บทที่ 4
บทที่ 3
จากที่ตั้งใจว่าส่งเมฆีถึงมือหมอแล้ว จะปลีกตัวกลับไปนอนพักในห้องพักแคบๆ ราคาถูกๆ แค่พอมีที่ซุกหัวนอนในทุกค่ำคืน กลับกลายว่าต้องติดร่างแห ถูกหมอและพยาบาลซักถามข้อมูลถึงที่มาที่ไปของอาการหน้าแตกยับของคนเจ็บ รวมทั้งสอบถามถึงญาติของเมฆี ซึ่งเขาได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะไม่ได้รู้จักเมฆีมากมาย และเมื่อไม่อาจกลับได้ ก็จำต้องนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉินระหว่างที่หมอกำลังให้การรักษาเมฆีเป็นการเร่งด่วน
“เฮ้อ...เอาวะ ไหนๆ ก็แหย่ขาเข้าไปช่วยไอ้หนุ่มคนนี้แล้ว ก็ช่วยให้ถึงที่สุด นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินนี่แหละจนกว่าจะรู้ว่าไอ้หนุ่มเมฆีปลอดภัยดีแล้ว”
พยศพึมพำบอกตัวเอง ดวงตาคมมองไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดไว้ ซึ่งอนุญาตให้เข้าได้เฉพาะทีมแพทย์ พยาบาล ส่วนญาติของคนเจ็บได้รับอนุญาตให้เข้าก็ตอนที่ทางพยาบาลหรือหมอต้องการพบตัวญาติคนเจ็บคนป่วยเท่านั้น
เมื่อทีมแพทย์กำลังให้การรักษาเมฆีอยู่ และไม่รู้ว่าจะไปไหนดี พยศจึงลุกขึ้นช้าๆ เดินตรงไปยังตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติ กดกาแฟมาดื่มให้คาเฟอีนช่วยกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวรอจนกว่าจะมีญาติพี่น้องของเมฆีมารับช่วงต่อ จากนั้นเขาคงได้กลับห้องเช่าเล็กๆ และเริ่มต้นหางานใหม่ทำในต่อไป
แต่...ยกกาแฟดื่มไม่ทันได้ครึ่งกระป๋อง ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองไปยังประตูทางเข้าอาคารฉุกเฉินของโรงพยาบาล เมื่อรู้สึกได้ว่ามีสายตาทรงอำนาจของใครคนหนึ่งได้เพ่งสายตาจ้องมองมายังตัวเขาเขม็ง
และเมื่อมองตามทิศทางที่มาของสายตาคู่นั้น ก็เห็นชายร่างใหญ่พร้อมด้วยลูกน้องอีกสองคนเดินตรงมายังหน้าห้องฉุกเฉิน
พยศยังไม่รู้ว่าชายผู้นี้คือใคร แต่ที่เขารู้คือ...สายตาของชายผู้นี้น่ากลัว น่าเกรงขาม และจากประสบการณ์บอกให้รู้ว่าชายคนนี้เป็นคนที่ไม่ยอมคน พร้อมลุย พร้อมปะทะฉะดะในทุกนาที
ไม่ต้องถูกความสงสัยเล่นงานนานเกินควรว่าชายผู้ทรงอำนาจคนนี้คือใคร เมื่ออีกฝ่ายเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมกับเค้นถามเสียงทรงอำนาจด้วยสายตาถมึงทึง
“คุณคือคนที่พาลูกชายของผมมาโรงพยาบาลใช่ไหม”
แม้หวั่นเกรงกับสายตาและน้ำเสียงที่เค้นถามห้วนๆ จากอีกฝ่าย แต่พยศก็ไม่ได้หวาด
กลัวมากมายกระทั่งไม่กล้าตอบคำถามของชายผู้นี้ อดีตชายผู้เป็นขี้คุกลุกขึ้นยืนพร้อมกับตอบเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีหวั่นเกรง
“ใช่ครับ ผมเป็นคนช่วยคุณเมฆีไม่ให้ถูกพวกการ์ดของผับรุมกระทืบตาย และผมก็เป็นคนพาเขามาหาหมอด้วยครับ”
เอ่ยบอกเสร็จแล้ว ก็ล้วงหยิบกุญแจรถสปอร์ตคันละหลายสิบล้านของเมฆีที่เขาได้ขับพาคนเจ็บมาส่งโรงพยาบาลยื่นให้กับคนที่ประกาศตัวว่าเป็นบิดาของเมฆี
“กุญแจรถของคุณเมฆีครับ ผมจอดรถไว้ด้านหน้าโรงพยาบาล เมื่อมีญาติของคุณเมฆีมาแล้ว เห็นทีว่าผมต้องขอตัวกลับก่อนครับ”
ผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นบิดาของเมฆีได้เอื้อมมือรับกุญแจรถจากคนตรงหน้า แต่หาได้ปล่อยให้คนที่ช่วยเหลือลูกชายของตัวเองให้รอดพ้นจากความตายได้กลับง่ายๆ ไม่ เขาเรียกพยศไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเท้าเดิน
“ถ้าคุณว่าง และไม่ง่วงนอนสักเท่าไร นั่งลงคุยกันก่อนไหมคุณ...”
“ผม...พยศครับ...”
“อืม...สวัสดีคุณพยศ...”
บิดาของเมฆียื่นมือมาข้างหน้ารอให้อีกฝ่ายจับทักทายแบบสากล ก่อนจะแนะนำตัวกลับคืน
“ผมเมฆา เป็นพ่อของเมฆีครับ”
“สวัสดีครับคุณเมฆา ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
พยศจับมือทักทายเมฆา อดชื่นชมอีกฝ่ายในใจไม่ได้ว่าแม้ดูมีอายุมากแล้ว ผมสีเทาขึ้นแซมเกือบทั้งศีรษะ แต่เมฆาก็ดูภูมิฐานและทรงอำนาจน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
เมฆาคลี่ยิ้มบางๆ ให้กับพยศ พลางทวงหาคำตอบในก่อนหน้านี้ “หวังว่าคุณยังไม่ง่วงนอนและมีเวลาคุยผมสักสิบนาที”
“ผมยังไม่ง่วงครับ และก็มีเวลาทั้งวันทั้งคืนตามประสาคนตกงานครับ”
พยศเอ่ยติดตลก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเพื่อรอพูดคุยกับเมฆา ซึ่งอีกฝ่ายต้องการรู้เรื่อง
ราวที่เกิดขึ้นกับลูกชายของเขา
“โอเค...รอผมสักครู่ ผมอยากคุยกับหมอก่อนว่าเมฆีเป็นยังไงบ้าง”
เอ่ยบอกพยศแล้ว เมฆาก็หันไปสั่งลูกน้องอีกสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “หากาแฟร้อนๆ มาให้คุณพยศสักแก้ว”
“ครับเจ้านาย”
ผู้เป็นลูกน้องรับคำสั่ง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหากาแฟร้อนสักแก้วสองแก้วมาให้แขกของผู้เป็นเจ้านายในตอนตีสามกว่า ไม่ว่าเจ้านายสั่งการอย่างไร พวกเขาก็สามารถจัดการให้ได้เสมอ
เมฆาจ้องมองพยศอีกชั่วครู่ ก่อนจะเข้าไปภายในห้องฉุกเฉินเพื่อแจ้งให้ทางแพทย์พยาบาลทราบว่าเขาคือบิดาของเมฆีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและกำลังได้รับการช่วยชีวิตจากนักรบเสื้อขาว
พยศนั่งรอเมฆาอีกไม่นาน อีกฝ่ายก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับบอกข่าวดีว่า
“หมอบอกว่าเมฆีปลอดภัยแล้ว แต่ไอ้เด็กคนนี้ต้องนอนเล่นในโรงพยาบาลอย่างต่ำๆ ก็สามคืน”
“ผมดีใจที่ได้ยินว่าคุณเมฆีปลอดภัยแล้ว”
ใช่! พยศรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แม้ไม่เคยรู้จักเมฆีมาก่อน แต่ก็ดีใจที่ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้รับอันตรายมากจากการถูกรุมทำร้าย
เมฆาพยักหน้ารับ พลางทรุดตัวลงนั่งใกล้กับพยศ แล้วเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมทั้งใคร? ที่เป็นคนกระทืบลูกชายเพียงคนเดียวของเขาจนได้รับบาดเจ็บหนักปางตาย
“เล่านิทานให้ผมฟังหน่อยสิคุณพยศ ว่าคุณไปเจอเมฆีได้ยังไง และถ้าไม่รังเกียจ ก็ช่วยแนะนำให้ผมได้รู้จักตัวคุณ ครอบครัวของคุณ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะนำกระเช้าไปเยี่ยมภรรยาและลูกๆ ของคุณถึงบ้านครับ”
พยศหัวเราะกับประโยคท้ายของเมฆา แล้วเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย
“ผมยังเป็นโสดครับคุณเมฆา และถ้าหากคุณไม่เบื่อที่จะฟังเรื่องราวชีวิตของผม...ผมก็ยินดีเล่าให้คุณฟัง รวมถึงเรื่องที่คุณเมฆีเดินทะเล่อทะล่าไปเจอดงตีนของการ์ดด้วยครับ”
“ผมชอบคุณจริงๆ นะคุณพยศ คุณพูดได้ตรงดีมาก”
เมฆาเอ่ยชมจากใจจริง ไม่ได้นึกโกรธอีกฝ่ายที่เอ่ยต่อว่าลูกชายของเขากลายๆ จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ พยศ แล้วผายมือเชิญให้อีกฝ่ายได้เล่านิทานสนุกๆ สักที
“เริ่มเลยคุณพยศ ผมอยากฟังนิทานระหว่างรอให้เมฆีฟื้นได้สติ”
“อืม...ได้ครับ”
พยศพยักหน้ารับ เริ่มเล่าประวัติของตัวเองพอสังเขป โดยไม่ลืมสังเกตปฏิกิริยาของเมฆาด้วยว่าจะเผยความรังเกียจให้เห็นหรือไม่ ในยามที่รู้ว่าคนที่เขากำลังนั่งคุยด้วยเพิ่งออกมาจากคุกได้ไม่ถึงสองวัน
“เหมือนที่ผมแนะนำตัวให้คุณรู้จัก ผมชื่อพยศ ผมเพิ่งออกมาจากคุกแบบสดๆ ร้อนๆ เลยครับ”
เมฆาไม่ได้เผยความรังเกียจให้เห็น นอกจากเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ ก่อนจะยกกาแฟที่รับมาจากลูกน้องมาดื่ม แล้วบอกพยศให้เล่าต่อ
“อืม...เล่าต่อสิคุณพยศ ประวัติของคุณน่าสนใจพอๆ กับเรื่องของการ์ดที่บังอาจมากระทืบลูกชายของผม”
เมื่อเมฆาไม่เผยความรังเกียจให้เห็น พยศก็ไม่มีลังเลที่จะเล่าประวัติและเส้นทางชีวิตของเขาให้เมฆาและลูกน้องอีกสองได้ฟัง