บทที่ 1
ร่างเพรียวเดินแกมวิ่งลงมาจากชั้นสองของบ้าน ในชุดนักศึกษาที่ทำให้หญิงวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งเปิดไอแพดอ่านข้อมูลข่าวสารเรื่องหุ้นอยู่ เหลือบตาขึ้นมามองเจ้าหล่อน แล้วมองซ้ำอีกรอบ อย่างไม่ค่อยจะพึงใจนัก แม้ว่าตนเองจะหัวทันสมัยขนาดไหน เข้าใจแฟชั่นขนาดไหน แต่ก็ไม่อยากให้หลานสาวคนเดียว แต่งตัวรัดรูป ฟิตรัดรึงมากขนาดนี้
“อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมของคนที่นั่งอยู่ ทำให้หญิงสาวหันกลับมาดู เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าสะสวยนั้นดูนิ่งเฉย แฝงไปด้วยการกวนโทสะกลายๆ อย่างไรพิกลในสายตาคนมอง พิศจีกระแอมอีกหน ด้วยหวังจะให้เจ้าหล่อนเอ่ยถามไถ่ หรือเดินมาหาสักนิด แต่ก็เปล่า...ร่างอรชรนั้นเดินผ่านหน้าเธอ แบบไม่ยอมทักทายเลยสักคำ
“ลิลลี่”
“...”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อ แถมยังล้วงกระเป๋าหนังใบโตที่สะพายอยู่ หยิบ
เอาหูฟังขึ้นมาครอบหู แล้วเปิดเพลงฟังหน้าตาเฉยต่อหน้าท่าน เธอเดินแกมวิ่ง ร้องเพลงเสียงดัง ทำทีไม่สนใจไยดี ว่าพิศจีจะมีท่าทีอย่างไรเมื่อเรียกแล้วเธอทำเมินใส่เสียอย่างนั้น
“ลิลลี่ ยัยลิลลี่ กลับมาก่อน ฟังภาษาไทยก็ออกนี่นา เด็กคนนี้ ลิลลี่ come back!”
ฟังไทยออกสิ ฟังออกทุกประโยคด้วย แต่ไม่อยากคุยด้วย ทำไมจะต้องโยนเราไปทางนั้นที ทางนี้ทีแบบนี้ด้วยนะ
สาวน้อยคิดในใจ แอบปาดน้ำตาที่ซึมออกมาตรงหางตา ก่อนจะขึ้นรถสปอร์ตสีชมพูแสบตา สีที่สั่งทำพิเศษของเฟอร์รารี่ ซึ่งต้องเป็นคนพิเศษจริงๆ ถึงจะได้รับสิทธิ์นี้ และแน่นอนว่า มันเป็นสีที่ผสมพิเศษเฉพาะเธอ มีคันเดียวในโลกเสียด้วย
เธออยากจะได้ดาว อยากจะได้เดือน หรืออยากจะไปท่องอวกาศกับนาซ่า บางทีบิดาของเธอก็คงจะสรรหามาให้ได้หมดนั่นแหละ ขาดแต่เพียงอย่างเดียว คือเวลาจากท่าน
เธอคิดอย่างน้อยใจ แล้วสตาร์ทรถก่อนจะขับแล่นปราดออกไป ไม่สนใจว่าผู้เป็นป้าจะวิ่งตามออกมาตะโกนเรียกเธออีก จนเสียงแหบแห้ง
จะฟังอะไรอีกล่ะ
รู้อยู่แล้วว่าจะโยนเราเข้าไปให้ใครดูแลอีก
เบื่อจริงๆ
โอ๊ย!
“เบื่อโว้ยยยยยยยยยย!”
รสดาภา ตะโกนแข่งกับเสียงเพลงในรถที่เปิดดังลั่นแบบชนิดกลบหู น้ำตามันซึมขึ้นมาอีกแล้ว มันจะขยันน้อยใจอะไรนักหนานะยัยลิลลี่ ยังไม่ชินอีกหรือไง?
ก็ใครจะไปชินได้ กับการถูกโยนให้ไปอยู่กับญาติทีละคน ทีละประเทศ แทบจะปีเว้นปี บิดาบอกว่างานของท่าน ไม่สะดวกกับการเลี้ยงลูกสาวคนเดียว ที่กำลังห้าวสุดฤทธิ์อย่างเธอ เธอห้าวตรงไหนกัน? ลิลลี่คิดเถียงในใจ นัยน์ตางดงามสีเทาตามชาติพันธุ์ของบิดาเปล่งประกายวาบ เมื่อนึกถึงวีรกรรมหลังสุด ก่อนที่เธอจะถูกส่งมาเมืองไทย
เธอก็แค่เอาแมงป่อง กับงูไม่มีพิษ ทั้งสองอย่างมันไม่มีพิษนะ แล้วมันน่ากลัวตรงไหน แม่สาวนั่นสติแตกไปเอง แล้วก็เรียกเธอว่าเด็กนรก! เหอๆ ลิลลี่ไม่ใช่เด็กนรกเสียหน่อย ก็แค่เด็กที่ขาดความอบอุ่น มารดาของเธอเสียไปตั้งแต่เธออายุสิบขวบ และตั้งแต่นั้น เด็กหญิงลิลลี่ที่น่ารักของใครต่อใครก็เปลี่ยนไป ภาษาไทยเขาเรียกว่าอะไรนะ เธอพอจะจำได้ เพราะยายของเธอชอบพูดไปเปรียบเทียบคำสุภาษิต คำพังเพยไทยๆ ให้เธอฟังบ่อยๆ
ขาดพ่อเหมือนถ่อหัก ขาดแม่เหมือนแพแตก
ใช่...พอแพของเธอแตก รสดาภาเลยกลายเป็นเด็กเจ้าปัญหา สาวน้อยเจ้าปัญหา เพราะความอบอุ่นที่ได้รับจากมารดาจนล้น จากบิดานิดหน่อย มันกลายเป็นละลายหายไปหมด เธอเหลือเพียงแต่พ่อ อดัม โจนส์ ผู้กำกับและผลิตภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวู้ด ซึ่งแน่นอนว่าเขาแทบจะไม่มีเวลาให้เธอเลย อดัมมุ่งแต่กับงาน งานที่สร้างชื่อเสียง และเนรมิตทุกอย่างให้เขา สนุกกับการห้อมล้อมไปด้วยสาวสวย ความร่ำรวย มันเป็นการใช้ชีวิตที่สุดเหวี่ยง และทำให้เขาลืม...
ครอบครัว
และรสดาภาเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขา เขามานึกถึงเธอขึ้นได้ ก็ตอนที่สาวน้อยถูกจับดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ เธอทำไปเพราะประชดพ่อ และนั่นมันทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสีย คนรักตัวเอง รักหน้าตาอย่างอดัมจึงยอมไม่ได้
เขาเริ่มหันมาหาลูกสาว เป็นการอบรมอย่างเข้มงวดมากกว่า จะเป็นการหว่านล้อมด้วยความรักแบบที่พ่อควรทำ เขาป้องกันเธออย่างเข้มงวด และด้วยเวลาที่ไม่มีมากนัก อดัมจึงจำเป็นจะต้องให้มีคนดูแลลูกสาวคนเดียวของเขา อย่างถูกต้อง เพื่อให้รสดาภาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กล้าหน่อที่ดีต่อไปในอนาคต
ความแสบสัน ต่อต้านของรสดาภา ทำให้เธออยู่ที่ไหนได้ไม่นานนัก เพราะไม่มีใครทนเธอได้ นานที่สุดก็คือประเทศไทยนี่แหละ ในการดูแลของคุณเกษรา ยายของเธอ แม่สาวแสบยอมให้หญิงชราเป็นคนแรก เปิดใจให้ท่านเป็นหนแรก และสิ่งเดียวในชีวิตที่เธอยึดไว้ ก็หลุดลอยไปเสียแล้ว เมื่อท่านเสียไปเมื่อสองปีก่อน รสดาภาเริ่มทำตัวให้ใครต่อใครปวดหัวอีกหนจนต้องระเห็จย้ายถิ่น บินเหมือนนกน้อยอีกครั้ง และกลับมายังเมืองไทยเมื่อญาติที่แคนาดาทนเธอไม่ได้ เนื่องจากพิศจีผู้เป็นป้าของเธอ ก็เป็นคนที่เธอพอจะลงให้อยู่บ้าง ยอมบ้าง...แต่ท่านก็จะจากไปอีกแล้ว แถมจะเอาเธอไปยัดเยียดไว้ให้ใครก็ไม่รู้อีก
คุณ อัยเรศ ดลพฤกษ์ เจ้าของมหาวิทยาลัยคชสีห์ มหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ มันอยู่ไหนล่ะเชียงใหม่? เธอย้ายมาจากมหาวิทยาลัยในแคนาดาเมื่อต้นปีนี้เอง เมืองไทยเธอก็อยู่แต่จังหวัดนครนายกกับกรุงเทพฯ ปิดเทอมทีเธอไม่เคยอยู่เมืองไทย เพราะได้โอกาสนี้ไปอยู่กับอดัม ซึ่งแม้เขาจะกลับบ้านบ้างไม่กลับบ้าง แต่รสดาภาก็ไม่เคยปล่อยโอกาสให้ผ่านไปกับการได้ใกล้ชิดท่าน หากคนเป็นพ่อเสียอีก ที่ทำเหมือนหนีลูกสาว สุดท้ายเธอก็มักจะลงเอยด้วยการเที่ยวต่างประเทศคนเดียวแก้เซ็ง ก่อนจะกลับมาเรียนต่อจึงแทบไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนที่เมืองไทยนัก
รสดาภาเม้มริมฝีปาก เธอจะต้องร่อนเร่เป็นกาฝากไปแบบนี้อีกนานเท่าไหร่กันถึงจะเป็นอิสระ ตอนนี้เธอก็อายุไม่น้อยแล้วนะ พ่อควรจะให้สิทธิ์ปกครองตัวเองกับเธอได้แล้ว
แต่คำสั่งเสียของยาย และคำฝากฝังก่อนตายของแม่ มันทำให้เธอ...ต้องรักษาคำมั่นนั่นไว้ ว่าจะเคารพและเชื่อฟังพ่อ เรียนหนังสือให้จบ ทำงานเลี้ยงตัวเองให้ได้ อย่างหลังนี่คงไม่ต้องกระมัง เพราะทุกวันนี้บิดาเธอก็ขยันเอาเงินมาฟาดหัวเธอแล้วเหลือเกินนี่ ถ้าต้องการอะไร จะทำงานไปทำไมในเมื่อมีเงินในบัญชีแบบใช้ผลาญไปทั้งชาติยังไม่หมด
สาวน้อยบิดปาก เมื่อเร่งความเร็วของรถขึ้นอีก หลังจากขึ้นไปบนทางด่วนได้ วันนี้เธอจะไม่ไปมหาวิทยาลัย ก็จะไปทำไมล่ะ เธอต้องไปเรียนที่ใหม่? อีกแล้วนี่หว่า
ไอ้คำสัญญากับคนตายนั่นแหละที่ผูกมัดเธอไว้
รสดาภาไม่อาจจะทรยศต่อคำสัตย์นั่นได้ด้วยสิ