ตอนที่ 3
-วันต่อมา-
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ครูสอนพิเศษจะมานะ” พี่แบล็คเดินมาบอกฉันที่กำลังนอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ วันนี้เป็นวันหยุดสิ่งที่ฉันทำทั้งวันก็มีแต่กิน นอน แล้วก็เล่น
“ทำไมเร็วจังล่ะคะ หนูยังไม่พร้อม” ฉันดีดตัวลุกขึ้นนั่ง พึ่งจะสอบเสร็จแท้ๆ ฉันก็อยากจะหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองบ้าง ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ต้องมาเรียนพิเศษ มันเป็นอะไรที่วัยรุ่นอย่างฉันโคตรเซ็ง
“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม พี่อุตส่าห์ไปหามาให้ได้แล้ว” น้ำเสียงของพี่แบล็คค่อนข้างที่จะเกรี้ยวกราดเลยทีเดียว ทำไมพี่เขาต้องดุฉันด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
รู้สึกจะงอนขึ้นมาละเนี่ย
“เชอะ!” ฉันสะบัดหน้าหนี พลางลุกพรึบขึ้นยืน แล้วเดินตรงไปที่บันได
“ไม่กินข้าวใช่มั้ย วันนี้มีเค้กช็อกโกแลตด้วย ดี! จะได้โยนทิ้งถังขยะ”
เท้าของฉันหยุดชะงักโดยอัตโนมัติ งอนก็งอน ของโปรดก็อยากกิน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาวะ!!
พรึบ!
“ขอบคุณค่า พี่แบล็คนี่น่ารักจังเลยเนอะ” เคยได้ยินไหมว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรื่องงอนเอาไว้ก่อน เพราะเรื่องกินมันคือเรื่องใหญ่สำหรับฉัน
“ทีแบบนี้ล่ะเร็วจังนะ เค้กอยู่ในตู้เย็นกินเสร็จก็ขึ้นไปอ่านหนังสือ”
ฉันพึ่งจะเผยรอยยิ้มกว้างได้ไม่กี่วินาทีจู่ๆ ก็ต้องหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย
“อีกแล้วเหรอ” ฉันบ่นอุบพร้อมแสดงสีหน้าที่เบื่อหน่าย ต่อให้เอาหนังสือมาต้มกินความรู้ก็ไม่เข้าไปในหัวสมองฉันหรอก สวดมนต์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะแต้มบาปของฉันมันมีสูงมาก
เฮ้อ~ เอายังไงกับชีวิตดีวะเนี่ย
“ให้ว่องให้ไว” พี่แบล็คนี่ก็เร่งจังเลย แต่ฉันก็ขัดอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ
“ค่าาา” ฉันได้แต่รับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินแยกเข้าไปในครัว มือบางเอื้อมเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบเค้กออกมานั่งทาน นี่แหละคือความสุขอันน้อยนิดของฉัน สุขที่ได้กิน และอ้วนให้ตัวแตก
เวลาเครียดก็ต้องกินเยอะๆ พอน้ำหนักขึ้น เอ้า! ก็เครียดอีก
ชีวิตนี้มีแต่ทุกข์...
งั้นข้าวไม่ต้องทานหรอก เดี๋ยวอ้วน (?)
ฉันนั่งกินเค้กไปยิ้มไปอยู่ในครัวคนเดียว หลังจากที่กินเสร็จก็เก็บทุกอย่างทิ้งขยะให้เรียบร้อย ก่อนจะขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง
ฉันเดินไปหยิบหนังสือที่อยู่ในชั้นภายในห้องนอนออกมา สภาพของมันค่อนข้างใหม่ทั้งๆ ที่ก็ซื้อมาเกือบหลายปีแล้ว ห้องของฉันเหมือนมีชั้นหนังสือไว้แค่วางประดับเฉยๆ แต่ก็ไม่เคยได้หยิบมาอ่านสักที
“ชาติที่แล้วเราคงทำเวรทำกรรมร่วมกันมาเยอะ” ฉันพึมพำออกมาสายตาก็กำลังมองจดจ้องไปที่หน้าปกหนังสือที่ตัวเองกำลังจับ
“กลับไปอยู่บนชั้นเหมือนเดิมเถอะ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน” แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วฉันก็วางมันกลับไปไว้ที่เดิม
ฟุบ...
ฉันล้มตัวนอนคว่ำไปบนเตียง พร้อมกับหลับตาลง
“อยากจะนอนแล้วตื่นขึ้นมาฉลาดจัง” แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้ก็มีแค่การละเมอและเพ้อฝัน
.:END SNOW WHITE PART:.
-ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน-
.:NAVA PART:.
“นะนาวา มึงช่วยกูหน่อยเถอะเพื่อน กูไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้วจริงๆ”
หลังจากที่ผมเปิดประตูให้แบล็คมันเข้ามานั่งในห้อง เสียงพูดของมันก็ดังขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตอนนี้เราสองคนอยู่ที่คอนโดของผมที่พึ่งจะซื้อและย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน เพราะพึ่งจะได้รับการอนุมัติจากพ่อเพลิงและแม่ลาวา
พวกท่านคงจะเห็นว่าผมเริ่มโตขึ้น และสามารถดูแลตัวเองได้แล้วท่านจึงไม่ห่วงอะไรมาก แต่ยังไงซะวันหยุดผมก็ต้องกลับไปหาพวกท่านและนอนค้างที่บ้านอยู่ดี
เอาเป็นว่าหยุดพูดเรื่องของครอบครัวผมก่อนดีกว่า สิ่งที่ควรจะสนใจตอนนี้ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าผม
“มึงไม่จ้างครูสอนพิเศษล่ะวะ มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น เก่งกว่ากูด้วยซ้ำมั้ง” ที่แบล็คมันมาหาผมวันนี้ก็เพราะว่ามันจะให้ผมไปสอนพิเศษน้องสาวของมัน ผมยอมรับนะว่าจริงๆ ผมก็เรียนเก่ง แถมยังเรียนอยู่คณะครุศาสตร์ด้วย แต่ผมก็ไม่เคยไปสอนพิเศษใครที่ไหน มีแต่ติวให้เพื่อนๆ กันเท่านั้น
ถ้าอยากจะเรียนเก่งขึ้นจริงๆ สู้ให้แบล็คมันไปหาคนที่มีประสบการณ์มากกว่าผมไม่ดีกว่าเหรอ
“เพราะมึงทั้งหล่อทั้งเก่งไง”
“ห๊ะ?” ผมถึงกับทวนถามซ้ำเมื่อได้ยินประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของมัน ใช่ผมหล่อ เอออันนี้ก็ยอมรับ (?)
“น้องกูอุตส่าห์รีเควสมาเลยนะเนี่ย ว่าขอครูสอนพิเศษหล่อๆ”
เออเหตุผลแบบนี้ค่อยฟังเข้าท่าหน่อย ถุ้ย!!
“ต้องการคนหล่อให้ไปที่อื่น ต้องการคนหื่นให้มาทางนี้” แล้วผมก็ดันบ้าไปกับมันด้วยไง ไม่รู้แบล็คมันคิดยังไงถึงไว้ใจให้ผมอยู่ใกล้น้องสาวมัน
อันนี้ขอบอกเลยว่าผมไม่เคยเห็นหน้าค่าตาน้องสาวมันมาก่อน แม้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันมาเนิ่นนานหลายปีแล้วก็ตาม
สิ่งที่ผมรู้ก็คือไอ้แบล็คมันหวงน้องสาวมันมาก แทบจะไม่เคยพามาให้เพื่อนคนไหนรู้จักเลยด้วยซ้ำ
ก็แน่สิ ในเมื่อเพื่อนแต่ละคนแม่งนิสัยจังไรกันใช่ย่อย เกิดแบล็คมันเอาน้องสาวมาแนะนำคงจะได้เสียสาวทันใด
“ไม่ต้องมาพูดแบบนี้หรอก กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนแบบนั้น มึงไว้ใจได้เว้ยนาวา กูเชื่อใจมึง”
ทำมาเป็นเรียบเรียงคำพูดซะสวยหรู แต่สีหน้าของมันนี่เหมือนจะเกิดอาการลังเล
“แล้วแต่มึงนะ กูเตือนแล้ว”
ผมก็แค่พูดแหย่ๆ มันเท่านั้นแหละ ไม่ได้อยากจะคาบน้องสาวเพื่อนไปกินอะไรขนาดนั้นหรอก
น้องยังเด็ก เราเป็นพี่ก็ต้องเอ็นดูน้อง
“อย่ามาแกล้งหน้าม่อล่อตีน สรุปมึงจะช่วยกูมั้ยเนี่ย”
ผมนิ่งไปสักพัก ในหัวก็กำลังครุ่นคิดและไตร่ตรองทุกอย่างว่าจะเอายังไงดี
“น้องมึงนี่การเรียนอยู่ในระดับไหนวะ แบบว่า แย่หรือปานกลาง” ผมเอ่ยถามอย่างจริงจัง นี่ก็ถือว่าเป็นการสอบถามอย่างหนึ่ง ผมจะได้เตรียมตัวได้ถูกว่าจะเริ่มสอนน้องมันยังไง
“ไม่มีช้อยส์ให้กูเลือกมากกว่านี้เลยเหรอวะ”
ผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินประโยคที่แบล็คเอ่ยออกมา
“น้องมึงเรียนแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะไอ้แบล็คเองก็เรียนเก่ง น้องสาวมันก็น่าจะไม่ถึงขั้นตกต่ำอะไรขนาดนั้นหรือเปล่า อย่างน้อยก็น่าจะพอมีเชื้อความเก่งของพี่ชายตัวเองติดตัวมาบ้างสักเล็กน้อย
“อย่าให้กูพูดละเอียดกว่านี้เลย กูปวดหัวเหมือนไมเกรนจะขึ้น” ไม่พูดเปล่า แต่มันกลับยกฝ่ามือขึ้นมากุมขมับของตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเครียดจริงๆ
