บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 เตรียมตัวกลับบ้าน

หลังจากที่วุ่นอยู่กับงานและไปชอปปิ้งกับเพื่อนสาวทั้งสอง รินโกะกลับมาที่บ้านด้วยอาการอ่อนแรงวันนี้คงเป็นอีกวันที่ร่างกายอยู่ในภาวะย่ำแย่และอ่อนแอ แต่ถึงยังไงเธอก็ยังอยู่เฉยไม่ได้เมื่อเหลือบมองไปเห็นนาฬิกาที่เเขวนอยู่บนผนังห้อง

มันเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นและไกล้ถึงมื้อเย็นมากเเล้ว เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าห้องครัวเพื่อทำอาหารไว้รอเจ้าเพื่อนสาวทั้งสองที่ยังไม่กลับมา เพราะยังมีธุระต่อที่บริษัทที่ทั้งสองดูแลอยู่รวมไปถึงเธอด้วยเช่นกัน

ครืด~ครืด~ครืด~

เสียงสั่นดังขึ้นเสียงนั้นดังมาจากไอโฟนสีดำอันเป็นเครื่องใหม่ของเธอที่พึ่งซื้อมาเมื่อตอนเดินห้างกับเพื่อนสาวทั้งสอง แต่เเล้วเมื่อเธอเอื้อมไปหยิบมาดูกลับพบว่ามีข้อความที่ส่งมาโดยนานะ

เธอยืนนิ่งคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีกะจิตกะใจส่งข้อความหรือติดต่อมาหาเธออยู่บ้าง แต่นี่มันก็เป็นครั้งแรกในเกือบรอบปี นับตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่ที่อังกฤษนานะไม่เคยโทรหรือส่งเมลติดต่อมาแม้แต่ครั้งเดียว

แต่ตอนนี้หญิงสาวกลับกล้าที่จะส่งข้อความมาหาแต่กระนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะเปิดข้อความขึ้นอ่านและเมื่อยิ่งอ่านเธอก็ยิ่งงุนงงเป็นไก่ตาเเตกเพราะเนื้อความที่นานะเขียนมานั้นมันเหมือนเป็นการขอร้องเสียมากกว่าจะทักทายหรือซักถามตามประสาคนที่ไม่ได้ติดต่อกันนาน โดยเนื้อความเขียนเอาไว้ยาวเหยียดว่า

ริน....นานมากแล้วที่แม่ไม่ได้ติดต่อไปหาหวังว่าจะไม่โกรธแม่นะ...แม่อยากให้รินกลับบ้านเราเพราะตอนนี้แม่ย้ายมาอยู่ที่บ้านของเราตามเดิมแล้ว...แต่ว่าแม่พาพี่สาวและพ่อของเรามาด้วย..แม่อยากให้ลูกมาหาเเม่ต่อให้จะมาเพียงเพื่อพบกันเพียงครั้งสุดท้ายก็ตาม..แต่แม่มีเรื่องที่จะบอกและต้องการทราบจากปากของลูกด้วย...หวังว่ารินจะเข้าใจแม่นะ...ขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา...

[นากามูระ นานะ]

รินโกะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจในข้อความที่เขียนส่งมา ทั้งคำที่ใช้แทนเรียกตัวเองว่าแม่และสิ่งที่อยากจะบอกและอยากจะถามจากเธอไหนจะนามสกุลที่เปลี่ยนไปอีก แต่นามสกุลนั้นเธอรู้สึกคุ้นๆราวกับว่าเคยรู้จักและพบเจอกับคนสกุลนั้นมาก่อน

“อ้าว!รินโห...ทำเมนูอะไรน่ะหอมเชียว” ร่างระหงของสองสาวในชุดเดรสยาวสีขาวเดินตรงเข้ามาที่เธอพร้อมกันนั้นคนทั้งสองก็ชะโงกหน้ามองอาหารในจานที่เธอพึ่งจัดเสร็จ และในขณะที่จัดไปก็เหม่อลอยไป มารู้ตัวอักทีก็เสร็จสรรพหมดทุกอย่างเสียแล้ว “ยกไปรอที่โต๊ะเดี๋ยวฉันตามไป”

ว่าแล้วเธอก็ถอดเสื้อกันเปื้อนออกแล้วเดินไปเปิดก๊อกน้ำล้างมืออยู่ครู่จึงหันหลังแล้วเดินออกมาที่ห้องรับประทานอาหารที่อยู่ติดกับห้องครัวในตอนนี้เพื่อนสาวทั้งสองกำลังนั่งรับประทานอาหารก่อนเธอเสียแล้ว

อาหารมื้อเย็นผ่านพ้นไปด้วยความรวดเร็วเพราะรินโกะไม่ได้สนใจกับเพื่อนสาวทั้งสองที่เอาแต่พูดจ้อเป็นต่อหอยทั้งๆที่กำลังร่วมวงทานอาหารกัน

แต่สำหรับคนทั้งสองแล้วไม่ว่าที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่หากรู้เหงาๆหรือเงียบไปก็จะพูดคุยขึ้นในทันที ด้วยนิสัยที่ปากอยู่ไม่เป็นสุขของคนทั้งสองจึงทำให้รินโกะแลดูเป็นคนพูดน้อยและเขร่งขรึมไปเสียมิได้

**************

ภายในห้องนอนกว้างร่างของคนทั้งสามกำลังนอนเบียดกายแนบชิดเสียจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันรินโกะนั้นนอนหงายอยู่ตรงกลางเอามือก่ายหน้าผากส่วนเอ็มม่านอนกอดเธออยู่ทางด้านซ้ายส่วนคริสติน่าอยู่ทางด้านขวาคนทั้งสองในตอนนี้หลับไปเสียแล้ว ทิ้งไว้ที่เธอนอนเป็นไส้กรอกที่ขนาบข้างด้วยขนมปังเหมือนแซนวิช

เธอนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดถึงใบหน้าคมเรียวของหญิงสาวอีกคน หญิงสาวที่เคยเป็นคนที่เธอหลงรักแต่สุดท้ายแล้วหญิงสาวกลับเป็นได้แค่แม่ของเธอเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นตัวเธอเองกลับไม่ได้รู้สึกดีใจหรือเศร้าใจแม้แต่น้อย

แต่กลับรู้สึกเฉยเมยเหมือนหัวใจดวงน้อยมันได้หายสาบสูญไปพร้อมกับความรู้สึกต่างๆของเธอ ถึงจะสูญเสียไปสักเพียงใดเธอก็ยังเป็นเธออยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนไป ใบหน้าเรียบเฉยน้ำเสียงเนือยๆและราบเรียบเหมือนไร้จิตวิญญาณจนตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นเหมือนเดิม...

เช้าตรู่ในวันถัดมารินโกะเก็บข้าวของจำเป็นลงในกระเป๋าในขณะที่คริสติน่ากำลังนั่งสวมกอดเธอจากทางด้านหลังไม่ยอมปล่อย เหมือนลูกสาวตัวน้อยที่อยู่ไม่ห่างจากคนเป็นแม่

“ไม่เอาน่า..คริส...รินไปไม่นานนักหรอกอีกอย่างเราก็ติดต่อกันได้นี่” เธอพูดเสียงหวานพร้อมกับขยับหน้าของเธอไปเบียดชิดกับแก้มนุ่มยุ้ยของคนงอแงแล้วขยับถูไถไปมาเบาๆด้วยความเอ็นดู

“คิก! คิก! คิก! งื้อ...งั้นรีบมานะ”

“เอ....ฉันอาจจะไม่ได้กลับมาแต่ถึงจะกลับมาก็อาจนะนานหลายปี..ถ้าคิดถึงจะโทรมาหาหรือมาเยี่ยมบ้างล่ะนะ”

“โถ่...ริน...ทำไมถึงทิ้งเราให้อยู่กันแค่สองคนล่ะแล้วต่อไปนี้ใครจะมาทำอาหารให้พวกเรากินในทุกๆวันแล้วไหนจะเรื่องการเรียนแล้วก็เรื่องของบริษัทอีก...ล..แล้วก็..”

คริสเว้นประโยคไว้เหมือนจะลังเลแต่รินโกะรู้เท่าทันเพื่อนสาวเธอจึงพูดขึ้นเบาๆว่า“แล้วก็..ใครจะมาทำให้เธอขึ้นสวรรค์ใช่มั้ยล่ะ”

“ร..รู้ใจกันเสียด้วยสมแล้วที่ได้ฉายาว่าไวโอเลต งื้อ..ไม่กวนแล้วเดี๋ยวไปเตรียมเครื่องขึ้นบินไว้ให้”

คริสติน่ารีบผละกายออกจากเธอเมื่อเห็นว่าท่าจะไม่ดีเพราะขืนอยู่ต่อไปมีหวังเธอจับหญิงสาวปล้ำเสียตรงนี้ตอนนี้เลยก็ได้ แต่เธอคงไม่มีเวลามาทำเรื่องอย่างว่า เพราะมีสิ่งสำคัญหลายอย่างต้องรีบจัดการให้เสร็จสมบูรณ์

ณ สนามบินเขตดอนเมือง

“โฮย~~ซาโยนาราาาา” เสียงเจื้อยแจ้วเป็นภาษาญี่ปุ่น ของเอ็มม่าดังตามหลังมาขณะที่รินโกะกำลังเดินไปที่เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวซึ่งเป็นของป่ะป๊าของคริสติน่าที่ให้ยืมมาใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไปที่ญี่ปุ่น

รินโกะหันกลับไปโบกมือให้เพื่อนสาวทั้งสอง สองคนนั้นก็โบกมือหยอยๆตอบกลับมาเมื่อนั้นเธอจึงเดินขึ้นเครื่องไปโดยไม่หันไปสนใจกับเพื่อนสาวทั้งสองอีก เพราะก่อนจะออกมาที่สนามบินเธอได้กล่าวอำลาพร้อมกับนั่งปลอบเจ้าคนขี้แยทั้งสองที่รู้ว่าเธอต้องกลับบ้านเกิด

ก็ต่างพากันร้องโฮราวกับว่าเธอจะไปออกศึกแล้วพลีชีพเสียอย่างนั้น แต่นั่นมันทำให้เธอที่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวกลับเป็นสุขและมีสีสันขึ้นมาบ้างเพราะอย่างน้อยเธอก็รู้แล้วว่าเธอยังมีเพื่อนสาวอีกสองคนที่รอคอยเธออยู่

ในตอนนี้เครื่องบินกำลังบินอยู่กลางอากาศบนท้องฟ้าซึ่งมีเพดานบินสูงหลายหมื่นฟุต ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางและหรูหราดูเงียบสงบแม้จะมีสาวสวยที่มีหน้าที่คอยให้บริการความสะดวกสบายในด้านต่างๆและยังมีการ์ดอีกสี่นายที่นั่งทิ้งระยะห่างจากเธอเพียงเล็กน้อย

สองคนนั้นน่ากินชะมัด...

เธอคิดในใจขณะจ้องแป๋วมองสองสาวในชุดแอร์โฮสเตสซึ่งแต่ละคนหน้าตาสวยสะดุดตาไม่น้อยเส้นผมสี

บลอนทองยาวสลวยไม่ได้มัดเหมือนที่ควรจะเป็นตามแบบฉบับของแอร์โฮสเตส

สองสาวนั้นกำลังยืนนิ่งอยู่ที่แผนกบาร์บนเครื่องแต่เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจ้องมองหนึ่งในสองจึงกระซิบบอกอีกคนให้รู้ตัวก่อนที่อีกคนจะก้าวเดินช้าๆตรงมาที่เธอด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทำเอาคนมองอยากจะจับกินเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ดีที่ว่ามีบอดีการ์ดหนุ่มอยู่ด้วยถึงสี่คนไม่งั้นแม่สองสาวแสนสวยนี่เสร็จเธออย่างแน่นอน เมื่อแอร์โฮสเตสสาวคนนั้นก้มลงพร้อมกับถามเธอจึงเลิกคิดการร้ายแล้วหันไปสั่งสั้นๆกับแอร์โฮสเตสสาวว่า

“ขอ..อะไรเด็ดๆเผ็ดๆ”

แอร์โฮสเตสสาวกระพริบตาปริบๆเพราะไม่เข้าใจความหมายที่เธอพูดออกไปแต่เพราะเห็นว่าจะเป็นการเสียเวลาหากมัวแต่โอ้เอ้เธอจึงสั่งให้แอร์โฮสเตสสาวคนนั้นให้เอาไวน์มาให้โดยคราวนี้พูดสั่งเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ

แอร์โฮสเตสสาวพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่เคาเตอร์บาร์แล้วสนทนาอยู่กับแอร์โฮสเตสสาวอีกคนอยู่เพียงสองสามประโยคก็เดินกลับมาพร้อมขวดไวน์และแก้วทรงสูงดูมีราคาสมกับฐานะของเจ้าของเครื่องบิน

“รินให้ทีสิ” เธอสั่งเสียงเข้มพร้อมกันนั้นก็ถอดชุดเดิมออกแล้วหันไปเอื้อมหยิบเสื้อโค้ทและชุดลำลองอีกตัวมาถือไว้ในมือ แต่พึ่งจะนึกขึ้นได้จึงหันไปมองบอดี้การ์ดสี่นายที่นั่งอยู่ด้านหลังห่างออกไปเพียงเล็กน้อยเธอจึงสั่งเสียงต่ำๆว่า

“หันหลังกลับอย่าหันมามองเด็ดขาด”

สิ้นเสียงของเธอบอดี้การ์ดหนุ่มทั้งสี่หันหลังให้ เธอจึงจัดการเปลี่ยนชุดเสียตรงนั้นท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาตาไม่กระพริบของแอร์โฮสเตสสาวทั้งสอง จนกระทั่งเสร็จและบัดนี้เธออยู่ในลุคมาดแมนของเธอด้วยชุดทักซิโด้สีดำและรองเท้าหนังดำมันวับขาดแต่เพียงวิกผมสั้นสีดำของเธอก็เท่านั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel