1 The Dark Passover
นานมาแล้วและไกลแสนไกล...
สถานที่แห่งนั้นคืออาณาจักรบาลเธียที่ราวกับดวงดาวริบหรี่ที่สุดบนฟากฟ้าไกล สถานที่อันเป็นจุดเริ่มต้นของเฟรเดอริค ลาเมนเทีย แผ่นดินงดงามและเงียบสงัดนั้นเป็นความทรงจำ ความรัก และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีค่าสำหรับพ่อมดอย่างเขา เป็นที่ซึ่งทุกอย่างที่ล้ำค่าราวกับความฝันวัยเยาว์เปราะบางราวกับปีกผีเสื้อสีขาว น่าหวงแหนราวกับความรักและควรค่าแก่การปกป้องรักษาราวกับชีวิตได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน เพื่อที่พ่อมดเฟรเดอริคจะได้ยึดมั่นและโอบกอดเอาไว้ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักมากมาย
และนี่คือความทรงจำราวแก้วเปราะบางที่ทอประกายริบหรี่อยู่ในซอกหลืบลึกที่สุดในหัวใจของพ่อมดผู้นั้น...หลับใหลอยู่อย่างอ่อนโยนทว่าเงียบงัน…
เรื่องราวทั้งหมดที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาเริ่มขึ้นในคืนมืดนั้น และแน่นอน...เฟรเดอริคหลงรักคืนมืดไม่น้อยไปกว่าคืนที่มีแสงจันทร์ เรื่องราวนั้นเกิดขึ้นภายใต้คืนมืดอันยาวนานแห่งเทศกาลปัสกา
ปัสกาเป็นเทศกาลใหญ่ที่เผ่านักเวทย์หรือที่ในภาษาท้องถิ่นของอาณาจักรบาลเธียเรียกว่าเผ่ามาเกียจัดขึ้นทุกปี เทศกาลนี้ในพวกมนุษย์จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงคืนที่ชาวยิวทาเลือดของลูกแกะไว้เหนือบานประตู เพื่อว่าในคืนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าส่งทูตแห่งความตายออกไปตระเวนสังหารคนชั่วร้ายจะผ่านและไว้ชีวิตหน้าบ้านที่ขอบประตูทาด้วยเลือดแดงฉานนั้นไป
ชาวเผ่ามาเกียอย่างเฟรเดอริคถือเป็นกลุ่มนอกรีต ทำให้พวกเขามักลอกเลียนกฎและพิธีกรรมขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วนำมาบิดเบือน มิใช่เพื่อลบหลู่ทว่าเพื่อแสดงความจงรักภักดีอย่างถ่อมตน เพราะฉะนั้นปัสกาของเผ่ามาเกียเมื่อเปรียบกับของมนุษย์แล้วจึงต่างออกไป
ตลอดมาเหล่าแวมไพร์จะออกตระเวนล่านักเวทย์กินเป็นอาหาร หลายร้อยปีก่อนสองฝ่ายจึงทำสัญญากัน โดยในคืนมืดปีละครั้งนักเวทย์จะชโลมเลือดของสัตว์ดุร้ายไว้บนบานประตูและวางศพของมันไว้เคียงข้าง นับเป็นคืนเดียวในรอบปีที่แวมไพร์ตกลงยอมกินซากศพของสัตว์พวกนั้นแทนการกินนักเวทย์เลือดหวาน
และนั่นล่ะคือความเป็นมาเกีย แม้แต่ในช่วงงานรื่นเริงก็ยังแฝงหลายสิ่งที่มืดหม่นเอาไว้ กระนั้นกลับงดงามไม่ต่างจากงานศิลปะชิ้นเยี่ยมที่ต้องมีทั้งแสงและเงา และหากไม่ลำเอียง...หลายครั้งภาพวาดจะงดงามกว่าหากมีเงามืดหม่นมากกว่าส่วนสว่าง จริงไหม...? ด้วยเหตุนี้เฟรเดอริค ลาเมนเทียถึงได้หลงรักเงื้อมเงาพอๆ กับที่หลงรักแสงที่อยู่อีกด้านหนึ่งไม่สิ เขาอาจรักเงื้อมเงามากกว่าความสว่างด้วยซ้ำไป
อย่างไรก็ตามจะว่าไปเผ่านักเวทย์แทบไม่ต่างอะไรจากมนุษย์เลย เพราะถึงใช้เวทมนตร์ได้ก็ไม่มีใครเก่งกาจโดดเด่นสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มีมนตร์แค่พอเล่นมายากลหลอกเด็กได้เท่านั้น เช่นใช้มนตร์ต้มน้ำให้เดือด ยกก้อนหินให้ลอย เปลี่ยนกวางเป็นกบหรือไก่ หรือไม่ก็เปลี่ยนสีกระต่าย พวกเขาทำได้เท่านั้นหรืออาจน้อยกว่า
หากทว่าการมีมนตร์เพียงน้อยนิดยิ่งทำให้เฟรเดอริครักและห่วงพี่น้องมาเกียของเขามากอย่างอธิบายไม่ได้ หวงแหนแหนรอยยิ้มเรียบง่ายในความสามัญ และหลายครั้งเขาอยากเป็นแค่นักเวทย์ธรรมดาอย่างพวกนั้นบ้างหากแต่ชะตากรรมของเขาถูกกำหนดให้ต่างไปจากนั้น
ในแสงสลัวของเปลวเทียนเฟรเดอริคนั่งสังสรรค์อยู่กับเพื่อนและพี่น้องนักเวทย์ที่เขาสนิทและคุ้นเคยก็จริง หากทว่าเขาดูโดดเด่นและต่างออกไป แม้แต่เด็กตัวเล็กสุดในเผ่าก็ยังสังเกตเห็น ราวกับองค์พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้เฟรเดอริคเดินไปบนเส้นทางที่แปลกแยกและเดียวดาย
ตั้งแต่เด็กมาแล้วเฟรเดอริคถูกกำหนดให้มีพลังเวทมนตร์ที่แข็งกล้าและโดดเด่นไม่แพ้รูปร่างหน้าตาที่สง่างามไร้ที่ติ ประดับด้วยใบหน้าคมคายเกินจะสร้างได้ด้วยเวทมนตร์ใดๆ ดวงตาสีม่วงเข้มราวอัญมณี แวบแรกที่ได้เห็นก็ชวนให้หลงใหล หากแต่ใครจะรู้ว่าเขาสง่างามและครอบครอบพลังมนตร์โดดเด่นขนาดนั้นด้วยเหตุใด
...และบางทีสิ่งที่มากเกินไปเหล่านั้นอาจต้องแลกกับความชั่วร้ายบางอย่างก็ได้...
จะว่าไปเฟรเดอริคผู้นี้เป็นเหมือนแสงจันทร์และกลดสีรุ้งกลางฟ้ามืดเหงาของเผ่า ทุกคนแม้แต่ปีศาจก็ยังชอบแอบมองรอยยิ้มบางเฉียบของเขาซึ่งน่าหลงใหลและราวกับเป็นยารักษาความเศร้าได้ ถูกต้องแล้ว เฟรเดอริคในวันนั้นยังร่าเริงและโอบล้อมด้วยความหวังเหมือนคนทั่วไป
หากแต่อาจเพราะเขาถูกสร้างขึ้นเป็นตัวแทนความสง่างาม ณ จุดสูงสุดของโลกเวทมนตร์ เขาถึงถูกกำหนดให้พบกับเรื่องราวที่หม่นมืดแห่งค่ำคืนนี้ที่จะพลิกผันทุกสิ่งทุกอย่างตลอดไป
เที่ยงคืนแล้ว ดวงจันทร์เหนือฟากฟ้าบาลเธียฉายแสงนิ่งตาย หลังบานประตูที่ฉาบด้วยเลือดสัตว์ร้ายนักเวทย์กลุ่มใหญ่ยังคงรวมตัวกัน เงียบสนิท ไม่กระดุกกระดิก บางคนร่างสั่น ทว่าก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะกลัวขนาดนั้นในเมื่อปัสกาแท้จริงแล้วก็คือเทศกาลที่ล้อเล่นกับความตาย
คนเดียวในบ้านที่ไม่กลัวอาจมีแต่เฟรเดอริค และหากเกิดเหตุร้ายเขาจะช่วยเพื่อนและพี่น้องชาวมาเกียได้ แวมไพร์รู้ดีว่าไม่ควรแตะต้องนักเวทย์ตระกูลลาเมนเทีย และการทำเช่นนั้นเท่ากับฆ่าตัวตาย