พิชิตใจ ตำราที่ 2 : วัยเด็ก
(ธาดา)
“แม่ แม่!” เทียนไขเปิดประตูลงจากรถ ก่อนที่รถจะจอดสนิท เธอวิ่งตรงเข้าไปยังรถพยาบาลที่ในนั้นมีแม่ของเธอนอนอยู่
“ใจเย็นก่อนนะเทียน” ทุกคนต่างเข้าให้กำลังใจเธอ
“แม่เป็นอะไรคะป้า”
“แม่หนูแค่เป็นลมลูก ความดันสูง อยู่กับหมอแล้วไม่ต้องกังวลนะ” ทุกคนต่างพยายามปลอบใจเธอ
“ขอญาติไปแจ้งประวัติที่โรงพยาบาลกับผู้ป่วย 1 คนครับ” เสียงเจ้าหน้าที่ท้ายรถ
“หนูค่ะ” เทียนไขเสนอตัวทันที
“เป็นอะไรกับผู้ป่วยครับ”
“ลูกสาวค่ะ”
“เชิญครับ” แล้วเธอก็ขึ้นรถโรงพยาบาลไปกับแม่ของเธอ เทียนไขหันมามองที่ผมแล้วพยักหน้าให้ก่อนประตูจะถูกปิดลง แค่มองตาก็รู้ว่าเธอต้องการอะไร 10 ปีที่ผ่านแทบจะรู้ใจกันทุกอย่าง
ปี๊ป่อ! ปี๊ป่อ! เสียงรถพยาบาลวิ่งผ่านประตูรั้วบ้านออกไปด้วยความเร็ว
“กุญแจ” ลุงคนขับรถยื่นมันให้ทันที ผมตรงไปยังรถที่จอดอยู่ แล้วขับตามรถโรงพยาบาลไป ยายเย็นชานั่นกำลังอ่อนแองั้นเหรอ สายตาที่มองแบบนั้นน่าถ่ายรูปเก็บไว้ดูจริงๆ
ณ ตึกแผนกฉุกเฉิน (EMERGENCY ROOM)
20 นาทีแล้วที่แม่ของเทียนไขอยู่ใน ER ผมนั่งมองร่างบางเดินวนไปวนมาตั้งแต่มาถึงที่นี่ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล ถึงจะพยายามปลอบเธอว่าถึงมือหมอแล้ว แต่เธอก็ไม่มีท่าทีสบายใจขึ้นสักนิดเลย
ตึก ตึก ตึก!
เสียงฝีเท้าดังมาจากทางขึ้นของตึก ผมและเทียนไขหันไปมองตามเสียง ก็พบพ่อของเธอที่วิ่งมาทางพวกเรา ด้านหลังก็มาพร้อมพ่อกับแม่ผม
“พ่อ ฮึก!” เทียนไขวิ่งเข้าไปกอดพ่อของเธอไว้แน่น เสียงสะอื้นดังเล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยิน
“ใจเย็นนะเทียน แม่จะต้องปลอดภัย” แม่ของผมพยายามปลอบใจเธออีกคน
“หนูเทียนไม่ต้องกังวลนะลูก ไม่ว่ายังไงลุงจะดูแลเรื่องนี้เอง” พ่อของผมช่วยปลอบเธออีกแรง แต่ผลที่ได้รับกลับมาคือเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นกว่าเดิม
“ฮือ! ฮือ!” เทียนไขกำชายเสื้อพ่อของเธอไว้แน่น พร้อมกับปล่อยน้ำตาออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
(ญาติคุณ วิลัยวรรณ ศิริตานนท์ ติดต่อห้องเบอร์ 15 ค่ะ)
เสียงประกาศดังขึ้นกลบเสียงร้องไห้ของเทียนไข พ่อของเทียนไขพาเธอมานั่งข้างผม แล้วจึงเดินไปยังจุดที่เสียงประกาศแจ้งไว้
ฟุบ! เทียนไขเอนหัวซบไหล่ผมอย่างหมดแรง
“มาทำไม” เทียนไขถามขึ้นในขณะที่ดึงชายเสื้อผมไปเช็ดน้ำตา
“ก็บอกให้มาไม่ใช่เหรอ” เสื้อเปียกหมดแล้วยายนี่
“ยังไม่ได้พูดสักคำ”
“แค่มองก็รู้แล้ว เงียบแล้วก็นั่งอยู่เฉยๆ” เทียนไขนั่งสงบนิ่ง มือเล็กของเธอกำชายเสื้อผมไว้แน่น เรานั่งคอยกันสักพักพวกผู้ใหญ่ก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าตึงเครียด
“หมอบอกว่าแม่เป็นอะไรเหรอพ่อ” เทียนไขตรงเข้าไปถามพ่อของเธอทันที
“หมอแจ้งว่าแม่เป็นเส้นเลือดในสมองตีบ”
“แล้ว...หมอว่ายังไงอีกคะ” เธอถามผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เทียน ใจเย็นๆก่อนนะลูก ป้ากับลุงจะให้คุณหมอผ่าตัดคุณแม่ทันที แล้วก็เรื่องค่าใช้จ่ายหนูไม่ต้องกังวลนะ ทุกอย่างป้าจะจัดการเอง คุณแม่จะไม่เป็นอะไร” แม่ของผมดึงเทียนไขเข้าไปกอดปลอบแล้วอธิบายสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ให้เธอฟัง
“เทียนขอบคุณคุณป้ากับคุณลุงมากนะคะ จะให้เทียนตอบแทนทั้งสองคนยังไงดีคะ ต้องให้เทียนทำยังไงถึงจะตอบแทนได้หมดคะ” ผู้ใหญ่ทั้ง 3 คนหันมองหน้ากัน ก่อนจะเป็นคุณแม่ที่เป็นฝ่ายพูด
“เรากลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่านะ ป้ามีเรื่องอยากขอร้องเทียนอยู่พอดี” เทียนไขพยักหน้าอย่างเข้าใจง่าย และเดินตามหลังผมไปที่รถ พวกผู้ใหญ่อยู่จัดการเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะตามไปเจอกันที่บ้าน
ปึง!
“ขอถามอะไรสักอย่างสิ” ผมพูดขึ้นในขณะที่พวกเราอยู่บนรถ เทียนไขหันมาจ้องหน้าเพื่อรอคำถาม
“...”
“เรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษ...เธอจะไปกับฉันใช่มั้ย”
“ไม่” คำตอบของเธอทำเอาผมกำพวงมาลัยรถแน่น เพราะครั้งนี้บอกกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่บังคับ
“อือ”
ผมไม่ถามซักไซ้เธอต่อ เหยียบคันเร่งมุ่งตรงไปที่บ้านทันที ภายในรถมีแต่ความเงียบ ไม่มีใครพูด หรือถามอะไรต่อทั้งนั้น แค่คิดว่าต้องไปใช้ชีวิตโดยไม่มีเธอก็ไม่อยากทำอะไรแล้ว เขาเสพติดเธออย่างไม่รู้ตัวมานานแค่ไหนแล้วนะ
(เทียนไข)
ณ บ้านของธาดา เวลา 19.00 น.
“เทียนไขเรื่องที่ไปเรียนต่ออังกฤษกับธาดาหนูตัดสินใจหรือยังลูก” คุณป้าถามขึ้นในขณะที่เรากำลังนั่งทานข้าวเย็นด้วยกัน ธาดานั่งก้มหน้านิ่งไม่แตะอาหารตรงหน้าเลย
“ค่ะ” ฉันจะทำยังไงดีล่ะ ฉันอยากใช้ชีวิตแบบของตัวเองโดยที่ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลา เพราะโดยนิสัยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว เมื่อโตขึ้นเลยคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่ต้องห่างจากเขาได้แล้ว ธาดาก็เป็นผู้ชายแล้วก็กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ด้วย ทำไมคุณป้าต้องอยากให้ฉันอยู่ดูแลเขาตลอดเวลา
แต่สิ่งที่คุณลุงกับคุณป้ามอบให้มาตลอดเป็นสิ่งที่ฉันไม่กล้าปฏิเสธเรื่องการไปเรียนต่อได้ แต่อีกใจหนึ่งฉันก็ยังอยากเลือกตามที่ตัวเองตัดสินใจไว้แล้ว
“หนูตัดสินใจจะไปใช่มั้ย” ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างหันมาสนที่ฉันคนเดียว ยกเว้นธาดา
“หนูขอคุยกับคุณป้าหน่อยได้มั้ยคะ” คำขอของฉันทำให้พวกท่านทั้ง 2 ต้องหันมองหน้ากันทันที
“ได้สิ” คุณป้าลุกขึ้นแล้วเดินนำหน้าฉันไปยังห้องหนังสือทันที
ปึง!
“มีอะไรอยากคุยกับป้าเหรอเทียน” เมื่อเสียงประตูปิดดังขึ้น คุณป้าก็หันมาถามฉันทันที
“ทำไมหนูต้องอยู่ดูแลธาดาตลอดเวลาคะ” ฉันถามออกไปตรงๆโดยไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา คุณป้ามีท่าทีตกใจเมื่อได้ยินคำถาม
“ธาดาเสพติดการมีหนูอยู่ด้วยตลอดเวลา” เสพติดฉัน
“ยังไงคุณป้า”
“เคยสังเกตมั้ยว่า เวลาที่หนูอยู่กับธาดา เขาจะตั้งใจทำทุกอย่างออกมาได้ดีเสมอ เขาจะไม่ใจร้อน และใจดีกับทุกคนที่อยู่รอบข้าง”
“...” ฉันยืนนึกในสิ่งที่คุณป้าพูด แต่ด้วยที่เราอยู่ใกล้กันตลอดเวลาทำให้ฉันเห็นแต่มุมนั้นของเขาเสมอ
“ถ้าหนูจำได้ ธาดาเคยมีเรื่องชกต่อยจนเด็กคนนั้นต้องเข้าไอซียู…”
“ค่ะ”
ฉันจำได้ดี เด็กคนนั้นเข้าไปหาเรื่องเขา ซึ่งโดยปกติจะเป็นฉันที่จัดการกับพวกที่มาวุ่นวายกับเขา ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ตอนนั้นฉันไปเก็บตัวแข่งวอลเลย์บอลของโรงเรียนที่ต่างจังหวัด 1 อาทิตย์ แล้วฉันก็ขาดการติดต่อเขาไป แค่ตอนนั้นที่ห่างจากเขา
“ธาดาจะอยู่กับแค่เทียนไขคนเดียว เขาบอกกับแม่ว่าให้ติดต่อเทียนไขให้ได้ จนเราต้องทำตามที่เขาบอกแล้วเขาก็สงบ”
“...”
“มีแค่เทียนเท่านั้นที่ทำให้ธาดาสงบได้ แล้วการที่เขาจะขึ้นเป็นผู้บริหาร ป้าจำเป็นต้องขอร้องให้หนูเทียนอยู่กับธาดาก่อน”
“ค่ะ” งั้นก็หมายความว่าต้องอยู่ตลอดงั้นสิ
“แล้วนี่แหละเป็นเรื่องที่ป้าจะขอร้องหนูเทียน...อยู่กับธาดานะ” คุณป้าดึงมือไปกุมไว้แน่น ฉันจ้องมองใบหน้าของเธอ ก่อนจะพยักหน้ารับคำขอร้อง เพราะเรื่องที่คุณป้าช่วยแม่ไว้ ฉันก็หาอะไรมาตอบแทนท่านไม่ได้อยู่แล้ว
“เทียนจะอยู่ดูแลธาดาเองค่ะ” คุณป้ายิ้มกว้างพร้อมกับดึงฉันเข้าไปกอด ชีวิตฉันก็ดำเนินไปแบบจำเจซ้ำซากเหมือนเดิมอีกแล้วสินะ เมื่อคุยกันเสร็จฉันกับคุณป้าก็เดินกลับมาที่โต๊ะอาหารตามเดิม ธาดาเงยหน้าสบตาฉันด้วยสายตาเหมือนคนไม่มีวิญญาณ
“ตัดสินใจได้แล้วใช่มั้ยเทียน” คุณพ่อหันมาถามฉันทันทีที่นั่งลง
“ค่ะพ่อ”
“ผมขอตัว” ธาดาลุกจากเก้าอี้ทันที
“จะไปไหนธาดา เดี๋ยวเราต้องพาเทียนไปทำพาสปอร์ตด้วยนะ”
“ฮะ” เขาหันกลับมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“ฮะ อะไรล่ะ ลูกต้องไปเรียนต่อกับเทียนไขที่อังกฤษไง” ธาดาหันมามองฉันด้วยความงุนงง ฉันได้แต่พยักหน้าให้เขาเพื่อเป็นการยืนยันอีกเสียง
“งั้นเหรอ” ธาดาพึมพำและนั่งลงตามเดิม ก่อนที่จะเริ่มตักข้าวเข้าปาก
“กินข้าวได้แล้วเหรอลูกชาย” คุณลุงแกล้งพูดแหย่ลูกชายของเขา ในที่สุดก็กินข้าวลงสักที แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันจะต้องตัวติดกับเขาตลอดขนาดนี้ยังไงล่ะ