บท
ตั้งค่า

บทที่ 7

(Mode: Lucas Collins)

เสียงริงโทนนาฬิกาปลุกที่ผมตั้งไว้ในโทรศัพท์แผดเสียงร้องลั่นด้วยท่วงทำนองที่สุดจะเหลือรับจริงๆ

ผมลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่รับรู้คืออาการปวดหัวจี๊ด… เหมือนมีคนเอาพลั่วมาฟาดลงบนสมองแรงๆ อย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็ความรู้สึกปั่นป่วนในท้อง คลื่นไส้ รู้ตัวอีกทีผมก็พุ่งไปที่ชักโครกแล้วขย้อนของเก่าที่กินเข้าไปเมื่อวานออกมาอย่างทรมาน

นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าแฮงค์… ไม่เคยกินเหล้าจนเป็นหนักขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย

ผมเดินกลับออกมาจากห้องน้ำเพื่อหยิบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวในการทำภารกิจยามเช้า จากนั้นก็เหลือบไปมองเจ้าฝาแฝดตัวร้ายที่ยังนอนกรนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า…

เดี๋ยวนะ… เปลือยเปล่าเหรอ?

ผมก้มลงมองสภาพของตัวเองทันที ก่อนจะรู้สึกหน้าร้อนขึ้น จากนั้นอาการมึนเมาไม่ได้สติที่ว่าก็ปลิวหายไปอย่างรวดเร็ว ความทรงจำของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหลั่งไหลเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วราวกับน้ำป่าไหลหลาก

โอ๊ยยยย ตายแล้ววว นี่ผมนอนกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย… ไม่อยากจะเชื่อเลย!! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่เนี่ย!?

ผมพยายามสลัดความคิดน่าสลดใจนั่นออกจากหัว ตรงดิ่งไปจัดการอาบน้ำแต่งตัว และเมื่อก้าวออกจากห้องน้ำโลแกนก็ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ พี่ชาย” เจ้าตัวส่งยิ้มยียวนตามแบบฉบับมาให้ “อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ งั้นฉันขอเข้าต่อนะ”

ผมสะดุ้งเฮือกทีหนึ่งเมื่อคนตรงหน้าเลื่อนมือมาสัมผัสเส้นผมของผมอย่างแผ่วเบา ผมหลับตาทั้งสองข้างแน่นอย่างไม่รู้ตัวเลย และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เห็นแบบนั้นแล้วผมจึงถองมันไปเบาๆ ทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้

“ขำบ้าอะไร!?”

“ก็นายทำหน้า…. ฮ่าๆๆๆ ฉันแค่เอาฝุ่นออกจากหัวนายเฉยๆ เอง ลูคัส” พูดพลางเจ้าตัวยื่นเศษฝุ่นที่ว่ามามาให้ผมดูด้วย “ไม่ได้กำลังจะจูบนายสักหน่อย ทำเป็นตกใจเป็นสาวน้อยที่เพิ่งเสียตัวครั้งแรกไปได้”

“อะ...!!?” หนอย… ไอ้บ้านี่!!

“โถ หน้าแดงใหญ่แล้ว ลูคัสเอ๊ย นายนี่มันไก่อ่อนจริงๆ เลยว่ะ” โลแกนว่าพร้อมกับเลื่อนมือมายีหัวผมแรงๆ สองสามที ไอ้บ้าเอ๊ย… อุตส่าห์จัดทรงแล้วนะเว้ย “แต่… ถ้านายอยากให้จูบ ฉันจูบให้ก็ได้นะ เอาไหม?”

“ไม่ล่ะ ขอบคุณ” ผมพูดอย่างหัวเสีย เดินไปคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นมา อุปกรณ์การเรียนที่ผมต้องการมีอยู่ข้างในครบแล้วผมจึงแค่ยกมันพาดไหล่ เตรียมไปโรงเรียน

“เดี๋ยวสิ” โลแกนว่า “จะไปแล้วเหรอ ไม่คิดจะรอกันบ้างเลยรึไงครับ”

“ไม่ล่ะ”

“นี่ ทำไมต้องหลบตากันแบบนั้นด้วยล่ะ ตอนพูดน่ะ”

“ฉันไม่ได้…” แต่ผมพูดได้แค่นั้นเพราะเจ้าตัวเอื้อมมือมาบิดคางผมให้หันไปมองหน้ามันแล้ว

ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้น ภาพที่มันซุกหน้าลงมาบนร่างของผมเมื่อคืนโลดแล่นเข้ามาในหัวราวกับมีใครเอามาฉายซ้ำอย่างจงใจ ผมหลบตาหนีมัน แต่จากหางตาก็เห็นยกยิ้มขึ้นน้อยๆ อย่างขี้เล่นเหมือนเดิม

ก็แหงสิ ผมไม่หวังอะไรน้อยไปกว่านี้หรอก น้องชายฝาแฝดของตัวเองที่นอนกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ชอบต่อยตีกับคนอื่นไปทั่วแถมยังไม่เคยแพ้ใครสักครั้ง ซ้ำยังได้สมญานามว่าไอ้เด็กนรกมาแต่ไหนแต่ไร เพราะงั้น… ไม่น่าแปลกใจหรอกถ้ามันจะไม่ได้เปลี่ยนไปแม้จะเพิ่งนอนกับพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองไปก็ตาม

แม่ง… ไม่เข้าใจเลย มันไม่รู้สึกหยึยๆ หรืออะไรบ้างเลยเหรอวะ นี่สามัญสำนึกแบบคนปกติทั่วไปน่ะ มีบ้างไหม?

“ถ้านายชอบนะ ลูคัส” คนตรงหน้าโน้มลงมากระซิบข้างหูผม “เราจะทำกันอีกก็ได้ รอบหน้าให้นายเลือกท่าที่นายชอบ เลือกสถานที่ที่อยากทำ แล้วก็…”

ผมยกกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นฟาดมัน แต่ก็แน่ล่ะ เจ้าตัวดีหลบพ้นอย่างสบายๆ ราวกับคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ผมจิ๊ปากอย่างหมั่นไส้ ไม่อยากยอมรับเรื่องหน้าที่ร้อนขึ้นนี่ แต่คิดอีกที… ผมว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินะที่ผมจะมีปฏิกิริยาและอย่างอายแบบนี้ ไม่เหมือนไอ้หมอนี่ที่มันตายด้านไปแล้วทั้งยางอายและสามัญสำนึก!

“ใครจะไปทำอีกวะ!!” แค่คิดก็ขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย!! โอย…

ว่าแล้วผมก็จ้ำเท้าออกจากบ้าน กระแทกประตูบ้านอย่างแรง แม้จะรู้ดีว่าโลแกนคงไม่สนใจใยดีอะไรกับท่าทางกระฟัดกระเฟียดของผมก็ตาม เหอะ ก็แหงสิ มันเคยสนใจอะไรที่ไหนบ้างล่ะหมอนั่น นอกจากเรื่องของตัวเอง

ผมมาถึงโรงเรียน แวะทักทายกลุ่มเพื่อนๆ ที่ยิ้มแย้มต้อนรับผมอย่างดี วันไหนที่ผมมาโรงเรียนเร็วกว่าไอ้โลแกนก็จะดีตรงนี้แหละ นั่นคือไม่ต้องมานั่งระแวงว่าไอ้โรคจิตนั่นจะสวมรอยเป็นผมแล้วเข้ามาพูดคุยกับเพื่อนๆ อีกอย่าง วันนี้ผมใส่เสื้อผ้าที่สไตล์ผมโคตรๆ แบบว่า ตอนเช้าขี้เกียจคิดเลยหยิบตัวโปรดที่ใส่ง่ายขึ้นมาสวม

...แล้วนี่ผมมาใจเย็นอะไรอยู่เนี่ย

ฉันนอนกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปแล้ว ฉันนอนกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปแล้ว….

อีกสักพักนี่ต้องกลายเป็นบทสวดใหม่ของผมแน่ เพราะผมไม่สามารถสลัดประโยคนั้นออกจากหัวได้แม้ว่าในตอนนี้จะนั่งอยู่ในห้องเรียนก็ตาม

ผมควรจะทำยังไงดี…. ตอนนี้รู้สึกแย่กับตัวเองมากที่กินเหล้าเข้าไปตั้งขนาดนั้นจนทำให้ไม่มีสติในการควบคุมตัวเอง นี่ถ้าแม่ที่อยู่บนสววรค์รู้ล่ะก็… ไม่สิ แต่เพราะแม่อยู่บนสรววค์ เพราะงั้นป่านนี้ก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เรอะ อ๊ากกกกก!!

“โย่ ลูคัส”

ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงของคนที่ไม่อยากได้ยินที่สุดในตอนนี้ดังขึ้นข้างตัว โลแกนดึงเก้าอี้ออกมานั่งข้างๆ ในขณะที่กลุ่มเพื่อนผมค่อยๆ ถอยกรูดกันเป็นเงียบๆ แม้แต่อาจารย์หน้าชั้นยังไม่พูดเอ็ดหรือว่าอะไรหมอนี่สักคำที่มาสาย เป็นนัยว่าไม่อยากมีเรื่องกับโลแกนอย่างแน่นอน ทำไมกันนะ ทำไมหมอนี่ถึงได้ถนัดเหลือเกิน เรื่องไล่ผู้คนให้ออกห่างจากตัวเองเนี่ย

“ทำหน้าตาซะอย่างกับแบกโลก” โลแกนเอ่ยแซวผมยิ้มๆ ผมเหลือบไปมองคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับผม แถมวันนี้ยังแต่งตัวแบบเดียวกับผมมาอีกต่างหาก เสื้อฮู้ดสีเทาแบบที่ผมชอบซื้อแม้จะรู้ว่ามีซ้ำอยู่แล้วก็ตาม… เจริญล่ะ งั้นวันนี้ทั้งวันคนคงแยกพวกเราสองคนไม่ออกแน่

“ก็มันเป็นเพราะใครกันล่ะ” ผมแยกเขี้ยวใส่คนที่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้อย่างหมั่นไส้ โอ๊ยๆๆ พอขยับตัวแรงๆ ทีไรแล้วสะโพกนี่ระบมไปหมดเลย นี่ไอ้หมอนี่มันล่อไปกี่ยกเนี่ย!?

“ตัวเองก็ชอบแท้ๆ ยังจะมาทำเป็นพูด”

“ใครบอกว่าชอบวะ!”

“ก็ร่างกายนายไง” เจ้าตัวเหยียดยิ้ม เป็นยิ้มที่ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นไปขยี้ผมตัวเองอีกรอบอย่างอัดอั้น ทำไมพระเจ้าถึงส่งไอ้เด็กนรกนี่มาเป็นน้องชายฝาแฝดผมฟะ!!? หรือว่าผมทำอะไรผิด?

“รอบหน้าเดี๋ยวฉันเตรียมอะไรสนุกๆ ไว้ให้นะ นายชอบแบบไหน”

“ไม่มีรอบหน้าแล้วโว้ย” แล้วอะไรสนุกๆ ที่ว่านั่นมันอะไรฟะ!? ไอ้โรคจิต!!

หมดคาบเรียนช่วงเช้า ผมตั้งใจจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนของตัวเองด้วยความเคยชิน แต่ก็ค้นพบว่าทุกคนยิ้มแหยๆ ให้ผมและพูดขอตัวอย่างสุภาพ จากนั้นก็เผ่นจากไป อ้อ จริงสินะ เพราะโลแกนเคยสวมรอยเป็นผมหลายครั้ง เพราะงั้นถ้าไอ้พวกเพื่อนผมมันไม่แน่ใจขึ้นมาแล้ว พวกมันจะพยายามไม่เสี่ยงแล้วก็หลีกเลี่ยงไปบ่อยครั้ง ซึ่งผมก็ไม่โทษพวกมันหรอก ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน

“ว้า ดูเหมือนว่าวันนี้จะโดนเพื่อนทิ้งนะ” โลแกนเดินเข้ามาพร้อมกับโอบบ่าของผมอย่างสนิทสนม บริเวณที่โดนหมอนี่สัมผัสร้อนวูบขึ้นมาทันที ผมเบือนหน้า ดันแขนมันออกแล้วพูดตัดบทไป

“หนวกหูน่า มันก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ โลแกน เลิกแต่งตัวเหมือนฉันสักที ไม่มีสมองคิดเองหรือไง”

“โอ้โห ด่าซะเจ็บเชียว” ถึงจะพูดงั้นแต่น้ำเสียงหมอนี่ดูสบายอารมณ์สุดๆ ผมถอนหายใจดังเฮือกก่อนจะตัดสินใจลากคนข้างตัวไปยังห้องน้ำชายที่ไม่ค่อยมีคน จากนั้นก็ดันเจ้าตัวดีไปติดผนัง จ้องหน้ามันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

“เมื่อคืนน่ะ เราสองคนก็แค่เมามาก”

“เฮ้” โลแกนค้าน “นายน่ะเมามาก แต่ฉันเปล่า”

ผมต้องมันเขม็ง เจ้าตัวแสบเลยทำแค่ยักไหล่คืนมาทีหนึ่ง

“โอเค้ เมาก็ได้ แต่ไม่มากขนาดนั้น พอใจไหม”

“จะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง”

“อะไร เมามากน่ะเหรอ”

“เรื่องที่พวกเราสองคนนอนด้วยกันต่างหาก” ทั้งๆ ที่แม่งก็รู้ดีอยู่แล้วแท้ๆ ยังจะมาถาม… โอย ปวดหัวชะมัด ที่แฮงค์เมื่อคืนนี่ยังตกค้างอยู่เลย สงสัยต้องไปซื้อน้ำอะไรเปรี้ยวๆ หวานๆ กินเผื่อจะดีขึ้น “มันก็แค่อุบัติเหตุ เข้าใจไหม ลืมมันไปซะ แล้วก็ระวังอย่าให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก”

โลแกนยกยิ้ม ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม ใกล้เสียจนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของมัน แฝดผมพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนหากมั่นคง

“นั่นน่ะ นายกำลังบอกตัวเองอยู่งั้นเหรอ ลูคัส”

“หา!!” พูดเรื่องบ้าอะไรของมัน….

“นายอยากจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และนายก็ย้ำว่าจะต้องไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกตั้งหลายรอบ” โลแกนพยักหน้าหงึกหงัก “เพราะใจจริงๆ ของนายก็คือ นายไม่สามารถลืมเรื่องนั้นได้ และนายก็อยากให้มันเกิดขึ้นอีก แต่ไอ้เรื่องที่ว่ามันไปผิดศีลธรรมอันดีของนายเข้า นายก็เลยต้องย้ำตัวเองหลายๆ รอบเพื่อบอกว่า ไม่ได้นะ ‘ฉันจะทำตัวแหลกเหลวแบบนี้ไม่ได้ หมอนั่นเป็นน้องชายของฉัน ฉันจะนอนกับน้องชายตัวเองไม่ได้’ อะไรแบบนั้นใช่ไหมล่ะ”

“แล้วมันผิดตรงไหนฟะถ้าฉันจะมีสามัญสำนึกที่บอกว่านอนกับน้องชายตัวเองไม่ได้” ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ แต่เจ้าตัวดีตรงหน้ากลับเหยียดยิ้มกว้างมากขึ้น

“ไม่ปฏิเสธเรื่องที่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกด้วยแฮะ”

“ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกโว้ย!!” เมื่อไหร่ไอ้หมอนี่จะเลิกพูดเองเออเองสักที

“เอาเถอะ นายจะว่ายังไงก็ช่าง” โลแกนตัดบท ดันตัวผมออกแล้วตรงไปที่อ่างล้างมือ เจ้าตัววักน้ำขึ้นมาล้างหน้า จากนั้นก็ยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผมอันเป็นสิ่งที่ต้องทำเมื่อตัวเองอยู่ต่อหน้ากระจก

...อยู่ต่อหน้ากระจก

ผมไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อมองเงาสะท้อนของโลแกนที่อยู่ในกระจกเงาบานใหญ่ของห้องน้ำ รู้สึกเหมือนหัวใจบนอกข้างซ้ายของตัวเองเต้นรัวขึ้นด้วยความ… ไม่รู้สิ กลัวเหรอ? เหมือนยำเกรง ผมยังไม่ลืมสิ่งที่เห็นในกระจกเงาเมื่อวันก่อนโน้นหรอกนะ ตอนที่กระจกเงาไม่ได้สะท้อนภาพของห้องครัวในบ้านผมอย่างที่มันควรจะเป็นออกมา หากสะท้อนให้เห็นถึงสถานที่ดำมืดที่มีเปลวไฟสีแดงฉานอยู่โดยรอบ

ในนั้นมีคนที่ผมไม่รู้จักอยู่ แต่ผมเห็นหน้าไม่ชัด ในทางกลับกัน ผมกลับเห็นเงาสะท้อนของโลแกนออกมาจากในกระจกนั่น แต่มันไม่ใช่โลแกนแบบที่ผมรู้จัก เพราะโลแกนที่สะท้อนออกมาในกระจกเงานั่น… มีเขาแหลมโค้งงอกออกมาจากบนหัวเหมือนพวกที่แต่งตัวเป็นปีศาจในวันฮัลโลวีนอย่างไรอย่างนั้น

ที่ต่างไปก็คือ… มันดูจริงมาก จริงแบบทำให้ผมเชื่อได้จริงๆ ว่ามันคือปีศาจ ติดอยู่ที่ว่าสิ่งที่ผมเห็นนั่นอยู่แค่ในกระจก แล้วก็ได้เห็นเพียงแค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น เป็นชั่วแวบที่ทำให้คิดว่าเป็นภาพลวงตาหรือแค่ตาฝาด แต่ลึกๆ ลงไปแล้วผมกลับรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น

แต่จะให้ผมพูดอะไรหรือทำยังไงกับเรื่องนั้นล่ะ?

โลแกนหันกลับมามองผมที่หน้าซีดลงไปนิดหนึ่งด้วยสายตางุนงง

“เป็นอะไรไปน่ะ”

“เปล่า”

“แล้วนี่ข้าวกลางวันนายจะเอายังไง วันนี้ม่ได้ห่ออะไรมากินไม่ใช่เหรอ จะซื้อเอาเหรอ?”

“ไม่ล่ะ ไม่หิว”

“นี่ นายไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาพักหนึ่งแล้วนา” โลแกนว่า เดินตามผมที่ก้าวพรวดๆ ออกมาจากห้องน้ำ “ผอมลงจนเห็นได้ชัดแล้วเนี่ย กินไรบ้างเถอะ มานี่มา เดี๋ยวเลี้ยงเอง”

“ปัญหามันไม่ใช่เรื่องเงิน…”

“คุณคอลลินส์”

เสียงเรียกของใครคนหนึ่งเรียกให้ทั้งผมและโลแกนหันกลับไปมอง อาจารย์ประจำห้องปกครองนั่นเอง เฮ้อ มาอีหรอบนี้ไม่เคยจะมีเรื่องดี

“คนไหนคือโลแกน คอลลินส์” ชายหนุ่มวัยกลางคนที่มีแว่นไร้กรอบทรงวงรีอยู่บนหน้าขมวดคิ้วมุ่นขึ้น อันเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครแยกพวกเราสองคนออก ไม่เว้นแม้แต่คุณครู

“ผมลูคัสครับ” โลแกนยกมือขึ้นทันที และผมหันขวับกลับไปด่าเจ้าตัวอย่างรวดเร็ว

“ไอ้บ้า นั่นมันฉันโว้ย!”

“งั้นก็มาทั้งคู่นั่นแหละ” เจ้าตัวตัดบท ผมอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ส่วนไอ้โลแกนแสร้งทำคิ้วขมวดมุ่นขึ้นอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แม่ง สวมบทบาทเป็นผมได้ดีกว่าผมเองอีก ไม่อยากจะเชื่อ

ว่าแล้วเราสองคนก็ต้องลากเท้าตามอาจารย์ตรงหน้าไปอย่างเสียไม่ได้

จำไว้เลยแล้วกันนะ ไอ้น้องนรก ถ้าต้องมาเป็นแฝดแม่งแล้วมีชีวิตที่ยากลำบากขนาดนี้ ชาติหน้าขอเกิดเป็นลูกคนเดียวดีกว่า

ถ้าเกิดเลือกได้อะนะ…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel