ตอนที่ 7 ปรับความเข้าใจ
[บันทึกพิเศษ: ธันวา]
เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผมกระวนกระวายใจในการตามหาอัยย์ ผมไม่รู้ว่าเธอหายไปไหน ทำไมถึงหลบหน้าผมได้นานขนาดนี้ พวกเราเป็นแฟนกันนะ มีอะไรต้องคุยและปรึกษากันสิ ไม่ใช่หายหน้าและหนีไปแบบนี้
จนวันหนึ่งอัยย์ยอมปรากฏตัวมาเจอกับผม แต่ผมต้องช่วยเพื่อนวิญญาณตัวใสให้กับเธอ ไม่ว่าจะให้ผมทำยังไงผมก็ยอมทั้งนั้นแหละ แล้วนี่อะไร เสร็จศึกก็จะฆ่าขุนพล เธอจะหนีผมไปอีกแล้ว โชคดีนะที่ผมสัมผัสร่างกายเธอได้ ไม่งั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาอัยย์ได้จากที่ไหน
[จบบันทึกพิเศษ: ธันวา]
“รู้แล้วว่าฉันเป็นใคร...หรือคะ” ฉันหันหน้ากลับมาถามหมอด้วยความแปลกใจ
“ใช่ครับ ผมรู้แล้วว่าอัยย์เป็นใคร มาครับ กลับไปที่ห้องทำงานผมกัน แล้วผมจะเล่าให้อัยย์ฟังทั้งหมด”
หมอธันวาเดินเข้าไปในห้องทำงานก่อนที่จะล็อกประตู พวกเราทั้งสองคนนั่งด้วยกันที่โซฟาเล็กๆ มุมหนึ่งของห้อง
หมอธันวาหอบเอาอัลบั้มรูปสามสี่อัลบั้มมาวางไว้ตรงโต๊ะกาแฟตรงหน้า ฉันได้แต่นั่งมองโดยไม่พูดไม่จาอะไร
“อัยย์ครับ ดูนี่สิ พอจะจำอะไรได้ไหม อัยย์มีชื่อจริงว่า ไอยเรศ อภิวัฒน์ทวีโชค ชื่อเล่นว่า อัยย์ อายุยี่สิบสามปี เพิ่งเรียนจบสาขาเภสัชกรรม ยังไม่ได้เริ่มทำงานก็มาประสบอุบัติเหตุและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่กว่าครึ่งปีแล้ว
นี่เป็นตอนที่อัยย์เกิด ตอนเข้าอนุบาล ประถม มัธยม และอัยย์ยังเป็นดาวคณะด้วยนะ”
หมอธันวาไล่เปิดอัลบั้มทั้งหมดอย่างช้าๆ และอธิบายให้เห็นถึงช่วงอายุของฉันตั้งแต่เกิดจนเรียนจบ
“หมอไปเอาอัลบั้มพวกนี้มาจากไหนคะ”
“คนในรูปนี้คือว่าที่คู่หมั้นของผมเอง คนที่ผมต้องไปดูแลตามคำสั่งของคุณแม่”
“ว่าที่คู่หมั้นเหรอคะ ถ้านี่คือฉัน งั้นก็แสดงว่าฉันคือว่าที่คู่หมั้นของหมอเหรอคะ” ฉันเงยหน้าขึ้นจากอัลบั้มรูป เอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ใช่ครับ”
“คู่หมั้น ฉันยังไม่ตาย และฉันยังเป็นคู่หมั้นของหมอด้วย”
ฉันตกตะลึงกับความบังเอิญที่ไม่น่าเชื่อนี้ เพราะคำว่าคู่หมั้น อุบัติเหตุ ทำให้ความทรงจำของฉันค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในหัว
ใช่แล้ว!!!
ฉันจำได้แล้วว่าฉันเป็นใคร ฉันที่เรียนจบใหม่ๆ ขอเที่ยวให้สนุกก่อนเริ่มทำงานในร้านขายยาของที่บ้าน เพราะติดตามในแอปดังสีฟ้า จึงรู้ว่าพี่ธันวาจะกลับมาทำงานที่โรงพยาบาล
ฉันจึงต้องการมาแอบดูหน้าพี่ธันวาก่อน ปรากฏว่าวันเริ่มงานของพี่ธันวามันดันไม่ใช่วันนั้น ฉันไปก่อนวันเริ่มงานล่วงหน้าตั้งเดือนหนึ่ง เพราะไอ้วันเดือนปีแบบฝรั่งนั่นแหละ มันสลับเดือนและวันกัน ด้วยความเสียใจทำให้ฉันเหม่อลอย จนเกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้นซะก่อน
เมื่อความทรงจำของฉันกลับมา จำได้ว่าคนตรงหน้าทำให้ฉันเสียใจมากแค่ไหน ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ฉันก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีพอกับคนตรงหน้า
แม้แต่ตอนเป็นวิญญาณที่มาณพมาจีบฉันก็ไม่สนใจ ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฉันก็ไม่มีแฟน เพราะต้องการเป็นเจ้าสาวของพี่ธันวาคนเดียว
แต่สิ่งที่ฉันได้รับจากความตั้งใจของฉัน คือความเย็นชาและหนีหายไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งหลายปี
ความทรงจำที่เจ็บปวด ความพยายามต่างๆ ตั้งหลายปีส่งผลให้ฉันจำเรื่องราวได้ทั้งหมด น้ำตาจึงไหลอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่
“อัยย์ครับ อัยย์”
เสียงเรียกของหมอธันวาเหมือนไกลแสนไกลออกไป การรับรู้ทุกอย่างดับสนิทไปพร้อมกับหยาดน้ำตามากมายไหลอาบแก้ม แล้วฉันก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
[บันทึกพิเศษ: ธันวา]
“อัยย์ครับ อัยย์”
ผมพยายามเรียกอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนเธอจะจมอยู่กับความคิดของตนเอง
ผมยิ่งกว่าสติแตกเมื่อเห็นว่าร่างของเธอค่อยๆ เลือนหายไปจนผมสัมผัสตัวตนของเธอไม่ได้เลย ผมเอื้อมมือไปคว้าเอาตัวอัยย์เข้ามากอดเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มีแต่ความว่างเปล่า
ผมร้องตะโกนหาอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับ ก่อนที่ผมจะนั่งลงอย่างอ่อนแรง ภาพของอัยย์ที่น้ำตาอาบหน้า มันทำให้ผมเจ็บปวดไปด้วย
ผมได้แต่เอามือปิดหน้าอย่างไร้หนทาง
พอถึงวันศุกร์อีกครั้ง ผมจึงขับรถกลับบ้านเช่นเดิม เพราะผมให้สัญญากับป้าลดาไว้ว่าทุกวันเสาร์อาทิตย์ผมจะไปดูแลน้องอัยย์
หลังจากที่กินมื้อเช้าจากที่บ้านแล้ว ผมก็หอบเอาอัลบั้มทั้งหมดไปคืนให้ป้าลดา พร้อมกับถือกระเป๋าแพทย์ไปด้วย เพราะตั้งใจจะไปทำกายภาพบำบัดให้กับน้องอัยย์
“ลุงสนครับ ที่บ้านเปลี่ยนรถคันใหม่หรือครับ” ผมเอ่ยถามลุงสน คนขับรถของบ้านป้าลดา หลังจากที่เห็นรถสปอร์ตสีดำป้ายแดงจอดอยู่
“อ้าวคุณหมอ สวัสดีครับ นั่นรถคุณคเชนทร์ เพื่อนของคุณหนูครับ คุณหนูคุยกับเพื่อนอยู่บนห้องนอนครับ” ลุงสนเอ่ยตอบ
“คุณหนูของลุงสนฟื้นแล้วหรือครับ” ผมชะงักไปเล็กน้อย
“คุณหนูฟื้นแล้วครับ พอคุณคเชนทร์รู้ เขารีบมาเยี่ยมคุณหนูและก็มาทุกวันเลยครับ” ลุงสนผู้ไม่รู้ว่าพายุกำลังก่อตัว ตอบไปโดยที่ไม่ได้ดูสีหน้าที่มืดครึ้มของคุณหมอเลย
มันน่าจับมาฟาดก้นให้เข็ด ใครให้รับแขกผู้ชายบนห้องนอน ฟื้นแล้วทำไมไม่โทรไปบอกเขาสักคำ..หึ
เมื่อเข้าไปทักทายป้าลดาแล้ว ผมเลยขอตัวขึ้นไปหาน้องอัยย์บนห้อง เมื่อเดินไปใกล้จะถึงห้องนอน เสียงหัวเราะสดใสยังคงแหบแห้งบ้างก็ดังลอดออกมา แต่หมออย่างเขาพอเดาอารมณ์เจ้าของเสียงได้ว่าคงมีความสุขไม่น้อยเลยเชียวละ
ผมยอมเสียมารยาทแอบฟังอยู่นานจนทนไม่ไหว
[จบบันทึกพิเศษ: ธันวา]
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ฉันเหลียวไปมองก่อนเอ่ยอนุญาตออกไป
“เชิญค่า คุณแม่หรือคะ”
แต่คนที่เดินเข้ามากลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ในมือถือกระเป๋าเครื่องมือแพทย์เข้ามาด้วย
“คุณคงเป็นคุณหมอกายภาพ สวัสดีค่ะ” ฉันเอ่ยทักทาย
“น้องอัยย์มีแขก งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวกลับก่อนละกัน พักผ่อนเยอะๆ นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาเยี่ยมใหม่ อยากได้อะไรไหมครับ” คเชนทร์ หรือพี่ซัน ลุกขึ้นพร้อมกับเอามือมายีหัวฉันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
“พี่ซันอะ ผมอัยย์ยุ่งหมดเลย ไม่อยากได้อะไรค่ะ แค่พี่ซันมาเยี่ยมอัยย์ทุกวัน อัยย์ก็ดีใจแล้วค่ะ เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” ฉันตอบพร้อมกับยิ้มหวานส่งไปให้
“ผมว่ายังไม่ต้องมาเยี่ยมก็ดีนะครับ ผมอยากให้คนไข้ได้พักผ่อนมากๆ ยิ่งเพิ่งฟื้นแบบนี้คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเหมือนเดิม” หมอคนนั้นหันไปบอกพี่ซันเสียงเรียบ แต่ทำไมฉันรู้สึกมีแรงกดดันในคำพูดแปลกๆ ก็ไม่รู้
“คุณหมอคะ ฉันหายดีแล้ว แค่ยังเหนื่อยนิดหน่อยและไม่ค่อยมีแรงแค่นั้นเอง แค่พี่ซันมาเยี่ยมคงไม่เป็นไรมั้งคะ ไม่ได้ออกไปไหนซะหน่อย” ฉันเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่ได้” หมอคนนั้นยังปฏิเสธเสียงดัง แถมห้วนมากๆ
“เอ่อ! ไม่ได้ครับ คนไข้ต้องเชื่อฟังหมอ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่หมอจะแจ้งไปอีกที ขอหมอตรวจคนไข้หน่อยนะครับ” หมอคนนั้นบอกพี่ซันเสียงเข้มพร้อมกับผายมือให้พี่ซันออกไปจากห้อง
“ไม่เป็นไรครับน้องอัยย์ พี่ไปก่อน ถ้าหมออนุญาตให้เยี่ยมเมื่อไหร่พี่จะรีบมาทันที พี่ไปก่อนนะ บาย” พี่ซันตอบก่อนเดินออกห้องไปด้วยดี
“นี่ คุณหมอคะ มันจะไม่เผด็จการไปหน่อยเหรอคะ”
“อัยย์ครับ ฟื้นแล้วทำไมไม่บอกผม รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงแค่ไหน” หมอคนนั้นพูดอะไร พูดเหมือนเรารู้จักกัน ก่อนที่เขาจะเดินมานั่งตรงเก้าอี้ข้างเตียงที่พี่ซันเพิ่งลุกจากไป
“แล้วคุณเป็นใคร ทำไมฉันต้องบอกคุณ คุณเป็นหมอที่มาทำกายภาพคุณก็ต้องรู้อยู่แล้วไหมล่ะคะ”
“อัยย์ คุณพูดเหมือนกับจำผมไม่ได้”