ตื๊อครั้งที่ 2
“ปลุกฉันทำไมคะ เจ้าแม่เอาแต่ใจ” นิรมลทำหน้าหงิกหน้างอประชด
“แกจะกลับเลยไหมเดี๋ยวให้คนไปส่ง” ปากถาม มือก็เก็บข้าวของใส่กระเป๋าสะพาย
“หมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่ง” หันไปมองหน้าเพื่อนแวบหนึ่งก่อนเดินไปหยิกแก้มอูม ๆ นิดหน่อยของเธอ
“เขาเรียกว่ามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ทุกอย่างจบแล้วก็แค่แยกย้ายกลับถิ่น เข้าใจ?”
“อย่ามาพูดสวยหรู ถีบหัวส่งแหละเข้าใจง่ายแล้ว”
นี่ยังงอนฉันจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย
“เก้าโมงแล้วนี่ ทำไมแกยังอยู่” เพิ่งมาถาม ไม่รอฉันออกจากห้องไปก่อนล่ะเพื่อนเอ๊ย!
“พี่น่านเล่นฉันแล้วไง” พูดแล้วก็เจ็บใจพี่ชายตัวเอง
“ยังไง”
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ถ้าแกจะกลับบอกคนรถได้เลยนะ”
“เดี๋ยว! แกจะไปไหน”
“ไปบริษัท” ฉันบอกเป้าหมายตัวเองให้เพื่อนรักฟัง
“เข้าบริษัท เพื่อ?”
ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น นั่นบริษัทครอบครัวฉันนะ
“พี่น่านเอาคนของฉันไปซ่อนที่นั่น”
“คนของแก อ๋อ หมายถึงคนที่แกลากพวกฉันมาแปลงโฉมเพื่อเขาแต่เช้าเนี่ยนะ”
“เออ คนนั้นแหละ ไม่คุยกับแกแล้วเดี๋ยวมีคนส่งข่าวว่าฉันจะไปพี่ชายตัวแสบรู้เข้าก็พาเพื่อนเขาไปซ่อนอีก” กำลังจะก้าวหันหลัง นิรมลผู้คู่กัดก็หัวเราะขึ้นมาจนต้องเอี้ยวตัวกลับไปมอง
“ขำอะไรของแกยัยนิ”
“ก็ขำแกไง คนเย่อหยิ่ง คอเชิดเป็นเอ็น แต่วิ่งตามผู้ชายคนเดียวมาเป็นสิบปี”
ถ้าไม่ใช่เพื่อนมีวอร์แล้วนะบอกเลย
“เขาเรียกรักเดียวใจเดียว”
“เออ เชื่อ! รักเดียวใจเดียวที่หมายถึง แกรักพี่เขาฝ่ายเดียวอะ”
“ยัยนิ!”
“เออ ๆ ไม่ล้อแล้ว ไปตามหาหัวใจของแกไป เดี๋ยวขอหลับต่อสักพักค่อยกลับ”
นึกว่าจะล้อไม่จบ
“เดี๋ยวคืนนี้โทร.หา”
“ไปเถอะ เดี๋ยวพี่ชายแกรู้ข่าวพาผู้แกหนีอีก คนอะไร ขนาดพี่ชายยังไม่อยากให้น้องคบเพื่อนตัวเองเลย”
ได้ยินนะแต่ขี้เกียจเถียงต่อ เปลืองน้ำลายแถมเสียเวลาตามหาพี่บุรินของฉัน
ทำไมรถเมืองกรุงถึงได้เยอะขนาดนี้นะ ถนนมีตั้งหลายเลนหลายเส้นหลายสาย แต่สุดท้ายรถก็แน่นเอี๊ยดทุกเส้นทางที่ฉันจะไปอีก
ปี๊บ ๆ บีบแตรไล่รถเต่าที่อยู่ด้านหน้าฉัน คันก็เล็กนิดเดียวทำไมไม่เบียด ๆ ช่องว่างตรงกลางไปก็ไม่รู้ ถ้ารถเคลื่อนหนึ่งคันก็จะมีคันสองสามสี่ขับตามเป็นขบวน แค่นี้รถก็ไม่ติดแล้ว
ตู๊ดดด... พยายามโทร.หาพี่ชายแต่รายนั้นไม่ยอมรับสักสาย แล้วนี่ใกล้จะสิบโมงแล้ว ถ้าเขาอยู่กับเพื่อนป่านนี้ไม่พากันออกไปทานกาแฟที่อื่นกันแล้วเหรอ เพราะนิสัยพวกเขาสองคนเหมือนกันตรงที่ต้องทานกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลตอนสิบเอ็ดโมงที่ร้านกาแฟข้างบริษัท แต่นี่ผ่านมาแล้วสามปี ฉันไม่แน่ใจว่านิสัยเขาคนนั้นจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า ถ้าไปดักรอร้านกาแฟที่พวกเขาชอบไปเวลานี้จะเจอไหม
ตู๊ดดดด... โทร.จนมือหงิกพี่น่านก็ไม่ยอมรับสาย
“จงใจไม่รับโทรศัพท์สินะ”
ถ้าโทร.ตรงเข้าบริษัทก็กลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น แม้บางทีงูฉลาดอย่างพี่ชายฉันจะรู้แล้วก็ตาม
“เอาก็เอา!” มองเห็นช่องว่างด้านซ้ายมือพอดี ถ้าฉันขับไปทางนั้นก็จะผ่านรถสามสี่คันที่ไม่ยอมขยับสักทีเพราะมัวมีมารยาททางถนนกันอยู่
“ขอเสียมารยาทหน่อยนะคะ”
เขาห้ามแซงซ้ายรู้ดี แถมนั่นเป็นเลนสำหรับรถมอเตอร์ไซค์อีก ถ้าเกิดมีตำรวจอยู่หรือมีพลเมืองดีอัดคลิปไว้ชีวิตจบเห่แน่ แต่ตอนนี้จะเสียเวลาต่อไม่ได้ ผู้ชายสำคัญกว่า ฉันต้องเสี่ยง!
ปี๊บ ๆ...
เอี๊ยดดดด โครม!
ซวยแล้ว! ทำไมต้องเป็นแบบนี้ตอนนี้ด้วยนะ
“งามหน้าไหมล่ะ?”
ผู้ชายร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อสูทสีกรมท่าเข้ม ใบหน้าดุดัน ผมสีน้ำตาลเกือบดำมองดุมาทางฉัน
“ความผิดพี่น่านนั่นแหละ”
เถียงเขาแม้ในใจจะกลัวสายตาที่จ้องมามากแค่ไหนก็ตาม
“ความผิดพี่?” คนตัวโตที่นั่งไขว่ห้าง ห้านิ้วประสานกันศอกแหลมตั้งบนหน้าตักถามขึ้น
“พี่น่านไม่รับโทรศัพท์เนตร แถมยังแอบมารับคนของเนตรอีก”
“เดี๋ยว ๆ ใครคนของเรา?”
คิ้วเรียงตัวสวยสีดำสนิทขมวดขึ้นทันที
“ก็คนที่พี่น่านเอาไปซ่อนไว้ไงคะ”
ขนาดตอนนี้พี่ชายฉันอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ยังไม่เห็นแม้เงาคนที่เขาไปรับมาจากสนามบินเมื่อเช้าเลย
“ไอ้บุริน? มันไปเป็นคนของเราตั้งแต่เมื่อไหร่” ถามเหมือนไม่รู้ว่าน้องสาวตัวเองแอบปลื้มเพื่อนพี่ชายมาเป็นสิบปี
“พี่น่านเลิกกั๊กเถอะค่ะ บอกเนตรมาเลยพี่บุรินอยู่ที่ไหน”
“พี่ไม่รู้ ไม่ใช่แฟนมัน”
“พี่น่าน!”
“พอเลย อย่าเอาเรื่องคนอื่นมากลบเกลื่อนความผิดที่ยังไม่สะสาง”
หน้าฉันเจื่อนลงทันทีทันใดที่พี่น่านพูดคดีความเมื่อเช้าขึ้น
“เนตรไม่ได้ตั้งใจ อีกอย่างเราก็ชดใช้ค่าเสียหายไปแล้ว”
“อย่าปัดความรับผิดชอบแบบนี้พี่ไม่ชอบ”
ปากง้ำคอตกเมื่อพี่ชายสบตาดุ ๆ มองอย่างคาดโทษ
“เงินไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ถ้าเราไม่มีเงินจะแก้ปัญหาที่ขับรถผิดกฎจราจรจนทำให้คนอื่นเดือดร้อนแบบนั้นยังไง”
“ก็...” ทำไมถึงตอบคำถามง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ
“เราก็ดีแต่ใช้เงินแก้ปัญหา”
ที่พี่ชายฉันพูดก็ถูกแหละ