ตอนที่ 12 แรกพบของเราสอง [ตอนพิเศษ]
ณ กรุงโตเกียว ปี 2018
วันนี้เป็นวันเเรกในการใช้ชีวิตมัธยมต้นของฉัน ฉันเดินไปมาในห้องพร้อมกับเหลือบมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกแล้วก็ยิ้มออกมาราวกับคนบ้าตอนนี้ฉันอายุสิบสามปีและกำลังเติบโตขึ้นในทุกๆวันฉันเป็นเด็กอัจฉริยะพ่อและแม่ภูมิใจในตัวฉันและตั้งความหวังเอาไว้กับฉันเป็นอย่างมาก!!
“คุณหนูคะพร้อมแล้วหรือยังคะ”แม่นมถามเมื่อเห็นฉันเดินไปมาอยู่นานมากแล้ว ฉันหันไปยิ้มให้แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า
“อื้ม...จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ว่าแล้วฉันก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋าใบโปรดมาสะพายแล้ววิ่งออกมาจากห้อง ทันทีที่วิ่งลงมาถึงชั้นล่างพ่อและแม่ของฉันก็อบรมอยู่นานยกใหญ่ในการใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแห่งใหม่
ณ โรงเรียนมัธยมสุดหรู เขตโตเกียว
เสียงของนักเรียกคนอื่นๆดังอยู่ไปทั่วบริเวณทางเข้าทุกคนดูร่าเริงและสดใสกับการใช้ชีวิตแบบใหม่และแห่งใหม่หลายคนก็มากับพ่อและแม่บางคนก็มากับเพื่อนส่วนตัวฉันนั้นไม่มีเพื่อนจึงต้องเดินเข้าไปในโรงเรียนคนเดียวแบบหงอยๆ
อยากมีเพื่อนกับคนอื่นบ้างจังเลย..
ฉันบ่นอุบอิบในใจขณะเดินเข้าไปในโรงเรียน วันนี้เป็นวันแรกในภาคเรียนนี้ทางโรงเรียนจึงได้มีการประฐมนิเทศและพูดคุยแนะนำกฏต่างๆเมื่อร่วมอยู่ในสังคมภายในโรงเรียน แต่ฉันกลับไม่ได้สนใจอะไรนักเพราะรู้อยู่ก่อนแล้วก็เพราะคุณพ่อคุณแม่รู้จักกับผู้อำนวยการของโรงเรียน
ฉันจึงได้รู้จักกฏระเบียบและแบบแผนการเรียนต่างๆอย่างละเอียดฉันจึงรู้ว่าสิ่งไหนควรทำและสิ่งไหนไม่ควรทำ ส่วนเรื่องปัญหาในการเรียนนั้นไม่ต้องกังวลใดๆเพราะตัวฉันฉลาดและเป็นอัจฉริยะ
ณ ห้องเรียน ระดับ A
“ส...สวัสดี..ฉ..ฉันเชื่อเหมยฮัว”
“........”
“เอ่อ....แล้วเธอชื่ออะไรเหรอ”
“.........”
ไม่ต้องแปลกใจไปเพราะขณะนี้ฉันกำลังตีสนิทกับนักเรียนหญิงที่นั่งอยู่โต๊ะคู่กับฉัน แต่เหมือนฉันจะพูดกับกำแพงเพราะนักเรียนหญิงคนนั้นกลับไม่สนใจฉันเลยแม้แต่น้อย
ยัยนี่หยิ่งชะมัด....
ฉันได้แต่บ่นในใจแต่แล้วนักเรียนคนนั้นก็เหลือบหันมามองสบตาทำเอาฉันนิ่งไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเพราะหน้าตาของเธอคนนั้นมันชั่งหน้ารักราวกับนางฟ้าตัวน้อยเลยก็ว่าได้
ริมฝีปากบางอมชมพูดวงตากลมโตสีฟ้าเข้มผิดแปลกจากดวงตามนุษย์ทั่วไปอยู่มากแต่นั่นก็ไม่เท่ากับแก้มเรียวเนียนนุ่มยุ้ยน่าหยิกและผมสีดำยาวสลวยเห็นแล้วอิจฉาตาร้อนเพราะฉันยังสวยได้ไม่เท่าเธอคนนี้
“เธอ...เป็นไกจิน”
“เห....ฉันเกิดและเติบโตอยู่ที่โตเกียว”
“จริงเหรอ...”
ฉันแทบอดใจไม่ไหวกับความน่ารักน่าเอ็นดูของเธอคนนั้นฉันรู้สึกเหมือนพูดกับเด็กประถมยังไงยังงั้นหรืออาจจะเป็นเด็กอนุบาลก็มิปาน เพราะแววตานั้นที่มองมาขณะเอามือเท้าคางมันชั่งใสซื่อและน่าเอ็นดูเสียจริง
“ฉันพึ่งย้ายมาใหม่แต่ก็รู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับที่นี่หากมีเรื่องอะไรก็สอบถามฉันได้นะ”
“ฉันชื่อ...ริน...รินริโกะ”
ชื่อเพราะจัง...ชื่อก็เพราะหน้าตาก็น่ารักแถมนิสัยก็น่าเอ็นดูเสียอีกพ่อแม่คงภูมิใจมากแน่ๆที่มีลูกสาวแบบนี้ ...
ฉันนั่งสบตามองรินโกะด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นมิตรแต่ฉันกลับสังเกตุได้ถึงความผิดปกติจากแววตาของอีกฝ่ายมันเหมือนแฝงแวงลึกซึ้งบางอย่างเอาไว้ภายในซึ่งฉันเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าแววตาที่ซ่อนเล้นอยู่ภายในนั้นคืออะไร
“ชื่อเพราะจัง..นี่...เรามาเป็นเพื่อนกันมั้ย”
รินโกะพยักหน้าหงึกหงักให้เธอแทนคำตอบกิริยาอาการนั้นฉันไม่สามารถละสายตาไปได้เลยแม้แต่วินาทีเดียวมันทำให้ฉันรู้สึกอยากมีน้องสาวขึ้นมาจับใจและเเอบน้อยใจที่เกิดมาเป็นลูกสาวคนเดียวของเศรษฐีร้อยล้านถึงพ่อแม่จะรวยสักเพียงใดแต่ฉันก็ไม่ได้สุขใจขนาดนั้นเพราะฉันรู้สึกเหมือนขาดบางสิ่งบางอย่างไปในชีวิต
“อืม...ได้สิ”
ไม่คิดเลยว่าคำพูดเพียงคำเดียวของรินโกะจะทำให้ฉันรู้สึกใจเต้นแรงและเป็นสุขได้ขนาดนี้มันทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือนกับว่าได้รับการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในชีวิต
นับตั้งแต่วันนั้นมาฉันก็ตัวติดกับรินโกะชนิดไปไหนไปกัน จนฉันได้รู้ว่ารินโกะนั้นเป็นคนนิสัยนิ่งๆคูลๆและทำตัวเป็นฮีโร่ชอบกป้องฉันแต่ยกเว้นสำกรับคนอื่นเพราะต่อหน้าคนอื่นรินโกะจะกลายเป็นนางมารร้ายจนใครๆต่างไม่กล้ายุ่งด้วย
วันหนึ่งฉันตกใจจนแทบช็อคเมื่อรู้ว่ารินโกะเป็นลูกสาวของคุณนานะเพราะคุณนานะพารินโกะมาที่คฤหาสน์ที่ฉันอาศัยอยู่หรือก็คือบ้านของฉัน ที่ฉันตกใจเพราะฉันรู้จักคุณนานะมากจากคำบอกเล่าของพ่อและแม่
ตามที่ได้รับฟังมาคุณนานะเป็นถึงมาเฟียและมีอิทธิพลที่สุดในโตเกียวแต่นั่นเป็นแค่ฉากหลังส่วนฉากหน้าที่บดบังฉากหลังนั้นก็คือคุณนานะเป็นประธานบริษัทที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่จับตามองของคู่ค้าทางการในประเทศและนอกประเทศ
“เอ...ไม่นึกเลยว่าจะได้พบกันอีกจนได้เป็นเพื่อนกัน..นึกไม่ออกเลยว่าคนทั้งสองที่มีนิสัยรักสันโดดจะเข้ากันได้” คุณนานะพูดกับแม่ของฉันขณะนั่งจิบชาอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก
ส่วนฉันนั่งนิ่งก้มหน้างุดเพราะรู้สึกกลัวคุณนานะเพราะแววตานั้นคมกริบราวกับใบมีดที่คอยเฉือดเฉือนฝ่ายตรงข้ามและเป็นตรงข้ามกับรินโกะที่ขณะนี้กำลังนั่งอยู่ข้างๆฉันโดยที่มือและปากตักและกินเค้กมะพร้าวที่เจ้าตัวบอกว่าชอบอยู่ไม่ยอมหยุด และก็ดูเหมือนจะไม่ได้โกหกเพราะรินโกะกินจนหมด
แต่พอฉันเงยหน้าขึ้นมองก็หัวเราะร่าอย่างอดไม่ได้ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังนั่งหงอยเป็นหมาป่วยอยู่แท้ๆเพราะอะไรน่ะเหรอก็เพราะตอนนี้ที่แก้มของรินโกะมันเลอะคราบครีมสีขาวจนเหมือนหนวดลุงซานต้าไปแล้ว
“เฮ้อ...เห็นทีคงต้องฝากให้คุณอบรมบ่มนิสัยให้เจ้าแล้วล่ะ” คุณนานะกล่าว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เดี๋ยวคราวหน้าก็ให้มาพักอยู่กับลูกสาวฉันสักระยะแล้วจะคอยอบรมกิริยามารยาทให้ใหม่”
แม่ฉันรับคำและดูเหมือนจะถูกใจรินโกะเหมือนกันก็แหงล่ะรินโกะน่ะน่ารักเอามากๆทั้งนิสัยที่ไร้เดียงสาและการกระทำที่ชอบปกป้องฉันมันทำให้ฉันหลงรักคนๆนี้เข้าเสียเเล้ว
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาความสัมพันธ์ของเราสองก็เริ่มแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นรินโกะเริ่มที่จะแสดงนิสัยที่แท้จริงออกมา นิสัยที่ว่านั้นก็คือนิสัยจอมเผด็จการซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าได้มาจากใคร ก็เพราะเป็นลูกสาวมาเฟียอย่างคุณนานะนี่นะ นิสัยก็ต้องได้คนเป็นแม่มาเต็มๆทำเอาชีวิตของเธอปั่นป่วนแต่ก็มีสีสันมากยิ่งขึ้น
จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่เรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ใต้ต้นซากุระที่สวนหย่อมหลังบ้านของคุณนานะเพราะวันนี้เป็นวันหยุดฉันจึงขอคุณแม่มาที่บ้านของเพี่อนรักเสียบ้าง แต่นั่นกลับทำให้ฉันรู้ว่าแท้จริงแล้วฐานะทางบ้านของรินโกะนั้นเหนือกว่าฐานะทางบ้านของฉันเป็นอย่างมาก
“ริน..โตขึ้นเธออยากเป็นอะไรงั้นเหรอ” ฉันถามขณะนั่งเอนกายแนบชิดอยู่กับรินโกะพร้อมกับซุกหน้าลงบนไหล่บางแล้วหลับตาลงรอฟังคำตอบ
“ตอนนี้อยากเป็นของๆเธอ...อยากให้เธอได้รับการดูแลจากฉันแค่นี้ก็เพียงพอส่วนอนาคตจะเป็นยังไงก็แล้วแต่มันจะเป็น”
คำตอบนั้นทำเอาใจฉันเต้นตึกตักหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่รู้สึกตัวราวกับว่ากำลังถูกสารภาพรักอย่างนั้นแหละ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นฉันกลับรู้สึกเป็นสุขไม่น้อยเลยทีเดียว