บทที่ 8
(Mode: Lucas Collins)
“โลแกน ผมได้ยินเรื่องที่คุณไปมีเรื่องชกต่อยกับชมรมอเมริกันฟุตบอลมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน แถมเมื่อไม่กีวันที่แล้วก็ยังไปมีเรื่องกับนักเรียนโรงเรียนข้างๆ มาทำเอาต้องมีคนแอดมิทเข้าโรงพยาบาลเกินสามสิบคนภายในเวลาไม่ถึงเดือน”
ผมกับโลแกนที่ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องปกครองกระพริบตาปริบๆ กับคำพูดของผู้อำนวยการโรงเรียนที่มองพวกเราสองคนผ่านแว่นทรงวงกลมของตัวเองด้วยสายตาคมกริบ เขาเป็นผู้อำนวยการที่สูงวัย อย่างที่โรงเรียนมัธยมน่าจะมี ดูท่าทางมีอำนาจ สุขุม และดูเหมือนจะเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่กล้าพูดกับโลแกนพร้อมกับมองตาเขาไปด้วย เอ่อ แต่เดี๋ยวนะ ที่ท่านกำลังมองอยู่น่ะ ตาผม และผมไม่ใช่โลแกนนะครับ
“เอ่อ แต่ว่าผม…” ผมพยายามจะรีบแก้ไขความเข้าใจผิด หากอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาห้ามทันที
“คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองมีสิทธิ์ถูกไล่ออกจากโรงเรียนได้ทุกเมื่อ แม้แต่ตอนนี้ วินาทีนี้”
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกพร้อมกับก้มหน้างุด อยากจะบอกคนตรงหน้าเหลือเกินว่าผมไม่ใช่โลแกน แล้วทำไมท่านถึงมั่นใจนักว่าผมคือโลแกน ไม่ใช่ลูคัส นี่อย่าบอกนะว่าไอ้โลแกนมันเล่นละครเป็นผมได้ดีกว่าที่ผมเป็นตัวเองจริงๆ? บ้าน่า…
“แต่มันก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันไม่ใช่เหรอครับว่าโลแกนเป็นคนทำ” โลแกนตัวจริงที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมพูดตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่เจ้าตัวแสบพูดออกไปหน้าตาเฉย เอ็งเป็นคนทำแท้ๆ ยังไม่ยอมรับความผิดอีก! แถม… ยังมีหน้ามาสวมบทเป็นผมต่ออีกนะ ไอ้ชิบหายเอ๊ย….
“คำบอกเล่าของผู้เสียหายเป็นพยานในตัวของมันเองอยู่แล้ว คุณลูคัส” ท่านผู้อำนวยการหันไปพูดตอบกับไอ้โลแกนสีหน้าราบเรียบ เอ่อ ฮัลโหลครับ นั่นไม่ใช่ลูคัสครับ ลูคัสอยู่นี่
“เอ่อ คือ…”
“ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ โลแกน” เจ้าตัวหันขวับกลับมาทางผมด้วยสายตาคมกริบ ขนาดผมที่รู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่โลแกนยังต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “ครูประจำชั้นของคุณบอกผมแล้ว คุณอยากจะเป็นตำรวจใช่ไหม คุณคงคิดสินะว่าคะแนนสอบระดับหัวกะทิของคุณคงสามารถเข้าโรงเรียนตำรวจได้ไม่ยาก”
“เอ่อ”
“แต่ผมจะบอกอะไรให้ สมัยนี้นี่นะ ไม่ใช่ว่าแค่คะแนนในสมุดพกเท่านั้นที่สำคัญ แต่การกระทำของเราเองก็ด้วย” ผมเชื่อว่าถ้าตอนนี้โลแกนไม่ได้สวมบทเป็นผมอยู่ล่ะก็ มันคงกลอกตาขึ้นมองเพดานด้วยความเหนื่อยหน่ายแล้ว
หลังจากนั้นผมก็ทนฟังผอ. เทศน์อีกประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นท่าทางสงบเจี๋ยมเจี้ยมของผม ก็แหงสิ ก็ผมไม่ใช่โลแกน แต่ดันโดนเทศน์แทนมันแบบนี้ คงจะทำหน้าระรื่นอยู่ได้หรอก
“อ้อ ก่อนไป” คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะว่า ก้มตัวลงค้นเอกสารจากในลิ้นชักกุกกัก จากนั้นก็ยื่นเอกสารจำนวนหนึ่งให้โลแกน “เอ้านี่ คุณคอลลินส์ ผมได้ยินมาว่าคุณอยากเข้าวิทยาลัยทางดนตรี เท่าที่ผมเห็นคุณในงานเทศกาลโรงเรียนมา คุณเองก็มีฝีมือพอตัว ผมสนับสนุนนะ ขอให้คุณได้เรียนในสิ่งที่ชอบ”
โลแกนรับเอกสารปึกนั้นมาดูนิดหนึ่ง คลี่ยิ้ม ก่อนจะยื่นส่งให้ผมหน้าตาเฉย
“เอ้านี่ ลูคัส มีพวกทุนอะไรเต็มเลย ลองกว้านสมัครดูสิ มันต้องได้สักอันแหละ” แล้วเจ้าตัวก็เดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้ทั้งผมและผอ. มองตามหลังมันไปพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ
“นี่ ลูคัสเหรอ?”
ก็ใช่น่ะสิครับ….
ผมตรงดิ่งไปยังห้องซ้อมดนตรีทันทีออดเลิกเรียนดังขึ้น ปีเตอร์อยู่ในตัวห้องก่อนแล้ว เจ้าตัวกำลังดีดสายกีต้าร์ไฟฟ้าที่ยังไม่ได้เสียบเข้ากับลำโพงเพื่อซ้อมมา พอผมก้าวเข้าไป เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาระแวงนิดหนึ่ง ก่อนจะถามแหยงๆ
“นี่… ลูคัสใช่ไหม”
“อือ”
“โอเค” เจ้าตัวว่า แต่ยังมองผมด้วยสายตาไม่แน่ใจนัก ไอ้บ้าโลแกนเอ๊ย สวมรอยบ่อยจนทำเอาคนรอบตัวผมผวาไปหมดแล้วเนี่ย
“นี่ วันนี้ได้นี่มาจากผู้อำนวยการ” ผมพูดพร้อมกับโบกแผ่นกระดาษในมือให้เพื่อนร่วมก๊วน เจ้าตัวเอื้อมมือมาหยิบไปดู ปีเตอร์เป็นคนที่มีเส้นผมสีแดงอมส้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ใบหน้าตกกระเล็กน้อย ตัวเตี้ยกว่าลงไปนิดหนึ่ง ผมกับโลแกนเรียกได้ว่าเป็นคนที่สูงพอสมควรเลยก็ว่าได้ โชคดีที่พวกเราสองคนสูงเท่ากัน เพราะถ้าเกิดผมเตี้ยกว่ามัน ผมคงได้ก่นด่าสาปแช่งพระเจ้าเป็นแน่
ขอทีเถอะ แค่นี้ก็เป็นรองมันหลายอย่างแล้ว ถ้าไม่อยากให้ผมเหนือกว่ามัน อย่างน้อยให้เสมอกันก็ยังดี
“น่าสนใจว่ะ นายจะสมัครไหม”
“ว่าจะลองดู” ผมพูดพร้อมกับเดินไปเปิดฝาเปียโนสีดำขลับน่าหลงใหลขึ้น จริงๆ วันนี้อยากซ้อมไวโอลินแล้วก็กีต้าร์โปร่งด้วย แต่อืม… ถ้าผมจะสมัครทุนจริงๆ ยังไงก็ต้องเน้นที่เปียโนนี่ล่ะนะ
“นายต้องได้ทุนแน่เลยว่ะ นายเก่งออก”
“ก็ขอให้เป็นแบนั้น” ผมพึมพำ “ที่บ้านการเงินไม่ค่อยดีเท่าไร”
“น้าไม่ได้ส่งให้แล้วเหรอ”
“ส่ง” ผมตอบ เริ่มกดนิ้วลงบนคีย์เปียโนนิดหนึ่งเพื่อวอร์มอัพ “แต่เขาก็มีภาระที่ต้องใช้จ่ายในครอบครัวเขาเหมือนกัน คงรบกวนเขาตลอดไปไม่ได้หรอก”
ปีเตอร์พยักหน้ารับเนิบๆ จากนั้นก็เริ่มหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบเข้ากับกีต้าร์ไฟฟ้าของตัวเองแล้วซ้อมต่อ
ผมขลุกอยู่ในห้องชมรมที่มีคนเวียนเข้าเวียนออกอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็ขอตัวออกจากที่นั่นเพราะวันนี้มีงานพิเศษต้องไปทำกะดึก
ผมตัดสินใจเดินออกนอกโรงเรียนผ่านประตูหลังเพราะเป็นทางที่ใกล้กว่า ใจก็คิดถึงเรื่องทุน เอกสารและสิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการยื่นขอ ถ้าเกิดว่าผมได้ทุนเรียนในวิทยาลัยทางดนตรีจริงๆ นั่นจะต้องเป็นเรื่องที่วิเศษมากแน่ๆ ถึงจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าการเลือกเดินไปทางนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนก็เถอะ แต่ก็อยากจะลองสักตั้ง แต่ถ้าไม่ได้ทุนที่ว่านี่ก็อาจจะจบอยู่แค่ตรงนี้…
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ไหล่ผมก็ไปชนเข้ากับบ่าของใครอีกคนที่เดินเข้ามา ผมหลุดอุทานออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นไปหาอีกฝ่ายทันที
“ขอโทษนะครับ”
แต่เหมือนนั่นจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไร เพราะชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เหมือนภูเขากระชากคอเสื้อผมขึ้นไปแล้ว เหวอ… คนอะไรจะตัวใหญ่ได้ขนาดนี้เนี่ย!?
“ขอโทษแล้วมันหายรึไง หา! ไอ้หน้าปลาจวด”
โอ้โห ด่าซะ เจ็บไปถึงทรวง
“ก็ขอโทษแล้วนี่” ผมขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เบื่อจริง พวกชอบใช้กำลังไม่เข้าท่าเนี่ย “อีกอย่าง ตัวนายเองก็ออกจะใหญ่โต โดนชนไปแค่นั้นไม่บุบสลายหรอกน่า”
“อุ๊บ” เสียงเพื่อนของไอ้ภูเขาเดินได้นี่เริ่มปิดปากหัวเราะกันเป็นแถว ยิ่งทำเอาเจ้าตัวหน้าแดงด้วยความไม่พอใจแล้วกระชากคอเสื้อผมให้สูงขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง
“แกไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร”
อืม… ดูจากทรงนี้แล้วคงจะเป็นนักเรียนเข้าใหม่… พวกเกรดสิบรึเปล่านะ เด็กสมัยนี้นี่โตกันไวจังแฮะ แต่แบบนี้ก็แปลว่าหมอนี่ไม่รู้จักโลแกนน่ะสิ ฮืม แย่จัง ว่าจะหลอกมันเสียหน่อย
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ผมก็เหยียดยิ้มบนมุมปากส่งให้อีกฝ่าย
“นายต่างหากที่ไม่รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร ไอ้หนู”
“หนอย!” ภูเขาเดินได้เงื้อหมัดของมันขึ้นมา “ไอ้นี่วอนซะแล้ว”
ผมปัดมือที่มันกระชากคอเสื้อผมขึ้นไปออกจากนั้นก็ดีดขาส่งตัวออกจากองศาที่อาจโดนหมัดหนักๆ นั่นกระแทกเข้ามาบนหน้า แค่วิถีที่หมอนี่เหวี่ยงหมัดก็รู้เลยว่ามือสมัครเล่น เบื่อจริงๆ เลย พวกที่ไม่รู้วิธีต่อสู้จริงๆ แล้วยังจะมีหน้ามาหาเรื่องคนอื่นอีกเนี่ย
“แก!!”
ภูเขาเดินได้ถลาตัวเข้ามา ผมก้มตัวลง ใช้ศอกกระแทกสีข้างของคนตรงหน้าอย่างไร้ความปราณี ได้ยินเสียงร้องอั่กสั้นๆ หลุดออกมาจากปากเจ้าตัว จากนั้นชายหนุ่มก็ทรุดลงไปงอตัวด้วยความเจ็บปวด ไม่รู้ซะแล้วว่าเล่นอยู่กับใคร
หากเมื่อผมเริ่มโจมตีใส่เจ้าภูเขานี่ เพื่อนๆ ของมันก็เริ่มล้อมกรอบเข้ามาทางผมอย่างรวดเร็ว แย่ล่ะสิ ถ้าสู้แบบตัวต่อตัวก็อาจจะหาทางเอาชนะได้ แต่ถ้ามันรุมเข้ามาพร้อมกัน ต่อให้เก่งขนาดไหน แต่ถ้าไม่ใช่ระดับโลแกนก็น่าจะรอดยาก
พลาดแล้วสิเรา ไอ้พวกอันธพาลพวกนี้คงไม่มีน้ำใจนักกีฬาพอที่จะสู้ตัวต่อตัวหรอกสินะ
ผมลงมือเตะขาของเด็กหนุ่มที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินและดูไร้น้ำยาที่สุดในกลุ่มก่อน เจ้าตัวร้องโอ๊ยแล้วก้มตัวลงไปกุมเข่าแทบจะในทันที แต่ในเวลาเดียวกันเท้าของคนที่อยู่ด้านข้างก็กระแทกเข้ากลางลำตัวจนผมเซไปแทบจะล้มไปกองกับพื้น
ชายหนุ่มอีกคนที่ใส่หมวกลายทหารกำหมัดแล้วถองลงบนหน้าท้องผมเต็มรัก เล่นเอาจุกจนร้องไม่ออก ตอนนี้ไอ้ภูเขาที่เริ่มฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเริ่มลุกกลับขึ้นมาอีกครั้งและยกฝ่าเท้าถีบเข้าที่ข้อพับผมเข้าไปเต็มๆ และแน่นอนว่านั่นทำให้ผมทรุดเข่าลงไปติดพื้นคอนกรีตทันที
แม่งเอ๊ยยย ชิบหายแล้วไงล่ะ สี่รุมหนึ่งแบบนี้ แล้วผมจะไปชนะได้ไง โคตรขี้โกง
คนใส่เสื้อลายทางยกเท้าขึ้นมาจะเหยียบลงบนขาของผม ผมรีบขยับหลบจากนั้นถองศอกเข้าที่เข่าของเจ้าเสื้อสีน้ำเงินอย่างแรง พยายามหลบหมัดจากไอ้ภูเขาที่พุ่งเข้ามาแต่ไม่ทัน มันจึงกระแทกลงบนใบหน้าผมเต็มๆ ตอนนี้ทัศนวิสัยผมมันพร่ามัวจนเริ่มเห็นอะไรไม่ชัดแล้ว รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่อยู่ในปากที่คงจะมาจากหมัดเมื่อครู่
พลาดจริงๆ… ไม่น่ามาออกประตูหลังที่ค่อนข้างปลอดคนแบบนี้เลย แล้วแบบนี้ผมจะหลุดออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ได้ยังไงล่ะเนี่ย
ผมพยายามจะยันตัวลุกขึ้น แต่ขาของใครสักคนก็กระแทกลงมาบนไหล่ผมให้ล้มกลับไปนอนราบกับพื้น และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาจากการนอนราบไปกับพื้นแบบนี้ก็คือการยำตีนนั่นเอง
ผมไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าใครกำลังทำอะไร รู้แต่ว่าแรงกระแทกแรงๆ ของฝ่าเท้าใครสักคนกระเทือนไปจนถึงไตของผม และนั่นทำให้ผมแหกปากร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด สิ่งที่ผมทำในตอนนี้คือพยายามไม่ให้มือตกลงพื้น เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นร้ายแรงกับมือผมล่ะก็… อย่าหวังจะได้เล่นเปียโนอีกเลยตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะคงสติเอาไว้ไม่อยู่แล้วสิ…
พลั่ก!
เสียงหมัดที่กระแทกลงบนผิวเนื้อของใครสักคนอย่างแรงดังขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ผิวเนื้อของผม
มีใครสักคนมาช่วยผม...
ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปมองคนคนนั้นทันที แปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นโลแกนยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับยึดร่างของไอ้เสื้อลายทางโดยจับมือข้างหนึ่งของมันไพร่หลังแล้วเหยียดออกเต็มที่
“เดี๋ยว โลแกน” ผมพูดอย่างร้อนลน แต่ไม่ร้อนลนเท่าเจ้าเสื้อลายทางที่กำลังกรีดร้องและดิ้นเร่าๆ ด้วยความทรมานนั่นหรอก “อย่า…”
แต่ไม่ทันแล้ว โลแกนจัดการหักกระดูกแขนของไอ้หมอนั่นลงอย่างเลือดเย็น จากนั้นก็ย่างเท้าสามขุมไปที่ไอ้หมวกลายทางที่ค่อยๆ ก้าวถอยหลังหนีอย่างหวาดกลัว แต่แน่นอนล่ะว่าไม่มีใครหนีพ้นเงื้อมมือของโลแกน คอลลินส์ไปได้…
ผมหลับตา ฟังเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังขึ้นระงมราวกับมีมหรสพเกิดขึ้น ผมไม่เอ่ยปากห้ามน้องชายฝาแฝดของตัวเองเพราะรู้ดีว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ฟัง ที่สำคัญกว่านั้น… ตัวของผมชาและระบมไปหมด แค่แรงจะขยับตัวลุกขึ้นยังไม่มี
เสียงกรีดร้องเหล่านั้นค่อยเปลี่ยนเป็นเสียงโอดครวญอย่างทรมานแทน โลแกนสาวเท้าเข้ามาหาผม ใบหน้าของเจ้าตัวมีคราบเลือดติดอยู่บนแก้มเล็กน้อย จากนั้นก็เอื้อมมือมาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นยืนจากพื้น ผมมองไปรอบตัวที่ตอนนี้ทั้งสี่คนที่พยายามจะรุมทำร้ายผมเมื่อครู่ลงไปนอนกองกับพื้นกันหมด
“แก…” ไอ้ภูเขาที่ยังพอมีสติอยู่พูดขึ้น “แกจะไม่ได้อยู่ในโรงเรียนนี้จนจบภาคการศึกษาแน่ คอยดูนะ!”
“โอ้โห กลัวจนตัวสั่นแล้วเนี่ย” โลแกนว่าด้วยรอยยิ้มยียวน สาวเท้าไป ก้มลงแล้วจิกเส้นผมของชายหนุ่มปากดีคนนั้นขึ้นมา นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับอย่างน่ากลัว “แกอย่าพยายามดีกว่าถ้ายังอยากมีที่ยืนต่อ แกคือปาร์คเกอร์ที่อยู่เกรดสิบใช่ไหม คงไม่อยากให้ฉันแพร่งพรายเรื่องที่นายขายยาให้พวกเด็กเกรดเก้า เกรดแปดให้ใครๆ รู้หรอกใช่ไหม อ้อ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องของหมอนี่นะ ฉันรู้เรื่องความลับของพวกนายทุกคน แต่ฉันเดาว่าพวกนายคงไม่อยากให้ฉันไล่ให้ฟังหรอกใช่ไหม หืม?”
เจ้าตัวแสบหันไปขู่กำชับ และนั่นทำให้คนที่อยู่บริเวณนั้นทุกคนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม โลแกนปล่อยมือออกจากเส้นผมของชายคนนั้นแล้วตรงมาหา คว้ากระเป๋าเป้จากมือผมไปถือ มุ่งหน้าไปที่ประตูหลังโรงเรียนโดยไม่ลืมหันไปเหยียดยิ้มกวนประสาทให้กับทุกคนที่นอนกองอยู่บนพื้น
“และอีกอย่าง ชื่อของฉันคือโลแกน คอลลินส์ จำเอาไว้ให้ขึ้นใจและอย่าได้มาแหยมกับฉันอีกล่ะ เข้าใจไหม เจ้าพวกเด็กใหม่”
อืม… บางทีความป่าเถื่อนและโรคจิตของหมอนี่ก็เป็นประโยชน์เหมือนกันแฮะ