บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2

เพื่อนและรุ่นน้องก็เลยช่วยกันพาผมมาส่งโรงพยาบาล จากที่มองดูแผลมันก็ไม่ได้ลึกมากอะไร เหมือนจะแค่ถากๆ ด้วยซ้ำ

แต่เลือดนี่สิ...ไหลไม่หยุดเลยไอ้เวร

“พี่ผมจะตายมั้ยครับคุณพยาบาล” ดวงตาคมตวัดขวับไปมองคนที่โพล่งประโยคนั้นขึ้นมา ซึ่งเจ้าตัวก็ทำเป็นเมินเฉยโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร

“ไม่ค่ะ แค่ถากๆ เอง” คุณพยาบาลอมยิ้มเล็กน้อย ขณะเดียวกันมือบางก็เอื้อมไปหยิบสำลีอีกก้อนมาเช็ดรอบบาดแผลให้ ความแสบจี๊ดๆ ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผมเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยการสะดุ้ง เพราะจู่ๆ เธอก็จิ้มสำลีลงมาโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว

“งี้ผมก็อดกินข้าวต้มเลยดิ” นอกจากจะไม่ช่วยทำแผลแล้ว มันก็ยังจะมีหน้ามาแช่งผมอีก

คือคาดหวังให้กูตายเพื่อจะได้แดกข้าวต้มเนี่ยนะ? ประเสริฐจริงๆ ไอ้น้อง!!

“ปากหมานะมึงเนี่ยไอ้ไอซ์ กลับบ้านไปได้แล้วไป” มือหนายกขึ้นโบกไล่รุ่นน้องคนสนิทที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว เพราะคนอื่นๆ นั้นหลังจากที่ส่งผมถึงมือหมอแล้วพวกมันก็เผ่นแน่บหนีกลับบ้านกันหมด

ค่าเหล้าก็ไม่ทิ้งไว้ นี่ความเหี้ยมันอยู่ตรงนี้

“แล้วพี่จะกลับยังไง มอไซค์ก็ยังอยู่ที่ร้านหนิ” ไอซ์ย้อนถาม ผมเองก็ลืมไปเสียสนิทว่ารถของตัวเองยังจอดอยู่ที่ร้านเหล้า เพราะตอนมาโรงพยาบาลก็นั่งรถยนต์ของเพื่อนอีกคนมา

“มึงเอามอไซค์มึงมาใช่มั้ย งั้นทิ้งไว้ให้กู” พอจำได้อยู่ว่าไอซ์มันขับรถตามมาทีหลัง ดังนั้นมอเตอร์ไซค์ของมันก็คงจะจอดอยู่ที่นี่ด้วย

“แล้วผมกลับไงอะ”

“มึงมีขามั้ย?” แม้จะเป็นเพียงคำพูดสั้นๆ ทว่าคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงก็รู้ความหมายในประโยคนั้นได้เป็นอย่างดี

“พูดเป็นเล่น พี่จะให้ผมเดินกลับเหรอ?” ไอซ์ย้อนถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ระยะทางจิ๊บๆ” ผมทำไม้ทำมือระหว่างที่พูด หางตาก็สังเกตเห็นว่าคุณพยาบาลที่กำลังใช้ผ้าก๊อซปิดแผลพยายามกลั้นรอยยิ้มอยู่

แต่พยาบาลคนนี้ก็น่ารักดีนะ อันที่จริงเธอทำให้ผมสะดุดตาตั้งแต่ตอนที่เดินเข้ามาทำแผลให้แล้วล่ะ แค่ช่วงนั้นมันชุลมุนวุ่นวายเพราะเพื่อนๆ ก็เลยไม่ได้โฟกัสอะไรมากมาย ทว่าเวลานี้พอได้มองชัดๆ แล้ว ผมว่าเธอก็น่าสนใจดี

“อะแฮ่ม!” เหมือนไอ้น้องเวรมันจะรู้ ว่าผมกำลังมองจ้องไปที่เธอ เลยกระแอมไอเสียงดังเพื่อเรียกสติผมให้กลับมา

“เรียบร้อยแล้วค่ะ พยายามทายาบ่อยๆ แล้วก็ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำนะคะ” ยิ่งคุณพยาบาลเงยหน้าขึ้นมาสบตา ผมก็ยิ่งละสายตาไปจากใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มนั้นไม่ได้เลย “เดี๋ยวเชิญไปรับยาและชำระเงินได้ที่ช่องสองได้เลยนะคะ”

รอยยิ้มละมุนยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าเนียน คุณพยาบาลจะรู้บ้างหรือเปล่า ว่ารอยยิ้มของเธอมันเป็นรอยยิ้มพิฆาตสำหรับผม

“ปะพี่ กลับบ้านกัน” ไอซ์ขัดจังหวะความคิดของผมด้วยการเอื้อมมือมาดึงแขนให้ลุกลงจากเตียง และนั่นก็ทำให้ผมจำใจต้องละสายตาจากคุณพยาบาลคนสวย เมื่อเดินออกมาจากห้อง ผมก็โพล่งประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า…

“พยาบาลคนนั้น...กูชอบว่ะ”

หลังจากวันนั้นที่ได้บอกความรู้สึกของตัวเองให้กับรุ่นน้องฟัง ผมก็เดินหน้าตามจีบคุณพยาบาลเต็มกำลัง ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั้นคือ...แห้วแดก

[จบบันทึกพิเศษ: แบล็ค]

[บันทึกพิเศษ: ข้าวหอม]

ฉันนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนจนกระทั่งแม่ขึ้นมาเคาะประตูห้องเพื่อเรียกให้ลงไปทานข้าว

เมื่อเดินมาถึงโต๊ะอาหารก็เห็นว่าครอบครัวของเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แม้กระทั่งพี่ขอบฟ้าเองที่ปกติงานจะยุ่งวันนี้ก็มาร่วมโต๊ะทานอาหารด้วย

“วันนี้ฝนตกหนักแน่ๆ เลย” ดวงตากลมโตปรายมองไปที่พี่ชายเล็กน้อย ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่ระบายยิ้มเต็มใบหน้าเมื่อถูกแซวแบบนั้น

“ขยันแซวพี่จังเลยนะ”

“ก็มีพี่ชายอยู่คนเดียวนี่นา ขอหยอกนิดนึง” ถึงแม้ว่าเราจะอายุห่างกันเกือบหกปี แถมยังเป็นพี่ชายกับน้องสาวแต่นั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหา

พี่ขอบฟ้าเป็นทั้งเพื่อน และพี่ชายที่แสนดีสำหรับฉันมาตลอด สมัยตอนเด็กๆ ไม่ว่าพี่เค้าจะไปไหนก็หิ้วฉันไปเล่นด้วยกันเสมอ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงติดพี่ชายยิ่งกว่าอะไร แต่พอพี่ขอบฟ้าเรียนจบเขาก็ไปสร้างธุรกิจของตัวเอง

เราสองพี่น้องจึงไม่ค่อยได้คุยเล่นกันเหมือนเมื่อก่อนมากนัก เนื่องจากว่าพี่เค้างานยุ่ง ส่วนฉันเองก็มัวแต่เรียนและฝึกงาน เวลาของเราจึงไม่ค่อยตรงกันสักเท่าไหร่ กว่าจะได้นั่งทานข้าวด้วยกันก็แทบจะนับครั้งได้

“แล้วฝึกงานเป็นยังไงบ้าง อีกไม่นานก็จะเรียนจบแล้วใช่มั้ยล่ะ”

จังหวะที่กำลังเปิดปากเพื่อบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตของตัวเองให้พี่ชายได้ฟัง จู่ๆ ก็ถูกขัดด้วยประโยคของผู้เป็นพ่อ

“ก็แค่มีผู้ชายไปนั่งเฝ้าแล้วถูกนินทาไม่เว้นแต่ละวัน” บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดหลังจากประมุขของบ้านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หัวโต๊ะโพล่งขึ้นมาเสียงดัง

ดวงตากลมโตเลื่อนไปมองผู้เป็นแม่ ตอนนี้ทัพพีตักข้าวในมือท่านสั่นมาก ไม่ต้องบอกก็คงรู้ใช่ไหมว่าใครที่แม่หมายหัว

“ตักข้าวเองนะคะคุณ” จบคำพูดนั้นแม่ก็เลื่อนจานที่พูนไปด้วยข้าวสวยร้อนๆ ส่งให้ฉันกับพี่ขอบฟ้า

ส่วนพ่อ...ก็ได้รับจานเปล่าเงาวับไปแทน

“ผมพูดผิดเหรอ ก็มันเรื่องจริง...นี่ขอบ รู้หรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้ข้าวหอมมีข่าวลือเสียๆ หายๆ อะไรบ้าง” หลังจากที่ย้อนถามแม่ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ท้ายประโยคก็หันไปพูดกับพี่ขอบฟ้าเพื่อหาแนวร่วม

“ผมว่าเราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันดีกว่าครับ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมคุยกับน้องเอง” แค่มองเข้ามาในตาฉัน พี่ขอบฟ้าก็รู้แล้วว่าเวลานี้ฉันรู้สึกยังไง “ทานข้าวกันเถอะครับ มาเดี๋ยวผมตักข้าวให้เอง”

มือหนาคว้าโถข้าวไปถือไว้ซะเอง ก่อนที่จะลงมือตักข้าวให้พ่อ

เริ่มจะทานอะไรไม่ลงแล้วสิ ถ้าพี่ขอบฟ้าไม่ขยันตักนั่นตักนี่มาให้ รวมถึงพร่ำบอกว่า ‘ให้ทานเยอะๆ’ ฉันก็คงไม่คิดจะตักมันเข้าปากแน่นอน

อาหารมื้อนี้จบลงด้วยความอึดอัด แม้ว่าพี่ขอบฟ้าจะพยายามหาเรื่องสนุกๆ มาคุยทว่าฉันก็ปิดปากเงียบสนิท ไม่ได้ร่วมวงสนทนาเหมือนอย่างทุกที

หลังจากที่ช่วยแม่เคลียร์โต๊ะและล้างจานเสร็จเรียบร้อย ฉันก็เดินไปนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงสวนหย่อมหลังบ้าน

“ไหน มีอะไรจะเล่าให้พี่ฟังหรือเปล่าหืม?” น้ำเสียงอบอุ่นมาพร้อมกับมือหนาที่วางทาบลงบนศีรษะของฉัน ก่อนที่พี่ขอบฟ้าจะนั่งลงที่ว่างข้างๆ

“พี่จำพี่แบล็คได้หรือเปล่า”

“คนที่พ่อจะตามไปยิงน่ะเหรอ” เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องที่พี่ขอบฟ้าจำได้แม่นยำมากที่สุด เนื่องจากว่าพี่เค้าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง

“ก็เขานั่นแหละตามไปเฝ้าข้าวที่โรง’บาล หลินก็เลยเอามาฟ้องพ่อ แถมยังซุบซิบนินทากับคนอื่นด้วย” ได้ทีฉันก็รีบฟ้อง ไม่ว่าจะโตแค่ไหนแต่ฉันก็เหมือนเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่อยากให้พี่ชายปกป้องเสมอ

“พ่อน่ะแคร์คนอื่นมากไป จนลืมสนใจความรู้สึกของข้าวหอมใช่มั้ยล่ะ” ฉันรีบพยักหน้ารับหงึกหงักทันที แค่ได้ยินประโยคนี้น้ำตาก็พานจะไหลเสียให้ได้ “พี่ขอถามตรงๆ เลยนะ...ข้าวชอบผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า เท่าที่จำได้ เขาก็ตามจีบข้าวมานานแล้วหนิ”

“ข้าวไม่ได้ชอบ” อาจจะมีบ้างที่เผลออ่อนไหว แต่ทุกครั้งฉันก็สามารถดึงสติกลับมาได้

ต่อให้ชอบเขายังไงเรื่องของเราก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดี ดูได้จากอาการของพ่อฉันเลย

“พี่จะเชื่อดีหรือเปล่านะ” ฉันทันหันไปเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ข้างมุมปากหนาพอดี

คำพูดที่แฝงไปด้วยนัยบางอย่างทำให้คิ้วของฉันขมวดเข้าหากัน…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel