บทที่ 5
เกือบสองชั่วโมงที่พยศและเมฆาได้พูดคุยกันพร้อมกับกาแฟที่หมดไปคนละสองแก้ว ในที่สุด...เจ้าหน้าที่เปลก็ได้เข็นร่างของเมฆีที่ได้รับการรักษาดูแลจนปลอดภัยแล้วออกมาจากห้องฉุกเฉิน เพื่อพาเมฆีไปนอนรักษาตัวต่อในห้องพักพิเศษที่เมฆาได้ติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว
พอเห็นเจ้าหน้าที่เปลเข็นเมฆีออกมาแล้ว พยศก็ลุกขึ้นยืนมองด้วยความโล่งอก หมดหน้าที่พลเมืองดีของเขาแล้ว เห็นทีว่าต้องกลับไปนอนพักผ่อนเพราะตอนนี้เวลาก็ล่วงมาเกือบเช้าพอดิบพอดี
“คุณเมฆีปลอดภัยแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“อย่าเพิ่งกลับสิคุณพยศ”
คำทักท้วงของเมฆาทำให้พยศต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ และก็ต้องแปลกใจเป็นรอบที่สองเมื่อเมฆาบอกว่า
“ผมคิดว่าเมฆีคงอยากขอบคุณคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ และผมเดาว่าคุณคงกลับไปทำงานเป็นการ์ดในผับนั้นไม่ได้แล้ว”
“อืม...ใช่ครับ เจ้าของผับคงไม่ให้ผมกลับไปทำงานแล้ว หลังจากผมเล่นงานการ์ดของเขาหมอบถึงสามคน”
“เปล่า! ไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น” เมฆาส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะเอ่ยเสียงเหี้ยมเย็นยะเยือก “คุณกลับไปทำงานในผับนั้นไม่ได้ เพราะว่าผมจะปิดผับตามแบบฉบับที่ผมถนัด โทษฐานที่มันบังอาจทำร้ายลูกชายของผม”
คำพูดของเมฆา ทำให้พยศนึกถึงสิ่งที่ได้ยินเมฆีพูดว่าเขาเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้น และก็อดเอ่ยถามเมฆาไม่ได้ว่า
“ผมได้ยินคุณเมฆีพูดว่าเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้น จริงหรือครับ”
“ใช่! ผมเป็นเจ้าของที่ดินที่เขาเช่าเปิดผับ และผมจะสั่งปิดผับในทันที แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีละม่อมตามที่คุณคิด”
เมฆาเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาไหววาบกับการแก้แค้นที่กำลังจะเริ่มขึ้นเพื่อลูกชาย
“อืม...ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะปิดผับด้วยวิธีสุภาพ”
พยศเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ จากที่พูดคุยกับเมฆาหลายชั่วโมง ทำให้เขารับรู้ได้ในตัวว่าเมฆาเป็นเจ้าพ่อตัวจริง พร้อมลุย พร้อมปะทะโดยไม่สนใจว่าจะเจอตอใหญ่แค่ไหน
“ใช่! ผมมีวิธีปิดผับตามแบบฉบับของผม และถ้าหากคุณไม่รังเกียจ ผมอยากให้คุณมาทำงานกับผม เป็นบอดี้การ์ดให้กับเมฆี เผื่อว่าไอ้หนุ่มคนนี้จะเดินทะเล่อทะล่าไปหาตีนชาวบ้านอีก”
ในตอนท้ายเมฆาเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะยกคำพูดของพยศมาต่อว่าลูกชายของตัวเองที่ยังอยู่ในวัยคะนองและซ่าไม่หยุด
“ถ้าคุณเมฆาไม่รังเกียจขี้คุกแบบผม...ผมก็พร้อมทำงาน ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้คุณเมฆีครับ”
“เรื่องรังเกียจไม่มีหรอกคุณพยศ เพราะลูกน้องของผมที่คุณเห็นๆ ไม่มีใครมีประวัติที่สวยหรูเหมือนนักเรียนดีเด่นหรอกครับ แต่ละคนผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนด้วยกันทั้งสิ้น ขอแค่เพียงกลับตัวกลับใจและจงรักภักดีกับผมและคนในครอบครัวของผมเท่านั้น ผมก็จะตอบแทนพวกคุณอย่างเต็มที่ที่มาทำงานกับผม แต่ถ้าหากทรยศเมื่อไร พวกคุณก็จะไม่มีโอกาสได้เดินเล่นในโลกใบนี้อีกต่อไป”
น้ำเสียงที่เอ่ยในตอนท้ายทำให้พยศรู้ว่าเมฆาเป็นคนจริงและโหดมากเพียงใด เจ้าพ่อคนนี้ไม่ได้แค่เพียงขู่ แต่พร้อมทำให้ลูกน้องที่ทรยศครอบครัวของเขาหายสาบสูบแบบไร้ร่องรอยได้ในทุกนาที
และคนจริงอย่างพยศก็ไม่เคยคิดทรยศ หากยอมพลีกายอยู่รับใช้ใครแล้วเขาก็พร้อมภักดีกับเจ้านายตลอดไปจนกว่าตัวตาย...
“คุณเมฆาไม่ต้องเป็นห่วงครับ หากคุณเมฆียอมรับให้ผมเป็นบอดี้การ์ดของเขา คนที่จะรองรับตีนหนักๆ และคนที่จะเป็นดั่งเกราะกำบังเป็นโล่ให้กับคุณเมฆีก็คือผมครับ”
“ขอบคุณมากคุณพยศ เชื่อผมเถอะว่า เมฆีพร้อมต้อนรับคุณให้เป็นบอดี้การ์ดของเขาแน่”
ระหว่างเจรจารับบอดี้การ์ดคนใหม่ให้กับลูกชาย เมฆา พยศ รวมทั้งลูกน้องอีกสองคนก็เดินตามเจ้าหน้าที่เปลที่ได้ย้ายเมฆีเข้ามาในห้องพิเศษสำหรับพักฟื้นคนไข้
นอกจากห้องจะใหญ่โตแล้วยังมีห้องพักอีกห้องแยกออกมาสำหรับให้คนเฝ้าไข้ได้นอนพักผ่อนด้วย จนพยศอดแปลกใจไม่ได้ว่านี่คือห้องที่ใช้สำหรับรักษาคนเจ็บป่วยหรือห้องพักในโรงแรมกันแน่
พอเข้ามาในห้องพักฟื้นคนไข้แล้ว เมฆาก็เอ่ยถามถึงความต้องการของพยศว่า
“คุณพยศจะกลับไปพักผ่อนก่อนไหม ผมกับลูกน้องจะอยู่เฝ้าไอ้ตัวแสบเอง”
“ผมอยู่เฝ้าก็ได้ครับ ผมไม่มีใครที่ต้องเป็นห้องในห้องเล็กๆ เท่ารูหนู ซึ่งจะว่าไปแล้ว ห้องพักคนไข้ใหญ่กว่าห้องที่ผมเช่าไว้เป็นสิบเท่าเลยครับ”
พยศเอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงคนไข้ กวาดสายตามองใบหน้าหล่อๆ ของเมฆีที่ถูกพิษมือและตีนหนักๆ ของการ์ดทั้งสามจนหน้าตาบวมช้ำ
“ฟื้นขึ้นมาเมื่อไร คุณเมฆีคงได้ร้องครางกับอาการปวดระบมทั้งตัวแน่”
“ก็สมน้ำหน้ามันแล้วที่ดันเดินไปเจอตีนโดยไม่คิดพาลูกน้องไปด้วย”
เมื่อลูกชายเพียงคนเดียวปลอดภัยแล้ว เมฆาก็อดต่อว่าลูกชายตัวแสบไม่ได้ที่บังอาจขัดคำสั่งของเขา หนีจากเมืองพัทยามาเที่ยวผับในกรุงเทพฯ เพียงลำพังโดยไม่คิดพาบอดี้การ์ดมาด้วย
“เจอตีนรอบนี้เต็มๆ ถึงหกตีนด้วยกัน คุณเมฆีคงเข็ดอีกนาน”
“ฮึ! ใครว่า...”
เมฆาทำเสียงขึ้นจมูก ดวงตาไหววาบขณะจ้องมองลูกชายที่ยังหลับอยู่บนเตียงคนไข้ ก่อนจะเอ่ยบอกอย่างรู้เท่าทันนิสัยของลูก ซึ่งแน่นอนว่านิสัยเหล่านี้ถอดแบบมาจากเขาทั้งหมด
“รอให้ฟื้นก่อนเถอะ สิ่งแรกที่คุณพยศจะได้ยินคือไอ้แสบคนนี้จะชวนคุณไปถล่มผับอีกรอบ”
“อืม...ถ้ายังงั้นผมต้องนอนพักเอาแรงเพื่อไปช่วยคุณเมฆีถล่มผับให้เละกันไปข้าง”
พยศหัวเราะร่วนผสมโรงกับเสียงของเมฆา และก็ได้ยินเสียงครางเพราะความเจ็บปวดเล็กลอดออกมาจากคนเจ็บ เมื่อเริ่มฟื้นได้สติแล้ว
“โอ๊ยยย...ใครเอาค้อนมาทุบหัวผม เจ็บชะมัด! ขอพารากินสักกระปุกได้ไหมครับคุณพ่อ”
เมฆีร้องครางขณะร้องขอติดตลกกับบิดา ไม่ลืมว่าตัวเองถูกรุมกระทืบฝากทั้งมือทั้งตีนไว้ทั่วร่างจนปวดระบมทั้งตัว
เมฆาส่ายหน้ากับคำร้องครวญของลูกชาย มือใหญ่เอื้อมไปตบเบาๆ บนใบหน้าบวมช้ำแต่ก็ยังคงความหล่อเหลาไว้ไม่มีเปลี่ยน พร้อมกับเค้นเสียงต่อว่าด้วยความเป็นห่วงระคนโมโหลูกชายที่ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งของเขาสักเท่าไร
“ดีนี่เมฆี ตื่นขึ้นมาก็ร้องหายาแก้ปวด ว่าแต่กินยาแก้ปวดหมดกระปุกแล้วแกจะทำอะไรต่อ”
“คุณพ่อก็ถามได้”
เมฆีทำเสียงขึ้นจมูก ดวงตาคมกริบแข็งกร้าวขึ้นมาในทันทีขณะบอกถึงความต้องการของตัวเอง
“ทันทีที่ผมลุกจากเตียงได้ ผมจะกลับไปจัดการการ์ดสามคนนั้นที่ทำตัวเป็นหมาหมู่เล่นงานผมแค่ฝ่ายเดียว นี่ถ้าไม่ได้คุณพยศเข้ามาช่วยไว้ผมคงได้ตายคาตีนของพวกมัน เสียดายที่คุณพยศไม่ได้ให้เบอร์โทร.ไว้ ผมเลยไม่รู้ว่าจะไปขอบคุณเขายังไงที่ช่วยชีวิตผมให้รอดจากตีน”
เมฆาอมยิ้มเหลือบสายตามองสบตากับพยศซึ่งยืนอยู่คนละด้านเตียงคนไข้ ก่อนจะเอ่ยตอบให้ลูกชายได้หันไปมองในทันที
“ถ้ายังงั้นแกควรหันไปขอบคุณคุณพยศ และก็ยอมรับให้เขาเป็นบอดี้การ์ดของแก คอยปกป้องแกเหมือนแม่ไก่ปกป้องลูกน้อยไม่ให้แกเดินไปชนตีนชาวบ้านอีก”
แม้ยังเจ็บระบมทั้งใบหน้าและทั่วทั้งตัว แต่เมฆีก็ยังหัวเราะร่วนออกมาได้กับคำเหน็บแนมของบิดา ซึ่งเขารู้ว่าบิดาพูดออกมาเพราะความเป็นห่วงทั้งสิ้น
“ขอบคุณคุณพยศมากนะครับที่ยอมเจ็บตัวมาช่วยผม”
เมฆียกมือขึ้นพนมไหว้ขอบคุณผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ยอมรับว่าถูกชะตากับชายผู้นี้มาก ซึ่งแน่นอนว่าเขาตั้งใจไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะสืบเสาะหาชายผู้นี้ และไปขอบคุณเขาถึงบันไดบ้านเลยทีเดียว แต่เมื่ออีกฝ่ายอยู่ตรงหน้าแล้วก็ไม่ลังเลที่จะยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณ
พยศยกมือรับไหว้ ก่อนจะสัพยอกกลั้วเสียงหัวเราะ “ไม่เป็นไรครับ เมื่อคืนผมก็แค่ไม่
อยากเห็นหนุ่มวัยรุ่นวัยคะนองถูกรุมกระทืบตายแบบศพไม่สวย ก็เลยเอาเท้าแหย่เข้าไปช่วยนิดหน่อย เผื่อว่าสภาพศพของคุณจะไม่เละจนพ่อแม่จำไม่ได้”
เจอคำพูดกวนๆ ของพยศเข้าให้ทำเอาคนเจ็บต้องแหงนศีรษะหัวเราะร่วนด้วยความถูกใจ ก่อนจะเอ่ยถามให้คลายความสงสัย
“คุณพยศกวนได้ใจจริงๆ ถามจริงเถอะครับ หลุดมาจากไหนเนี่ย”
“จากคุกครับ”
เป็นคำตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความยิ่งนัก และพยศก็ไม่นึกเสียใจที่เอาชีวิตเข้าไปช่วยเมฆีให้รอดตาย เพราะเขาไม่ได้รับการแสดงท่าทีรังเกียจจากเมฆี นอกจากการยื่นมือมาข้างหน้าแล้วเอ่ยต้อนรับกลั้วเสียงหัวเราะ
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกอันแสนโหดร้ายอีกครั้งครับคุณพยศ”
พยศเอื้อมมือจับกับเมฆี ชอบใจพ่อลูกคู่นี้ที่ดูท่าว่าเป็นจริงในทุกเรื่อง “ขอบคุณครับ คุณเมฆี ถ้าหากคุณไม่รังเกียจที่จะให้ผมเป็นบอดี้การ์ดให้กับคุณ ผมสาบานว่าคนที่จะปะทะฉะดะกับคนที่คิดร้ายกับคุณและคุณเมฆาเป็นคนแรกก็คือผม...”
“แน่นอนครับว่าผมต้องการให้คุณพยศเป็นบอดี้การ์ดของผม เพราะลำพังไอ้หนุ่มวัยรุ่นวัยคะนองคนนี้แค่เพียงคนเดียว คงถล่มผับนั้นไม่ได้แน่”
“ถ้ายังงั้นรีบรักษาตัวให้หายดีนะครับ เราจะได้ไปออกกำลังกายด้วยกัน และถ้าคุณเมฆาไม่ว่าอะไร ผมมีศิลปะการต่อสู้ที่เรียนรู้มาจากในนั้น ผมสามารถสอนคุณเมฆีได้ทุกอย่างครับ”
“จัดเต็มที่เลยคุณพยศ สอนให้ไอ้หนุ่มปากดีได้เรียนรู้วิชาการป้องกันตัว เรียนรู้ทุกอย่างที่คุณได้มาจากคุก! เพื่อให้เมฆีกลายเป็นคนแกร่งในยามที่ไม่มีผมหรือคุณคอยระวังหลังให้”
เมฆาเอ่ยอนุญาตตามคำขอของพยศ แน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดรังเกียจวิชาความรู้ในด้านมืดของโลกอีกใบที่ไม่มีใครอยากเข้าไปอยู่ในนั้น ซึ่งเขามั่นใจว่าความรู้ที่พยศจะนำมาสั่งสอนให้กับเมฆีนั้น จะช่วยให้เมฆีกลายเป็นคนแกร่งในยามที่ไม่มีบอดี้การ์ดคอยตามดูแลเขา
“ขอบคุณคุณเมฆาที่ไว้ใจให้ผมเป็นบอดี้การ์ดของคุณเมฆีครับ”
“เป็นการตอบแทนที่คุณยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเมฆีไม่ให้ตายแบบศพไม่สวยครับ”
เมฆาเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ พลางตบเบาๆ บนใหญ่หล่อๆ ที่ยังคงบวมช้ำเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทำร้าย
“นอนพักรักษาตัวสัก 4-5 คืนค่อยออกไปซ่าส์อีกครั้งนะเมฆี”
“คงต้องเป็นแบบนั้นครับคุณพ่อ แต่ผมขอนอนตบยุงในห้องนี้อีก 3 คืนก็พอครับ หลัง
จากนั้นผมจะออกไปเล่นงานคนที่ฝากรอยตีนไว้บนตัวผม รวมทั้งพวกเพื่อนกินทั้ง 4 คนด้วย ที่หายหัวในทันทีที่ผทมีเรื่อง ไม่มีใครคิดช่วยผมแม้แต่คนเดียว”
“อืม...การรุมกินโต๊ะในครั้งนี้ทำให้นายแกร่งขึ้นและเห็นธาตุแท้ของบรรดาเพื่อนกินที่คอยตามประกบประจบประแจนายเพราะผลประโยชน์ทั้งสิ้น ถ้ารู้ว่าถูกกระทืบแล้วทำให้ตาสว่างขึ้นเยอะ พ่อคงจ้างไอ้พวกขี้ยามารุมกระทืบแกตั้งนานแล้ว”
แม้เป็นห่วงที่ลูกชายเพียงคนเดียวถูกทำร้าย แต่เมฆาก็อดดีใจไม่ได้ที่เมฆีได้เห็นกับตาว่าเพื่อนๆ ที่คบนั้นไม่มีใครเป็นเพื่อนตายแม้แต่คนเดียว
และบทเรียนในครั้งนี้ทำให้เมฆีรับรู้ได้ว่าใครคือเพื่อนแท้ ใครคือมิตรแท้ แม้จะเจ็บตัวอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็ได้มิตรแท้และลูกน้องที่ซื่อสัตย์มาหนึ่งคนนั่นก็คือพยศ คนที่เคยเป็นอดีตขี้คุกจากเดนตายนั่นเอง