บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

“ไหวไหมน่ะเธอ”

เสียงเกรงอกเกรงใจที่ส่งมาตามสาย ทำให้ปลายสายอมยิ้ม พลางเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่น จริงจัง

“ไหวสิ อย่าลืมว่าฉันเป็นครูเก่านะ จี ไปฮันนีมูนกับโจเซฟให้สนุกเถอะ เรื่องหลานสาวเดี๋ยวจะดูแลให้เอง บอกหลานแล้วไม่ใช่หรือ ว่าให้มาอยู่กับฉัน แล้วก็ย้ายมาเรียนที่นี่ ฉันจัดการเรื่องเอกสารอะไรหมดล่ะ คะแนนของหลานเธอ...เอ่อ...”

“ห่วยบรมล่ะสิ” พิศจีหัวเราะแผ่ว จริงๆ แล้วเธออยากจะร้องไห้มากกว่า

“ยัยลิลลี่น่ะดื้อ ต่อต้านมาก จริงๆ ไม่ใช่เด็กหัวทึบอะไร เรียนเก่งมากด้วย”

“ใช่...ดูเหมือนเค้าจะถนัดงานเดียวกับพ่อเค้าเลยนะ หลานเธอนี่ คะแนนวิชาทางการถ่ายภาพ ยอดเยี่ยมมาก ไหนจะตามผลงานที่แนบมาให้ดูอีก ได้รางวัลชมเชยระดับโลกมาน่ะ มันไม่ธรรมดาหรอกนะ”

“อื้อ...นอกจากจะเก่งไม่ธรรมดาแล้ว ความดื้อก็ยังไม่ธรรมดาอีกด้วย เด็กบ้านแตกน่ะอัย แต่ฉันก็พยายามเต็มที่แล้วนะ ตอนแรกก็คิดจะดูแลหลานไปเรื่อยๆ ตามที่คุณแม่ฝากฝัง ท่านห่วงของท่านมาก ก็น่าห่วงหรอก” พิศจีค้อนไปกับลมกับแล้ง ถึงน้องเขยของเธอ

“มีพ่อพรรณนั้นน่ะ”

“เอาน่า เอาน่า ถือว่าช่วยกัน แหม...แล้วเธอเองจะเป็นโสดไปตลอดได้ยังไงกันน่ะ จี เสียดายชีวิตวัยสาวถึงใกล้จะร่วงโรยอย่างเราแล้วก็ตามที”

อัยเรศหัวเราะคิก พิศจีเพื่อนสนิทของนาง เพิ่งจะได้คู่ตุนาหงัน เป็นหนุ่มชาวออสเตรีย อ่อนกว่าเกือบรอบ แต่เพียรตื้อสาวใหญ่วัยห้าสิบสองอย่างเอาจริงเอาจัง สุดท้ายแล้ว เธอก็ใจอ่อน ยอมแต่งงานด้วย ปัญหาก็คือ แม่หลานสาวของเธอนี่แหละ เฮ้อ...สุขกับชีวิตส่วนตัวที่กำลังจะมีครอบครัวก็สุข ทุกข์ที่จะต้องทิ้งหลานไปก็ทุกข์ จนไม่รู้จะเลือกอะไรดี พอดีเพื่อนซี้เสนอความช่วยเหลือมา พิศจีจึงตอบตกลง แต่ใจก็ยังไม่วายอดห่วงกังวล เพราะรสดาภานั้น ‘ร้าย’ นัก

“เรื่องบ้านที่ฝากซื้อทางเชียงใหม่ จัดการให้ไปเลยนะ อยู่หมู่บ้านเดียวกับเธอก็ดีนะ ฉันจะได้ไม่เหงา”

“หลังติดกันกำลังจะบอกขาย แต่กำลังกล่อมอยู่ จะให้เธอได้ราคาถูกที่สุดน่ะ”

“เอาแพงๆ ไปเลย” พิศจีว่า เล่นเอาคนฟังถึงกับขมวดคิ้ว

“อ้าว...ทำไมล่ะ”

“ก็เงินของพ่อน้องเขยตัวดีไงล่ะ เอาสักหลังล่ะสิบห้าสิบล้านไปเลยก็ได้นะ เหอๆ”

“เอาน่า เอาน่า จะยังไงก็เป็นพ่อของหลานเธอนา เงินทองเค้าเยอะแยะก็จริง เก็บไว้เผื่อให้ลิลลี่ละกัน อย่าไปขูดรีดกันเยอะนักเลยน่า จี”

“ถ้ายัยตัวยุ่งไม่ก่อเรื่องจนมหาวิทยาลัยเก่า...จะรีไทร์เอาก็ดี เฮ้อ...ปัญหาอีกอย่างของลิลลี่ก็คือ...เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้น่ะ อัย ยังไงก็ฝากด้วยนะ ฉันห่วงหลานจริงๆ นี่ดีอยู่อย่างตรงที่เธออาสาจะช่วยเรื่องนี้ ไม่ต้องกลัวว่าลิลลี่จะไม่ไปเรียน เพราะเรียนที่เดียวกับเจ้าของมหาวิทยาลัย ไม่ไปก็ไม่ได้ล่ะ”

“เด็กมีฝีมือ ไม้อ่อนยังดัดได้ ดูๆ จากที่เธอเล่าแล้ว ลิลลี่ก็ไม่ใช่เด็กร้ายกาจอะไรมาก แกก็แค่เรียกร้องความสนใจ และขาดความรักก็เท่านั้นเองนะจี อาจจะมีต่อต้านบ้างอะไรบ้าง แต่ฉันคิดว่าพอจะเอาอยู่”

“อือ...นี่ก็โทรมาบอกเมื่อกี้ ว่าจะไปหาเธอเอง นี่ฉันหัวใจจะวาย จะไปถูกได้ยังไงกัน” พิศจีบ่นต่อมาอีกยาวเหยียด ปลายสายหัวเราะ

“เดี๋ยวนี้ทันสมัย มีจีพีเอสนำทาง อยู่ไหนก็ไปถูกนะ เธอบอกแค่บ้านเลขที่ฉันไป หลานก็มาถูกแล้วล่ะ”

“เฮ้อ...”

สนทนาฝากฝังถึงหลานสาว พลางพูดบ่นถึงน้องเขยอีกหลายประโยค ก่อนจะวางสายไป อัยเรศวางโทรศัพท์แล้วก็ไหวไหล่น้อยๆ นึกถึงเด็กสาวที่เพื่อนรักเคยเอารูปมาให้ดู และเธอได้พบเห็นข่าวของอีกฝ่ายมาบ้างทางสื่อต่างๆ รสดาภาเป็นเด็กมีความสามารถสูงมาก ติดเสียแต่ว่า...มีปมในใจ ขนาดว่าการประกวดหนนั้น อดัมยังเป็นคนส่งผลงานลูกสาวประกวดด้วยซ้ำ ไม่ใช่เจ้าตัวส่งเอง

คนมีความพรสวรรค์ขนาดนี้ ถ้าได้ร่ำเรียน ฝีมือจะขนาดไหน บางทีศิลปะก็ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม แม้ว่าเจ้าหล่อนจะเปลี่ยนโรงเรียน มหาวิทยาลัยเป็นว่าเล่นก็ตามที แต่ผลการเรียนไม่ได้ถือว่าแย่เลย เธอดูจากเกรดที่เพื่อนสนิทส่งมาให้ ส่วนใหญ่จะติดไม่ไปเรียน ไม่ไปสอบเสียมากกว่า

เด็กรั้นๆ แบบนี้ อัยเรศชอบนักแหละ ที่จะช่วยให้เดินไปในทางดี มันคงจะสนุกดีถ้าได้เลี้ยงเด็กโตอีกหน เธอไม่มีลูกสาวเสียด้วยสิ

ตอนนี้เธอก็เพียงรอคอยเด็กที่ว่าจะมาถึงก็เท่านั้น

....

รอยยิ้มต้อนรับของอัยเรศ ยังคงยิ้มกว้างแบบเดิม แม้คนตรงหน้า จะไม่ยอมยกมือไหว้เธอ แถมยังพยักหน้าใส่เธออีกด้วย น้ำเสียงหวานที่เปล่งออกมาห้วนๆ ทำให้ความสวยน่ารักของหญิงสาวดูจะน้อยลงไปโข

“ห้องของลิลลี่อยู่ไหน?”

“คะ”

อัยเรศเน้นเสียงหนัก ยังคงยิ้มแบบเดิม แต่สายตาที่มองรสดาภา เปลี่ยนไปเป็นเข้มข้นจริงจัง น้ำเสียงของเธอฟังแล้วเนิบช้า แต่ลงน้ำหนักทุกคำ

“หนูเป็นลูกครึ่งก็จริง แต่ควรรู้มารยาทด้วยนะลูก คนไทยเราต้องมีคำลงท้ายเวลาพูดกับผู้ใหญ่ คะ ค่ะ ใช้ด้วยนะจ๊ะ”

“ถ้าลิลลี่ไม่พูดล่ะคะ” รสดาภาเชิดหน้าอย่างลองดี “คุณป้าจะไล่ลิลลี่ออกจากบ้านหรือเปล่า?”

“ไม่ไล่หรอก แต่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเรา คงจะต้องลดลงตามจำนวนสิ่งที่เราทำเสียมารยาท”

รสดาภาถึงกับทำตาโต แต่ก็ไหวไหล่ ค่าใช้จ่ายของเธอคนที่มีสิทธิ์อายัดมีคนเดียวคือบิดา ซึ่งยัยป้าตรงหน้านี้ คงไม่มีสิทธิ์อะไรจะมาก้าวก่าย

“ทำได้หรือป้า”

อัยเรศคิ้วกระตุกเล็กน้อย เมื่อถูกเรียกด้วยน้ำเสียงไม่เคารพแบบนั้น ประสบการณ์ความเป็นครูเก่า ที่ปราบเด็กเฮ้วมานักต่อนัก แค่นี้อัยเรศคิดว่าเอาอยู่

“ได้สิ เพราะป้าขออนุญาตพ่อเธอแล้ว อดัมให้สิทธิ์ป้าทำได้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวหนูเลย เพื่อจะให้หนูเรียนจบ และจะได้เป็นคนดีขึ้น”

“ฉันไม่เชื่อ ว่าแด๊ดดี้จะอนุญาตอะไรแบบนั้น”

เธอกอดอก อายุของเธอเพิ่งจะ 22 ปี และอดัมก็ยังไม่ได้ให้สิทธิ์ขาดในการใช้เงินกับเธอ บัญชีทุกเล่มเขาเป็นคนเปิดให้เธอ และจะให้สิทธิ์ขาดเธอก็คืออายุยี่สิบห้าปี ตามข้อตกลง

“อนุญาตสิ ลองโทรศัพท์ถามดูก็ได้นะ” อัยเรศว่า

“ป้าสามารถโทรบอกให้ทางอดัมอายัดการใช้เงินของหนูได้ตลอด ยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“พ่อไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นหรอก”

เธอทำปากยื่น ก่อนจะต่อสายตรงหาอดัม รอไม่นานเขาก็มารับสายด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“ลิลลี่ดูนาฬิกาบ้างนะลูก”

“แด๊ดดี้คะ แด๊ดดี้ให้สิทธิ์ยัยป้า...อัยเรศนี่ ลงโทษลิลลี่ได้ด้วยเหรอคะ”

“อัย...อัย...อัยไหน?”

เนื่องจากชื่อภาษาไทยฟังยากนัก อดัมเลยงงอยู่นาน รสดาภากระแอม ก่อนจะบอกย้ำกับบิดาให้ท่านเข้าใจง่ายๆ

“เพื่อนของป้าจีน่ะค่ะ”

“อ้อ เพื่อนของจีน่านั่นเอง” อดัมเรียกหัวเราะ แล้วคำตอบของบิดาก็ทำให้เธอแทบจะล้มทั้งยืน

“ใช่ พ่ออนุญาตเอง เราดื้อเกเรนัก ก็ต้องให้ทางนั้นเขาจัดการ แค่นี้นะ...ตาพ่อจะปิดแล้ว”

แล้วก็ตัดสายไปเฉย ทำให้รสดาภาอึ้งน้อยๆ พลางหันมามองหน้าอัยเรศ ที่มองเธออยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาของผู้ชนะ

“ตกลงว่ายังไงจ๊ะ”

“นี่ตกลงว่าลิลลี่เข้ามาอยู่ในสถานพินิจหรือเปล่าคะ?”

น้ำเสียงนั้นสูงเหมือนประชดเมื่อเอ่ยลงท้ายคำว่าคะ อัยเรศส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับยิ้มกริ่ม

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ เราจะอยู่กันแบบญาติพี่น้อง หรือหนูจะเห็นฉันเป็นแม่อีกคนก็ได้นะ เพราะฉันไม่มีลูกสาว มีแต่ลูกชาย ถ้าหนูเป็นเด็กดีเชื่อฟัง เราจะต้องอยู่กันอย่างสนุกมากแน่ๆ ฉันรับรอง”

“ห้องของลิลลี่อยู่ไหนคะ”

หนนี้มีคำลงท้าย และน้ำเสียงอ่อนลง อัยเรศเดินตรงไปจับมือเธอจูงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน รสดาภาแทบจะชักมือหนีในตอนแรก แต่อัยเรศดึงไว้ไม่ปล่อย รสดาภาเลยจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งจับมือไว้ ทั้งๆ ที่เธอไม่ชอบการสัมผัสแตะต้องตัวกับใคร

นอกจากยาย แม่ พ่อ ป้าจีแล้ว เธอก็แทบจะไม่ค่อยให้ใครแตะตัว มันไม่ใช่ความหัวสูง เย่อหยิ่งหรืออะไร เพียงแค่เป็นเกราะป้องกันตัวของรสดาภาก็เท่านั้น อัยเรศทลายด่านดื้อดึงของเธอไปแล้วหนึ่งด่าน ต่อมาด้วยการแตะเนื้อต้องตัว ที่เธอไม่ค่อยจะยอมสัมผัสใครนัก

นี่เป็นก้าวแรกของเด็กดื้อ ที่เข้ามาในบ้านดลพฤกษ์

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel