังกายยามเย็นที่สวนสาธารณะแห่งนี้ เพิ่งเริ่มทำได้ไม่นาน เพราะความบังเอิญมาเจอชีวันครั้งหนึ่ง ทำเขาย้ายที่วิ่งจากฟิตเนส มาสวนทันที
“วิ่ง ใส่แมสก์ อันตรายนะ” ไม่มีอะไรจะคุย เลยหาอะไรพูดเพื่อกลบเกลื่อนความเงียบ
“มาทำงานกับผมมั้ย ผมอยากได้ผู้ช่วย” เขายังคงพูด…ในสิ่งที่ป้อนข้อมูลมาว่าต้องสื่อสารออกไป ไม่สนใจสถานการณ์
ชีวันหัวเราะ…
“ขนาดชื่อยังไม่รู้จักกันเลย คุณไอทีซัพพอร์ต”
เธออยากบอกมากกว่านั้น ไม่ใช่แค่แมสก์ แต่ผมปรกหน้า สวมเสื้อฮู๊ดคลุมหัวบางครั้ง บางครั้งเสื้อตัวใหญ่ก็ทำเขาจมหายไป ถ้าจะพูดว่าเธอแทบไม่รู้จักเขาเลย ก็คงจะใช่ ไม่เคยเห็นกันชัด ๆ ไม่เคยได้พูดคุยอะไรมากกว่า ซ่อมพรินเตอร์หรือไวไฟ
มันแปลกที่ระยะหลัง ๆ เขาเหมือนอยากทำดีกับเธอ คงเพราะสงสารหรือเปล่า แล้วก็ชอบมาจังหวะนรกเหลือเกิน มาเห็นฉากงี่เง่าในแผนกบ่อย ๆ คนไม่ค่อยพูดอย่างโรบอตคนนี้ คงพยายามปลอบใจด้วยการแอบเอาน้ำเอาขนมมาวางไว้ที่โต๊ะเหมือนเป็นเด็ก ๆ ไม่พูดไม่จาไม่บอกอะไร แค่มองตากันยามเดินผ่าน ถ้าเธอไม่บังเอิญเห็นว่าเป็นเขาที่มาทำดีด้วย ก็คงกลายเป็นปริศนาไปจนวันที่ลาออก
“ช่วงที่ผ่านมาที่บ้านผมต้องรับหนี้ค้ำไฟแนนซ์จากคนในครอบครัว โดนไป 3 แสน ต้องหาเงินมาปิด ไม่อย่างนั้นจะโดนฟ้องร้อง” จู่ ๆ เขาก็พูดเรื่องส่วนตัว ทำเอาชีวันแทบสร่าง ถึงเธอจะไม่ใช่นักบัญชีการเงิน แต่ทำงานธุรการมานานพอจะรู้เรื่องอยู่บ้าง ปัญหาเรื่องเงินนี่มันทรมานชีวิตมากนะ
“เราปล่อยให้เขาฟ้องได้นะ แล้วไปขึ้นศาล พอถึงตรงนั้น สามารถดีลให้จ่ายตามกำลังที่เราไหว” เธอแนะนำ
“ผมก็กะว่าจะทำแบบนั้น แต่พ่อกับแม่ดันเครียดมาก จนล้มป่วย ผมเลยต้องพยายามหาเงินทางอื่นที่ได้เร็วกว่า”
หาเงินสามแสน ในเวลาอันรวดเร็วเหรอ คนฟังชักลุ้นว่าเขาหาเงินอย่างไร เด็กสายไอที…ลงคริปโตหรือขายข้อมูล แต่…นี่มันไอทีซัพพอร์ต อย่าบอกนะว่าเอาโน้ตบุ๊กหรือฮาร์ดิสก์บริษัทไปขาย ถึงเธอจะเกลียด…ที่ทำงาน แต่ก็ไม่เคยคิดร้ายนะ
เพราะความเงียบปกคลุมบรรยากาศ ทำสองคนหันมามองหน้าผ่านแว่นสายตาหนาเตอะทั้งคู่
“เฮ้ย! ฉันไม่ขายนะ” ชีวันรีบปฏิเสธ
“อืม...จะขายมันก็ต้อง...นิดนึงมั้ย” เขาหัวเราะ
นี่แหละมั้ง…ความรู้สึกไม่เสแสร้ง
ชีวันเผลอหัวเราะตามไปด้วย
“ฉันก็สวยนะ” เธอพูดติดตลก
“ไม่ใช่ความสวย ผมหมายถึงเรื่องการกล้าเข้าหาคนอื่นน่ะ”
“หืม!? งานอะไร ขายตรงเหรอ แต่แบบนั้นใช้เวลานานเหมือนกันนะ” ชีวันรอฟัง สงสัยเหลือเกิน เด็กเนิร์ดแบบนี้จะทำอะไร
เธอยกแก้วเยติขึ้นมาดื่ม ในใจคิดว่าควรแบ่งเหล้าให้เขาดื่มมั้ย เพราะเด็กคนนี้มีหนี้เยอะกว่าหนี้บัตรเธออีก คงกลุ้มจนเพี้ยนไปแล้วแหละ
ชีวันดื่มอีกปึ๊ด เพราะกลัวหมด เธอตัดสินใจแล้ว
คนหนึ่งอยากยื่นแก้วให้ดื่มด้วยกัน
แต่อีกคนโน้มหน้ามาใกล้ ทำท่าขอกระซิบ
สองคนสุมหัวกันริมน้ำในเวลาค่ำมืด
“ผมทำบาร์โฮสอยู่”
ปู๊ดดดดดด!!!!!!!
น้ำเมาพุ่งออกจากปาก หน้าเมือกมันเลอะน้ำละอองฝอยไปด้วย ทั้งตกใจ ทั้งอยากหัวเราะลั่น แต่ทุกอย่างถูกทำให้หายไป เพราะเขายังเล่าต่อ แม้จะพยายามเช็ดหน้าตัวเองด้วยข้างแขนเพราะโดนสึนามิสาดใส่
“รายได้ดีแหละ ปลดหนี้ได้ภายใน 2 เดือน”
“เดี๋ยว ๆ นายทำบาร์โฮสต์ ปลดหนี้สามแสน ในสองเดือน นายทำอะไร เป็นเด็กเสิร์ฟเหรอ หรือมีตำแหน่งอะไร” ชีวันถามต่อ รู้สึกเป็นห่วง
“…….”
การสบตาอีกครั้ง…ช่างขุ่นมัว เบลอ…เสียจนไม่เห็นหน้า
ชีวันถอดแว่นออก เพื่อเช็ดน้ำลายผสมน้ำเมาที่พ่นปู๊ดเมื่อครู่ ส่วนเด็กไอที ก็ทำท่าเดียวกัน เพราะเขาคือผู้ประสบภัยโดยแท้จริง
“ก็เป็นโฮสต์ไงครับ”
“…….” ความไม่เชื่อ มันทะลุผ่านสายตาที่สามารถอ่านได้
“ถึงจะพูดเก่งก็เถอะ แต่ก็ควรจะหน้าตาดีไม่ใช่เหรอ ทำบาร์โฮสต์”
“ไม่พูดเยอะแล้วกัน” เขาหัวเราะ
ทำเธอขำไปด้วย…ไอ้นี่…แปลกแฮะ เพ้อเจ้อด้วย
“ผมกำลังจะลาออกจากที่นั่น แล้วมารับเองส่วนตัว ผมอยากได้ผู้ช่วย”
แหนะ…ยังไม่เลิกเพ้อ!?
“ช่วยยังไง”
“ก็ช่วยจัดคิวงาน แล้วก็อาจจะต้องตอบแช็ต เพราะบางทีลูกค้าทักมาตอนอยู่ออฟฟิศ ผมก็ไม่สะดวก”
ชายหนุ่มพูดไปเรื่อย…ชีวันนั่งตบยุง หาอะไรถามตอบส่ง ๆ ไป แต่สุดท้ายเขาก็ยังชวนไปทำงานด้วยกันอยู่ดี
“ไม่อะ ไม่มั่นคง” ชีวันคิดปฏิเสธดีกว่า เป็นโฮสต์ ถ้าหล่อก็คงปัง แต่นี่ แม่ยกเห่อเพราะแปลกหรือเปล่า แต่ต่อให้ปังจริง เดี๋ยวคนก็ลืมแล้ว ไม่น่าทำได้นานหรอก
“ตอนนี้ที่ลาออกโดยไม่มีงานรองรับ คือ มั่นคงเหรอครับ”
“เดี๋ยวก็หางานได้” รู้ดีจริงเจ้าเด็กนี่ ฉันบอกเมื่อไรยะว่าไม่มีงานรองรับ
“โอเค ถ้าเปลี่ยนใจ หรือสนใจอยากทำด้วยกัน ก็ติดต่อมานะ คุณคงหายเมาแล้ว งั้นผมกลับก่อนแล้วกัน”
เขาลุกแล้ววิ่งออกไป…ปล่อยเธอทิ้งไว้
สักพักก็กลับมาอีกครั้ง
“เบอร์ผมครับ”
นามบัตรถูกยัดใส่มือ และบังคับให้กำเอาไว้ด้วย
“โทรมานะครับ”
.
.
.
‘เคยนึกว่าสวนสาธารณะคือที่ผ่อนคลายอารมณ์ แต่เอาจริง ๆ เจอเจ้าเด็กนี่ทีไร ฉันรู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจตลอดเลย’
-บันทึกของชีวัน-
