ตอนที่ 3
เมื่อคืนนี้ฉันลองย้อนถามพี่ขอบฟ้ากลับไป ทว่าก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ทั้งสิ้น หนำซ้ำยังถูกไล่ให้ขึ้นห้องไปนอน ด้วยความที่ไม่อยากดื้อกับพี่ชายฉันจึงยอมทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย
อันที่จริงฉันมีเวรเช้าด้วยแหละ ก็เลยไม่อยากซักไซ้อะไรพี่เค้ามากมาย
สำหรับวันนี้สถานการณ์ยังคงปกติ พี่แบล็คก็ไม่ได้มาที่นี่เหมือนอย่างทุกวัน ดังนั้นฉันจึงทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีข่าวซุบซิบนินทาอะไรลอยมาเข้าหู
แต่แล้ว...สบายใจได้ไม่ทันไรเมื่อถึงเวลาพักทุกอย่างก็พังลงไม่เป็นท่า
“วันนี้กินข้าวคนเดียวเหรอจ๊ะ ไปนั่งกับพวกฉันมั้ย” หลินท้าวมือลงบนโต๊ะที่ฉันกำลังนั่งทานข้าวอยู่ คำเชิญชวนของเธอถ้าให้เด็กอนุบาลดูก็ยังรู้ว่าขนสตรอว์เบอร์รี่มาทั้งไร่
เชื่อขนมกินได้ได้เลย ว่าอีกไม่นานต่อจากนี้ยัยนี่ต้องหาเรื่องฉันแน่ๆ
“ไม่ล่ะ ฉันสะดวกใจที่จะนั่งคนเดียวมากกว่า” ไม่ได้หาเรื่อง และไม่ได้วอนอยากโดนอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างที่พูดออกไปมันก็มาจากความรู้สึกจริงๆ ของฉันเท่านั้นเอง
จะให้จีบปากจีบคอพูดหวานๆ แบ๊วๆ ใส่กันเห็นทีคงทำไม่ลง
“แต่ทุกทีก็เห็นว่ามีผู้ชายมานั่งด้วยตลอดนะ” นอกจากจะไม่ถอยห่างออกไปแล้ว หลินยังหย่อนก้นลงนั่งตรงข้ามฉันอย่างถือวิสาสะอีกด้วย
ส่วนพรรคพวกของเธอก็นั่งอยู่อีกโต๊ะที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล แถมทุกคนยังมองมาอย่างสังเกตการณ์ หรือเผือกอันนี้ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ขอเดาว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
“เธอต้องการอะไร?” ฉันวางช้อนกับส้อมในมือลงบนขอบจาน ตั้งแต่ที่หลินโผล่หน้ามาให้เห็นใกล้ๆ ก็พานรู้สึกทานอะไรไม่ลง
“เธอพูดถึงอะไรเหรอข้าวหอม” หลินเอียงคอเล็กน้อยราวกับคิดว่าตัวเองน่ารัก แต่ถ้าถามความเห็นฉันก็คงต้องบอกว่าน่าถีบมากกว่า
อย่าหาว่าใจร้ายเลยนะ มาทำตัวสตรอว์เบอร์รี่แบบนี้เดี๋ยวได้กินอย่างอื่นแทนข้าวแน่ๆ ล่ะ
“ก็ทุกเรื่องที่เธอกำลังทำอยู่” ฉันเว้นจังหวะการพูดเพื่อมองสบตากับหลินตรงๆ “หรือว่ามันเยอะเกินไปก็เลยจำไม่ได้?”
“เธอคิดมากหรือเปล่าข้าวหอม ฉันเปล่านะ” หลินส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน เส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติที่ยาวสลวยสะบัดพลิ้วไหวไปมา
“จะไปไหนก็ไป” มือบางยกขึ้นโบกไล่ เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าการเสวนากับคนประสาทเสียมันไม่ทำให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา มีแต่จะปวดหัวเปล่าๆ
“ถ้างั้นก็ทานข้าวให้อร่อยนะจ๊ะ” พอคล้อยหลังร่างบางฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เพื่อระบายความอึดอัด
“มันจะไม่อร่อยก็เพราะเธอนี่แหละ” ถึงปากจะพูดแบบนั้นทว่าฉันก็ต้องจำใจใช้ช้อนตักข้าวเข้าปาก จะได้มีแรงไปทำงานต่อ เนื่องจากหน้าที่ที่ฉันทำอยู่นี้ก็ถือว่าสำคัญมากเลยทีเดียว ดังนั้นควรแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกัน...
“ข้าวหอม รู้หรือเปล่าว่าพรุ่งนี้จะมีคุณหมอคนใหม่ย้ายมาที่นี่” พี่อุ้มสะกิดแขนฉันยิกๆ หลังกลับมาจากไปเข้าห้องน้ำ สงสัยระหว่างทางพี่อุ้มคงไปได้ยินอะไรมาแน่
“ก็ดีแล้วหนิคะ มีบุคลากรมาเพิ่มแบบนี้คนไข้จะได้ไม่ต้องรอนาน” ขึ้นชื่อว่าโรงพยาบาลของรัฐฯ ก็เป็นที่เลื่องลือแล้วล่ะว่ารอนานขนาดไหน
ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ก็ต่างทำงานเต็มที่กันหมด ทว่าบางเรื่องก็มักจะมีจุดบกพร่องอยู่เสมอ บางครั้งพวกเราก็เจอคนไข้หรือไม่ก็ญาติที่ชอบใช้อารมณ์เป็นใหญ่ แต่ยังไงซะสิ่งที่เราทำได้เวลานั้นก็คืออดทน
ซึ่งบางคนก็ทำไม่ได้ เพราะงั้นตรงจุดนี้มันก็อยู่ที่การควบคุมอารมณ์ของแต่ละคนแล้วล่ะ
“อันนั้นมันก็ดีอยู่แล้ว แต่ที่ดียิ่งกว่าก็คือ...” พี่อุ้มเว้นจังหวะให้ลุ้นระทึก พลางใช้ปลายเท้าขับเคลื่อนให้เก้าอี้ขยับเข้ามาใกล้ฉัน “คุณหมอหล่อมาก”
“พี่อุ้มพูดอย่างกับตาเห็น” ฉันหลุดขำเล็กน้อย คุณหมอคนนั้นยังไม่ทันมาด้วยซ้ำ คนที่กระจายข่าวก็ช่างเล่นใหญ่กันเหลือเกิน
“จริงๆ ก็ยังไม่เห็นหรอก แต่แบบว่าเขาก็พูดต่อๆ กันมาอีกที”
แทบจะตบเข่าฉาดเมื่อสิ่งที่ตัวเองเพิ่งคิดไปหยกๆ ดันกลายเป็นเรื่องจริงซะได้
“รอให้เห็นกับตาดีกว่าค่ะ ข้าวถึงจะเชื่อว่าหล่อจริง” สิ้นประโยคฉันก็หันกลับไปสนใจทำงานของตัวเองต่อ
