บทที่ 3
พยศกวาดตามองไปยังวัยรุ่นที่ถูกซ้อมจนหน้าแตกมีเลือดไหลกบปากและจมูก แต่กระนั้นเขาก็ยังจำได้ว่าวัยรุ่นนี้ชื่อ ‘เมฆี’ ซึ่งอีกฝ่ายคงยังไม่ทันได้ประกาศว่าเป็นเจ้าของแผ่นดินผืนนี้ คงถูกลากมากระทืบในทันทีที่เข้าไปหาเรื่องผับ จากนั้นก็กวาดตามองการ์ดทั้งสามคนแบบเรียงตัว ก่อนจะตอบเสียงห้วนจัดไม่มีหวาดกลัว
“ใช่! ผมเพิ่งมาทำงานวันนี้วันแรก และก็ไม่ชอบใจสักเท่าไรที่พวกคุณทำตัวเป็นหมาหมู่รุมกระทืบวัยรุ่นที่ไม่มีทางสู้ แน่จริงก็มาลุยตัวต่อตัวกับผมสิ”
ไม่ต้องรอให้ถูกท้าทายเป็นเวลานาน สิ้นคำพูดของพยศ การ์ดสองคนที่หิ้วปีกเมฆีไว้ให้การ์ดอีกคนชกใบหน้าจนแตกยับ ก็ผลักเมฆีล้มลมกับพื้น ก่อนจะเดินดาหน้าเข้าหาพยศเพื่อทำตามคำท้าโดยไม่มีลังเล
“มาทำงานวันแรกใช่ไหม แบบนี้ต้องรับน้องซะหน่อย มึงจะได้รู้ว่าใครเป็นลูกพี่ ใครเป็นลูกน้อง”
และถ้าหากคิดว่าอดีตนักโทษอย่างพยศจะกลัว การ์ดทั้งสามก็คิดผิดแล้ว พยศไม่ใช่แค่อดีตขี้คุก แต่เขาเผชิญโลกมามาก และเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แทบจะทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนว่า ‘ครู’ ของเขาก็คือนักโทษที่ถูกจองจำด้วยกันนั่นเอง
“มาเลย เดี๋ยวได้รู้กันว่าใครจะแน่กว่าใคร”
พยศตั้งหลักรออยู่แล้ว ทันทีที่การ์ดทั้งสามเดินเข้าหา เขาก็พร้อมออกกำลังกายในทันที และถ้าหากคิดว่าวัยรุ่นที่ถูกซ้อมจนหน้าแตกจะยอมแพ้ หลบอยู่ในมุมมืดก็คิดผิดเช่นเดียวกัน พอถูกผลักให้ล้มลงกับพื้น และมีคนมาช่วยตัวเอง เมฆีก็ลุกพรวดกระโจนเข้าหาการ์ดทั้งสามโดยไม่มีหวาดกลัว
เวทีมวยชั่วคราวหลังผับชื่อดังที่มีคู่ต่อสู้อีกฝั่งสามคนและอีกฝั่งแค่เพียงสองคนผ่านไปเกือบสิบนาทีก็จบลงในที่สุด ซึ่งการ์ดทั้งสามถูกพยศน็อกจนสลบคามือคาตีน
แม้จะน็อกการ์ดทั้งสามได้ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกหมัดถูกตีนของทั้งสามที่ประเคนมาตามร่าง
กาย หลังจากน็อกการ์ดทั้งสามได้แล้ว พยศก็ถ่มเลือดออกจากปาก จับจมูกของตัวเองที่ถูกชกหักจนผิดรูป และแม้จะเจ็บแปลบตรงบริเวณจมูกที่ถูกชกจนหักเลือดกบ และแม้จะระบมทั้งร่าง แต่ก็ไม่ลืมเข้าไปประคองวัยรุ่นหนุ่มที่เขาจำได้ขึ้นใจว่าชื่อ ‘เมฆี’ ให้ลุกขึ้นจากพื้น
“คุณ...คุณเมฆี...คุณเป็นยังไงบ้าง”
“บ้าฉิบ...เจ็บฉิบหาย...เหมือนซี่โครงจะหัก”
เมฆีถ่มเลือดออกจากปาก ยื่นมือจับตามซี่โครงของตัวเองที่ถูกประเคนใส่ทั้งจากมือและตีนของการ์ดทั้งสาม ยอมรับว่าเจ็บจนลุกไม่ขึ้น และก็ได้พยศที่เข้ามาช่วยประคองให้ลุกขึ้นยืน
“คุณเมฆี ลุกไหวไหม”
“ไหว...สบายมาก...”
เมฆีเอ่ยตอบคนที่เป็นพลเมืองดีมาช่วยตนเอง จากนั้นก็ค่อยๆ ยันกายยืนขึ้นโดยมีพยศช่วยจับประคองด้วย
“ขอบคุณพี่ชายมากที่มาช่วยผมไม่ให้ตายคาตีนของพวกมัน”
ขณะเอ่ยขอบคุณ เมฆีก็ตบหนักๆ บนบ่าของพลเมืองดีที่ตนเองยังไม่รู้จักชื่อ พร้อมกันนั้นก็ยิ้มให้อย่างผูกมิตร ในใจนั้นนึกชอบชายร่างใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่นคนนี้มาก
พยศยิ้มตอบรับกับคำขอบคุณจากหนุ่มวัยรุ่นที่ถูกชกจนหน้าแตก ดวงตาบวมช้ำทำท่าจะเปิดไม่ขึ้น และที่สำคัญร่างใหญ่ของเมฆีก็เริ่มโงนเงนทำท่าจะยืนไม่อยู่จนเข้าต้องเอื้อมมือช่วยจับประคองไว้อีกครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ไม่ชอบพวกหมาหมู่ ก็เลยแย่ขามาช่วยคุณครับ ว่าแต่คุณเมฆีแน่ใจนะครับว่าไม่เป็นไรอะไร”
“ไม่เป็นไร ผมสบายมาก” เมฆียังยิ้มรับคำ ตบบนบ่าของพยศอีกครั้งโดยไม่ลืมถามชื่อของพลเมืองดีด้วย
“ว่าแต่พี่ชายชื่ออะไรครับ มีนามบัตรไหม พรุ่งนี้ผมจะมาขอบคุณคุณด้วยตัวเอง
“พยศครับ”
พยศเอ่ยตอบสั้นๆ โดยไม่ลืมออกแรงจับบ่าของเมฆีไว้ไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น แต่เจ้าตัวก็อึดได้ใจ ไม่ยอมล้มง่ายๆ
เมฆีคลี่ยิ้มให้กับพยศ เอ่ยขอบคุณอีกครั้งสำหรับความมีน้ำใจของอีกฝ่าย “ขอบคุณคุณพยศมากครับ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะเลี้ยงเหล้าคุณพยศเป็นการตอบแทนนะครับ แต่ตอนนี้ต้องขอตัวไปทำแผลก่อน”
“คุณเมฆี แน่ใจนะครับว่าคุณเดินไหว”
พยศเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนอกจากจะยืนไม่ไหวแล้ว ใบหน้าของอีกฝ่ายยังมีเลือดไหลจนเขาอดทักท้วงไม่ได้
“ให้ผมพาไปหาหมอดีไหมครับ เดี๋ยวผมขับรถให้คุณเอง”
คนที่ถูกรุมกระทืบจนหน้าแตกเลือดไหลไม่หยุด ไม่ได้สนใจในคำพูดของพยศ นอกจากคลี่ยิ้มให้แล้วโบกมือลาด้วย
“ไม่ต้องครับ ผมขับรถไปหาหมอเองได้ ขอบคุณคุณพยศอีกครั้งนะครับ ผมต้องกลับแล้วครับ ชักจะปวดหัวตุบๆ ราวกับใครเอาค้อนมาทุบก็ไม่ปาน”
ในตอนท้ายเมฆีเอ่ยติดตลก พร้อมกับยกมือคลึงบนศีรษะด้วย แต่คนที่ยืนมองด้วยความเป็นห่วงไม่ตลกด้วย เพราะเห็นได้ชัดว่าเมฆีกำลังจะล้มในทุกขณะแล้ว
แต่เมื่อเมฆียืนกรานจะกลับ ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาแล้ว ก็ลองปล่อยให้วัยรุ่นวัยคะนองได้ทำตามความต้องการด้วยการปล่อยมือจากบ่าของเมฆี
“โอเคครับ ถ้าคุณเมฆีขับรถกลับเองได้ผมก็หมดห่วง ถ้ายังไงอย่าเดินไปเจอตีนของพวกการ์ดอีกรอบนะครับ”
พยศเอ่ยติดตลกบ้าง และก็เรียกเสียงหัวเราะร่วนได้จากเมฆี ก่อนจะโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่แน่นอนครับ วันนี้ผมไม่เดินเข้าดงตีนอีกแล้ว แต่สาบานได้ว่า หายดีเมื่อไรผมจะกลับมาจัดการกับพวกมันทั้งสามคนแน่นอน”
ในตอนท้ายเมฆีเอ่ยเสียงเหี้ยม ใช่! เขาไม่มีทางปล่อยให้คนที่รุมทำร้ายเขาได้อยู่อย่างสุขสบายแน่ ขอแค่เพียงร่างกายฟื้นจากการปวดระบมทั้งร่าง แล้วเขาจะกลับมาเล่นงานการ์ดเลวๆ ทั้งสามให้กระอักกันไปข้าง
“ครับ แล้วผมจะรอดูครับ”
พยศเอ่ยตอบพร้อมกับผายมือเชิญให้เมฆีก้าวเดินตามที่อีกฝ่ายบอกว่าจะขับรถกลับบ้าน ซึ่งเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเมฆีจะก้าวเดินได้สักกี่ก้าวก่อนจะล้มไปนอนกับพื้น
และไม่ต้องเสียเวลารอนาน เพราะแค่เพียงก้าวเดินได้สองก้าว ร่างของเมฆีก็ร่วงผล็อยไม่ต่างจากพญาอินทรีถูกสอยลงจากฟ้าลงไปนอนแผ่หราอยู่บนพื้นสกปรก
“เฮ้อ...นึกว่าจะรอดสัก 4-5 ก้าว”
พยศส่ายหน้าขณะบ่นอุบ มองร่างของเมฆีที่นอนสบลเหมือดอยู่บนพื้น ก่อนจะเข้าไปอุ้มอีกฝ่ายพาดบ่าแล้วเดินดุ่มๆ ออกจากบริเวณดังกล่าวไปรับกุญแจรถจากพนักงานรับรถของผับ เพื่อพาเมฆีไปส่งที่โรงพยาบาล
ขณะกำลังจะขับรถออกจากบริเวณผับ ก็นึกโมโหบรรดาเพื่อนๆ ของเมฆี ที่ไม่มีใครสักคนที่เป็นห่วงเมฆี ออกตามหาเมฆีที่หายไปนานสองนานแล้ว และนอกจากจะโมโหบรรดาเพื่อนของเมฆีแล้ว พยศก็ถอนหายใจลึกอย่างปลงๆ กับชีวิตของตัวเอง
กำลังจะเริ่มต้นได้สวย มีงานทำ มีเงินประทังชีวิต แต่ก็คงจบเห่! แล้ว เพราะการ์ดทั้งสามคนที่ถูกเขาเล่นงานจนหมอบคาตีน คงไม่ต้อนรับให้เขาทำงานในผับแห่งนี้อีกต่อไป
“ช่างมันเถอะวะไอ้พยศ ตกงานก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว เดี๋ยวค่อยหางานใหม่ก็ได้”
พยศปลอบใจตัวเอง นาทีนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการปลอบใจและให้กำลังใจตัวเองให้มีพลังที่จะเผชิญกับโลกอันโหดร้ายที่รออยู่ในวันข้างหน้า
และสิ่งที่เขาต้องทำในขณะนี้คือการพาร่างที่ถูกยำจนเกือบเละของเมฆีไปให้ถึงโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่เมฆีจะหมดลมหายใจเพราะช้ำในตาย...