บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

(Mode: Lucas Collins)

ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้มันใส่เสื้อผ้าตามแบบฉบับของมันมาโรงเรียน

ผมถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกทันทีที่เห็นร่างของน้องชายฝาแฝดตัวเองหลังไวๆ ที่มาโรงเรียนก่อนผม วันนี้มันอยู่ในชุดลำลองแบบกึ่งทางการของมัน สไตล์แบบที่มันชอบใส่ กางเกงแสลคขายาวดูดีนั่นไม่ได้เข้ากับตัวอาคารโรงเรียนที่ค่อนข้างซอมซ่อเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ ถึงยังไงผมก็ยังอยากขอภาวนาให้มันแต่งตัวแบบนี้มาโรงเรียนตลอดจนเรียนจบเลย คนจะได้แยกผมกับมันออกได้เสียที

ผมเดินไปที่ล็อกเกอร์ของตัวเอง เก็บกระเป๋า หยิบหนังสือเรียนและกระเป๋าดินสอ มองตารางสอนของตัวเองในวันนี้ พร้อมจะตรงดิ่งไปเข้าห้องเรียน หากเมื่อปิดประตูล็อกเกอร์ลง ร่างของคนที่มีใบหน้าแบบเดียวกับผมก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา

ขอถอนหายใจยาวๆ ที

ทำไมมันไม่แวะมาล็อกเกอร์ตัวเองให้เร็วกว่านี้ฟะ จะได้ไม่เจอกัน นี่อุตส่าห์พยายามหลบหน้าสุดๆ แล้วนะเนี่ย

“อ้าว อรุณสวัสดิ์ ลูคัส”

“อรุณสวัสดิ์ โลแกน” ผมพูดยิ้มๆ… เป็นยิ้มแบบที่เรียกได้ว่าฝืนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ก่อนสายตาผมจะก้มลงไปมองเครื่องประดับชิ้นใหม่ของแฝดตรงหน้าที่โดดเข้าสู่สายตาเพราะเจ้าตัวไม่ได้ใส่มันเข้าไปใต้เสื้อแต่ปล่อยให้มันโผล่ออกมาด้านนอก

มันคือสร้อยคอ… รูปไม้กางเขน แต่เป็นไม้กางเขนแบบกลับหัวนะ

ไอ้ชิบหายเอ๊ย

“สร้อยบ้าอะไรของนายเนี่ย” ผมโวยออกมาอย่างอดไม่อยู่ โลแกนหันกลับมามองหน้าผม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนตั้งคำถาม

“ไม้กางเขนไง”

“มันกลับหัวอยู่นะ น้องรัก”

“อ้อ ใช่สิ ก็นั่นแหละ ประเด็นสำคัญ”

โอ๊ย ตาย

“นายเป็นพวกนอกรีตตั้งแต่เมื่อไหร่?”

โลแกนยกยิ้ม

“น่าจะถามว่าผมเคยไปอยู่ในจารีตที่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ต่างหาก”

เออ ก็จริงของมัน

“เดี๋ยวก็โดนพวกคลั่งศาสนามากๆ รุมตื้บเอาหรอก”

“แหม ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลย เป็นโบนัสที่เจ๋งมากเลยนะนั่น” พูดพลางเจ้าตัวแสบเอามือถูกันอย่างนึกสนุก เออ ลืมไป ทั้งเมืองนี้ ไม่มีใครอยากจะมีเรื่องกับไอ้บ้านี่อยู่แล้วนี่หว่า

ผมเอื้อมมือไปยกสร้อยคอที่มีโซ่เป็นสายคล้อง ตัวไม้กางเขนทำจากสแตนเลสน้ำหนักเบากว่าที่ตาเห็นขึ้นมาดู หรี่ตาลงอย่างพิจารณา อย่าว่างั้นว่างี้เลย นี่ผมเป็นชาวคริสต์นะ ถึงจะไม่ได้ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ แต่ก็เชื่อในพระเจ้านะเฟ้ย แล้วไอ้แฝดบ้าของผมนี่มันอะไร ขวางโลกเหรอ

“เอาล่ะ ได้ของที่ต้องการครบแล้ว” โลแกนพูดตัดบท กระชับหนังสือกับปากกาแท่งเดียวที่เสียบไว้ตรงปก จากนั้นก็เลื่อนแขนอีกข้างมากอดคอผม “เข้าห้องเรียนกันเถอะพี่ชายที่รัก ฉันรู้สึกว่าวันนี้ต้องเปนวันที่ดีแน่ๆ อา รู้สึกสดชื่นแจ่มใสเหมือนได้เริ่มต้นวันใหม่ที่ดี”

ใช่ เอ็งน่ะเริ่มวันใหม่ที่ดี แต่เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่แย่ของฉันไง!

ผมกับโลแกนเรียนกันคนละสาย ดังนั้นวิชาเรียนจึงมีทั้งที่ตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง สลับกันไป แต่ส่วนมากแล้ว ต่อให้ได้เรียนห้องเดียวกันทั้งผมและมันก็ไม่ค่อยสุงสิงกันเท่าไรนัก ผมชอบที่จะอยู่กับกลุ่มเพื่อนตัวเองมากกว่า และโลแกนก็ชอบที่จะอยู่ตัวคนเดียวมากกว่า ยกเว้นบางวันที่อารมณ์พวกเราสองคนเกิดติสทั้งคู่ ทั้งบรรดาเพื่อนร่วมห้องและอาจารย์ที่สอนก็อาจได้ผวาเพราะเห็นแฝดสองคนนั่งเรียนใกล้ๆ กัน พูดคุยกันเรื่องเนื้อหาที่เรียนแบบปกติ ก็นะ อย่างที่ผมบอก ถึงหมอนี่มันจะเพี้ยนๆ แล้วก็โรคจิตไปหน่อย แต่ยังไงมันก็หัวดี แล้วมันก็เป็นแฝดที่ผมใช้ชีวิตอยู่มาด้วยตลอด 17 ปี ยังไงก็คุยกันง่ายอยู่ดี

และดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันที่อารมณ์พวกเราสองคนติสแตกพร้อมๆ กัน

ผมที่วันนี้ขอปลีกตัวมาจากกลุ่มหยิบแผ่นกระดาษที่โปรเฟสเซอร์ให้มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วขึ้นมาดู โลแกนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็ทำแบบเดียวกัน

ภายในนั้นมีตารางซึ่งมีลำดับตัวเลขกำกับไว้ด้านหน้า มันเป็นกระดาษที่ให้พวกเราเขียนเส้นทางหรือแผนการที่วางไว้ในอนาคต

ตารางของผมว่างเปล่า

ผมเหลือบตาไปมองตารางของแฝดที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัว ทั้งที่จริงๆ แล้วก็พอจะเดาได้… ว่างเปล่าเหมือนกัน ผมกับโลแกนเงยหน้าขึ้นสบตากันราวกับพวกเราสามารถเทเลพาธี สื่อสารกันทางสายตาได้อย่างไรอย่างนั้น อันที่จริงผมคิดว่าพวกเราสองคนสามารถทำได้นะ แบบ… บางครั้ง แต่ก็อย่างว่า ของแบบนี้ บางทีอาจไม่ต้องเป็นแฝดหรือมีพลังจิตก็สามารถทำได้ เพียงแค่สถานการณ์มันพาไป บางทีเราก็อาจสื่อสารกับใครต่อใครได้ผ่านทางสายตา

และตอนนี้… พวกเราสองคนก็กำลังสื่อสารกันเงียบๆ

โลแกนกระพริบตาทีหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มหวานหยดมาให้

“นายไม่ได้อยากเข้าพวกโรงเรียนหรือวิทยาลัยทางดนตรีเหรอ”

“...มันก็”

“นายเล่นเปียโนเก่งออก” แฝดของผมว่าขณะที่หยิบปากกาด้ามเดียวของมันขึ้นมา ควงทีหนึ่งจากนั้นก็เริ่มเขียนยิกๆ ลงไปอย่างมั่นใจ ผมเบิกตากว้าง มองมันอย่างทึ่งๆ นิดหนึ่ง

“นายรู้แล้วเหรอว่าอยากจะทำอะไร”

“อื้อ”

“ขี้โกงนี่”

“นายเองก็รู้แล้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” โลแกนว่าราวกับอ่านใจของผมออก ในกรณีนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะความเป็นฝาแฝดของเรามากกว่าแฮะ บางทีสายสัมพันธ์ที่ว่าก็ทำให้เราสามารถเข้าใจกันและกันได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

ยกเว้นตอนที่มันบ้าเลือดหรือตอนทำอะไรแปลกๆ แผลงๆ นะ อันนั้นนี่ยังไงก็ไม่เข้าใจความคิดมันจริงๆ

“แต่… ฉัน ไม่รู้สิ” ผมพูดอย่างลังเล จะว่ายังไงดีล่ะ ผมชอบเล่นเปียโนมาแต่ไหนแต่ไรก็จริง เคยวาดฝันตอนเด็กๆ ด้วยซ้ำว่าอยากเป็นนักดนตรี… นักเปียโนที่มีชื่อเสียง ผมอยู่ในวงดนตรีเล็กๆ ที่ติดอันดับในการขึ้นแสดงโชว์ของทางโรงเรียนตลอด เคยไปแข่งระดับประเทศและได้อันดับต้นๆ มา แม้มันจะไม่ใช่ที่หนึ่งก็เถอะ

แน่นอนล่ะว่าผมอยากจะก้าวเดินต่อไปยังสายอาชีพนี้ แต่ในขณะเดียวกันความจริงที่ว่าค่าใช้จ่ายของที่บ้านมันเยอะ เงินที่น้าของผมและโลแกนส่งมาให้ก็ไม่ได้มากมายขนาดกินอยู่ได้อย่างสบาย ผมกับโลแกนต้องสลับกันออกไปทำงานหาเงินเข้าบ้านเพื่อประทังชีวิต

แล้วถ้าจะเลือกเดินสายอาชีพดนตรีนี่… ไม่ใช่แค่เรื่องค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายนะ แต่ยังรวมไปถึงหลังจากเรียนจบอีกต่างหาก สายอาชีพแบบนี้ถ้าไม่รุ่งก็ร่วงแบบหายเข้าไปในกลีบเมฆ ถ้าฐานะทางการเงินของบ้านคุณไม่มีปัญหา มันก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่นี่… ทุกวันนี้ยังต้องพึ่งเงินของน้าอยู่มันก็ยังพอถูไถอยู่หรอก แต่ถ้าเกิดเรียนจบแล้วมันก็ต้องหาทางยืนด้วยตัวเอง แล้วแบบนี้…

“เฮ้ย ทำหน้าแบบนั้นน่ะ คิดอะไรยุ่งยากวุ่นวายอยู่ล่ะสิ”

“หือ?” ผมเงยหน้าขึ้นมามองโลแกนที่หันมามองผมด้วยสายตาเอือมๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาดีดหน้าผากผมแรงๆ ทีหนึ่งจนเกิดเสียงดังเป๊าะ โอ๊ยยย ไอ้น้องบ้าเอ๊ย!

“อย่าไปคิดอะไรมากมายไม่เข้าท่าเลย ลูคัส อยากเรียนอะไรก็เขียนๆ ไปเหอะ”

“ทำไมฉันต้อง…” ผมพูด เจือความหงุดหงิดลงไปในน้ำเสียงนั้นด้วย หากยังไม่ทันพูดจบประโยค สายตาที่เหลือบไปเห็นสิ่งที่โลแกนเขียนไว้บนกระดาษของตัวเองก็ทำให้คำพูดนั้นสะดุดลง ผมเบิกตากว้าง เอื้อมมือไปคว้ากระดาษแผ่นนั้นที่เจ้าตัวดีเขียนข้อความลงไปสั้นๆ ง่ายๆ แต่ชวนให้ตกตะลึง “นายอยากเป็นตำรวจเหรอ!!?”

“ใช่” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนกันกับผมทุกประการยิ้มขำ ดึงแผ่นกระดาษที่ผมคว้ามาดูให้ถนัดตาคืน “ฉันวางแผนไว้แล้ว ฉันจะเข้าไปเป็นตำรวจก่อน จากนั้นก็จะหาทางเข้าไปเป็น FBI”

“นี่ โลแกน” ผมยกยิ้มเครียด “ถ้านายอยากจะฝันล่ะก็ ก่อนอื่นช่วยนอนก่อนนะ หลับให้สนิทเลยด้วย”

“เฮ้ เสียมารยาท” โลแกนแสร้งยกชี้ขึ้นมาจุ๊ปาก ส่ายหน้ารัวๆ จนเส้นผมสีบลอนด์ทองปลิวไปด้านข้าง “ฉันเองก็มีความฝันของตัวเองเหมือนกันนะ”

“อ้อ เหรอ” ผมพึมพำก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาอีกรอบเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ยกนิ้วขึ้นชี้มันสั่นๆ ก่อนจะลดเสียงลงแล้วกระซิบใส่หูมันอย่างร้อนลน “นี่อย่าบอกนะว่านายคิดจะยึดอาชีพนี้เพราะจะได้ฆ่าคนได้น่ะ”

โลแกนเหยียดยิ้มกว้างขึ้น ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองซีดลงในเวลาเดียวกัน

“โลแกน” ผมอึกอัก พยายามพูด ถึงแม้จะรู้ว่าคนตรงหน้ามันจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ “ยิ่งเป็นตำรวจน่ะ มันยิ่งฆ่าคนง่ายๆ ไม่ได้นะ นายจะโดนจับตามอง แล้วนายก็อาจจะ…”

“ชู่” เจ้าตัวตัดบท ยกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบริมฝีปากผมเพื่อให้หยุดพูด จากนั้นก็ส่งยิ้มพรายมาให้ “ฉันรู้อยู่แล้วนะ ลูคัส นายเห็นฉันเป็นคนโง่หรือไง? ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร”

ใบหน้าของพวกเราสองคนใกล้กันมากจนผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจของแฝดผม เจ้าตัวดียกนิ้วออกไปแล้ว จากนั้นก็หยิบกระดาษที่เขียนเส้นทางในอนาคตของตัวเองไว้เพียงข้อเดียวขึ้นมาถือในมือ โดยไม่ลืมจะหันมาส่งยิ้มกวนๆ ให้ผม

“นายเองก็รีบๆ เขียนแล้วเอาไปส่งได้แล้ว เรื่องเงินน่ะไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะหาเงินเข้าบ้านให้เราเยอะๆ แบบที่นายใช้ไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะ พี่ชายที่รัก”

โอ๊ยยยยย ก็ไอ้เรื่องนั้นน่ะแหละ ที่น่าเป็นห่วง!

หลังเลิกเรียน ตามปกติแล้วผมมักจะแวะไปที่ห้องดนตรีก่อนกลับบ้านอยู่เป็นประจำ ไปคนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่บางครั้งก็มีเพื่อนตามไปขอนั่งฟังบ้าง มีคนในชมรมคนอื่นแวะเวียนไปบ้าง อันที่จริงปีเตอร์เองก็อยู่ในชมรมเดียวกันกับผมเหมือนกัน เราเคยเล่นเพลงแล้วก็อัดคลิปลงยูทูปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ทำเป็นประจำหรอกนะครับ แค่นานๆ ครั้งตอนมีอารมณ์มากกว่า แต่วันนี้เนื่องจากผมขลุกอยู่กับโลแกนเป็นส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามายุ่งด้วยเท่าไรนัก อืม… สงสัยถ้ายังอยากมีเพื่อนแบบคนปกติทั่วไปอยู่คงต้องห้ามอยู่กับไอ้แฝดบ้านี่เลยจริงๆ สินะ

“วันนี้ไม่ไปซ้อมดนตรีเหรอ” โลแกนถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าผมมุ่งหน้าไปยังรั้วประตูโรงเรียน ผมส่ายหน้าให้มันนิดหนึ่ง

“วันนี้ไม่ค่อยมีอารมณ์ว่ะ”

“เออ นายมีงานพิเศษอีกทีวันไหนนะ ของฉันมีพรุ่งนี้ แล้วก็อีกทีวันเสาร์ เรื่องเวรทำกับข้าวเอาไง”

“จริงๆ เราเริ่มแยกกันทำของใครของมันก็ได้นะ เพราะเหมือนเวลาเราไม่ค่อยตรงกันเท่า…”

“ลูคัส!”

เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นหลังจากที่พวกเราเดินผ่านรั้วโรงเรียนมา ผมหันกลับไปมองก่อนจะต้องส่งยิ้มกว้างให้หญิงสาวที่ก้าวมาทางพวกเราทันที โอลิเวียนั่นเอง หล่อนไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกับผม แต่ก็ห่างออกไปไม่ไกลนัก หล่อนสาวเท้าเข้ามาพร้อมส่งยิ้มหวานที่ทำให้ผมใจละลายตั้งแต่แรกที่ได้เห็นให้

“ดีจัง ตั้งใจมาดักรอนายหน้าโรงเรียนพอดี กำลังคิดอยู่เลยว่าวันนี้นายจะมีซ้อมเปียโนรึเปล่า”

“ทำไมไม่ส่งข้อความมาล่ะ” ผมถามขณะเลื่อนมือไปโอบไหล่สาวเจ้าที่มีทรวดทรงส่วนเว้าสมบูรณ์แบบในทุกตำแหน่ง ผมเห็นผู้ชายหลายคนที่เดินออกมาจากรั้วเหลือบมองมาทางพวกเรา บางคนแทบจะน้ำลายหกออกมาอยู่แล้ว

การปรากฎตัวของโอลิเวียมักเรียกสายตาแบบนั้นได้เสมอ

“สวัสดี โลแกน” เจ้าหล่อนส่งยิ้มไปให้น้องชายฝาแฝดของผม โลแกนยิ้มน้อยๆ คืนให้ ทั้งสองคนผลัดกันหอมแก้มคนละทีก่อนโอลิเวียจะเลื่อนหน้ามาจูบปากผมเร็วๆ ทีหนึ่ง

“แล้วนี่พวกนายสองคนจะทำอะไรกันต่อจากนี้เหรอ” หญิงสาวยิ้มหวาน ผมกับโลแกนจึงหันมามองหน้ากันนิดหนึ่ง สื่อสารกันทางสายตาอย่างรวดเร็ว โลแกนเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม ผมจึงพยักหน้าให้เจ้าตัวดีทีหนึ่ง

โลแกนหันไปยิ้มให้แฟนสาวของผม

“ฉันกับลูคัสว่าจะไปซื้อของทำข้วเย็นกันน่ะ ถ้าเธอไม่มีแพลนอะไรเย็นนี้และอยากมากินข้าวกับเรา จะมาด้วยกันไหมล่ะ?”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel